หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 12-1
ตอนพิเศษ 12-1
ตั้งแต่กลับมาจากการฝึกภาคปฏิบัติครั้งที่สอง หลิงจือก็สังเกตว่ารอบตัวมีเรื่องประหลาดบางอย่างเกิดขึ้น เช่นว่าพวกนางไม่ได้เข้าหุบเขาไปดูดซับไอปราณอีก แต่ใช้ศิลาศักดิ์สิทธิ์แทน
ศิลาศักดิ์สิทธิ์ก็มีการแบ่งประเภท มีศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นเลว ชั้นกลางกับชั้นดี ยิ่งลำดับชั้นไม่สูง สิ่งเจือปนก็จะยิ่งมาก
ที่ขายกันอยู่ด้านล่างเขาโดยมากมักเป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นเลว บางก้อนยังนับเป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นเลวไม่ได้ด้วยซ้ำ ลูกศิษย์ผู้ฝึกตนระดับล่างไม่รู้จักวิธีการขจัดสิ่งเจือปนออก หากดูดซับเข้าไปมีแต่จะเป็นการรบกวนการฝึกตน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม สำนักเชียนหลันไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ใหม่ซื้อหาศิลาศักดิ์สิทธิ์มาใช้ส่วนตัว
แต่เวลานี้พวกเขาได้เรียนรู้วิชาสำคัญจากตอนเข้าสำนักมาแล้ว รับประกันได้ว่าตนจะไม่ดูดซับสิ่งอื่นใดนอกจากพลังปราณ สำนักเชียนหลันจึงแจกจ่ายศิลาศักดิ์สิทธิ์ให้ตามคุณสมบัติของแต่ละคน
แน่นอนว่าศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่หลิงจือได้ย่อมเป็นศิลาชั้นดี
แต่หลิงจือมีข้อสงสัย “อาจารย์ ไม่ใช่ว่าไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ใหม่ใช้ศิลาศักดิ์สิทธิ์หรือ”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ตอบด้วยสีหน้าคงเดิม “ทำไมหรือ ใช้ศิลาศักดิ์สิทธิ์ไม่ดีหรือ”
หลิงจือส่ายหน้า “ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี เพียงแต่ไม่ค่อยชินเท่านั้น”
ก่อนหน้านี้พวกนางต้องไปนั่งอยู่ในหุบเขา ถึงจะสามารถดูดซับไอปราณได้อย่างต่อเนื่อง แต่ศิลาศักดิ์สิทธิ์ก้อนหนึ่งไม่นานก็ดูดซับปราณจนหมดแล้ว จะให้เปลี่ยนก้อนบ่อยๆ ก็ไม่ค่อยสะดวกนัก
ผู้พิทักษ์ใหญ่บอกว่า “ศิลาศักดิ์สิทธิ์ก็มีข้อดีในตัวมัน วันหน้าหากพวกเจ้าฝึกตนไปถึงขั้นสูงแล้ว อย่างไรก็ต้องได้ใช้ศิลาศักดิ์สิทธิ์ เวลานี้เรียกรู้วิธีการใช้ไว้ก่อนก็แล้วกัน”
หลิงจือลองคิดดู “ข้าสามารถเก็บไว้ใช้ในวันหน้าได้หรือไม่”
ได้ยินว่ายอดฝีมือของสำนักเชียนหลันยามเก็บตัวเพื่อข้ามขั้น ล้วนต้องลากศิลาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอย่างต่อเนื่องทั้งสิ้น หากถึงเวลานั้นนางไม่มีศิลาศักดิ์สิทธิ์มากพอจะทำอย่างไร เวลานี้หากมีให้สะสมก็ต้องสะสมไว้ก่อน”
ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยว่า “ให้เจ้าใช้ก็ใช้ จะพูดมากไปไย”
หลิงจือถึงกับอึ้งไป เข้าสำนักมานานเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่อาจารย์เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงดุดันเช่นนี้
ผู้พิทักษ์ใหญ่เหลือบมองลูกศิษย์ของตนทีหนึ่ง รู้สึกตัวว่าตนออกจะพูดแรงเกินไป จึงพยายามตั้งสติบอกว่า “ไปฝึกวิชาเถิด”
หลิงจือค้อมกายลง “เจ้าค่ะ”
หลังจากผู้พิทักษ์ใหญ่จากไปแล้ว หลิงจือคิดจะหาสถานที่สงบๆ ดูดซับปราณจากศิลาศักดิ์สิทธิ์ แต่พอหมุนตัวไปกลับเจอเข้ากับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ที่เดินออกมาจากเรือนผู้พิทักษ์รองเข้าอย่างจัง
ถึงจะเคยร่วมมือกันมาแล้วหลายครั้ง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากลับยังคงเหินห่างดังเก่า
หลิงจือไม่คิดจะพูดคุยกับนาง แต่นางกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งว่า “ชีพจรปราณของสำนักเชียนหลันเหือดแห้งแล้ว เจ้ายังไม่รู้สินะ”
หลิงจือมองนางด้วยสายตาประหลาด “เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ “ข้าไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ หากไม่เชื่อเจ้าลองไปฝึกปราณในหุบเขาตามปกติดูสิ ดูสิว่าเจ้ายังสามารถดูดซับไอปราณได้อยู่หรือไม่”
นางพูดถึงขั้นนี้แล้ว แน่นอนว่าหลิงจือไม่สงสัยว่านางโกหกอีก แต่เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร ชีพจรปราณเป็นรากฐานของสำนักสำนักหนึ่ง หากไม่มีชีพจรปราณ ก็เป็นเช่นเดียวกับบ้านคนทั่วไปที่ไร้ซึ่งข้าวสาร คงได้หิวตายแน่
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอ่ยเสียงใสว่า “เจ้าอย่าได้กังวลจนเกินไป ไว้รอท่านพ่อข้ากลับมารับข้าก่อน จะต้องเติมชีพจรปราณให้กับสำนักเชียนหลันแน่นอน”
ประโยคนี้เล่นเอาคนฟังรู้สึกไม่พอใจ ราวกับว่านับแต่นี้ต่อไป คนของทั้งสำนักล้วนต้องพึ่งพานางในการใช้ชีวิตกระนั้น
หลิงจือคร้านจะพูดคุยกับนาง
หลิงจืออดนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากสำนักว่านเซี่ยงมาหาเรื่อง นางเป็นเดือดเป็นแค้นว่าสำนักว่านเซี่ยงรังแกกันมากเกินไป จึงเอ่ยสัญญากับอาจารย์เป็นมั่นเหมาะว่าต่อไปนางจะตั้งใจฝึกให้ดี สีหน้าอาจารย์ในเวลานั้นดูลำบากใจ ในตอนนั้นนางคิดเพียงว่าอาจารย์ยังนึกโกรธสำนักว่านเซี่ยงอยู่ อารมณ์กำลังไม่ดี ทำให้ไม่พอใจ แต่เวลานี้เมื่อลองนึกย้อนกลับไป อาจารย์คงรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าชีพจรปราณเหือดแห้ง เขาจึงรู้ว่าไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดก็ไร้ประโยชน์
ตอนมื้อเย็น หลิงจือดูหม่นหมองไม่แจ่มใส
เฉียวเวยเวยคีบเนื้อที่นางชอบมากที่สุดไปให้อีกฝ่าย
หลิงจือจึงลูบศีรษะเฉียวเวยเวย
…
เรื่องชีพจรปราณเหือดแห้งย่อมไม่รอดพ้นสายตาของใต้เท้าเจ้าตำหนัก เดิมทีเขาไม่คิดจะยุ่งให้มากเรื่อง แต่ในตอนนั้นเอง ผู้พิพากษาชุยก็เข้ามาหาเขา
“เจ้ายังมีหน้ามาอีกหรือ” จีเสี่ยวซิวที่อายุสามขวบนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวกว้าง ตัวเล็กกระเปี๊ยก ต่อให้สายตาดุดัน แผ่ไอสังหารอย่างไรก็ไม่อาจบดบังความน่ารักน่าเอ็นดูของเขาได้ มองดูแล้วจึงคล้ายลูกไก่ที่โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
ผู้พิพากษาชุยเกือบทานทนความน่ารักของอีกฝ่ายไม่ไหว อยากจะยื่นมือไปขยี้ศีรษะเขาเต็นทน
จีเสี่ยวซิวที่อายุสามขวบถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยความดูแคลนอย่างผู้เป็นใหญ่
ผู้พิพากษาชุยกระแอมเบาๆ แล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าเจ้าตำหนัก”
เวลานี้เพิ่งกินมื้อเย็นเสร็จไป เฉียวเวยเวยยกถังน้ำไปรดน้ำต้นไปอยู่ที่สวน หลิงจือก็อยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนนางด้วย
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไล่แม่นมออกไปเอาขนมที่ห้องครัว ในห้องจึงเหลือเพียงเขากับผู้พิพากษาชุยเพียงสองคน
ผู้พิพากษาชุยเอ่ยเข้าเรื่องทันที “อันที่จริงที่ข้ามาครั้งนี้เพราะมีเรื่องอยากมาหารือกับใต้เท้า”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักปรายตาดุมองอีกฝ่าย “หาวิธีตายให้ตนได้แล้วหรือ”
ผู้พิพากษาชุยยกมือปาดเหงื่อ “เป็นธุระสำคัญจริงๆ ขอรับ เกี่ยวกับการสร้างกายหยาบของท่านขึ้นใหม่”
พอฟังถึงตรงนี้ สายตาเจ้าตำหนักก็พลันสั่นไหวเล็กน้อย
ผู้พิพากษาชุยรู้ว่าตนเดิมพันถูกแล้วจริงๆ ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่สนฟ้าไม่สนดิน แต่อย่างไรก็ยังสนใจเรื่องนี้ กายหยาบของใต้เท้าเจ้าตำหนักแหลกสลายไปแล้ว เหลือเพียงวิญญาณรล่องลอยอยู่ในแดนยมโลก หลายปีมานี้ใต้เท้าเจ้าตำหนักคอยหาวิธีหลอมกายหยาบใหม่มาตลอด แต่ใต้เท้าเจ้าตำหนักมีฐานะไม่ธรรมดา กายหยาบของเขาจึงไม่อาจสร้างขึ้นใหม่ได้ง่ายเพียงนั้น
ผู้พิพากษาชุยเอ่ยว่า “พวกเราจำเป็นต้องใช้ศิลาตัดวิญญาณ ซึ่งมีคนพบแล้วที่แดนกลาง”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเอ่ยเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นเจ้ายังรอช้าอยู่ไย แค่หินก้อนหนึ่งเจ้ายังเอามาไม่ได้หรือ”
“หินนั้นเอามาได้ แต่ที่ข้าน้อยจะเอ่ยเป็นของสิ่งที่สอง” ผู้พิพากษาชุยพูดพลางหันไปมองทางเรือนของเฉียวเวยเวย
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ได้พูดอะไร
ผู้พิพากษาชุยเอ่ยด้วยความลังเล “ใต้เท้า…ก็คงทราบกระมัง หากคิดจะสร้างกายหยาบขึ้นใหม่ จำเป็นต้องใช้ไขเลือดมังกร หลายปีมานี้พวกเราเฝ้าหามังกรที่เหมาะสม แต่ก็จนใจที่ไม่เคยพบเจอ การปรากฏตัวของมังกรน้อยตัวนี้ บางทีอาจจะเป็นความตั้งใจสวรรค์… ไม่มีชนเผ่าใดที่จะแข็งแกร่งไปกว่ามารมังกรแล้ว นางจะต้องสามารถช่วยสร้างร่างใหม่ให้ใต้เท้าได้แน่ เพียงแต่เวลานี้นางยังเด็กเกินไป ยังไม่อาจะกลั่นเอาไขมารมังกรออกมาได้”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักมองไปนอกหน้าต่าง เฉียวเวยเวยกำลังหิ้วถังไม้ใบเล็ก ตักน้ำรดต้นไม้อยู่ ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นที่เดิมทีเหี่ยวแห้งใกล้ตาย ล้วนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หลิงจือยิ้มพลางลูบศีรษะนาง
เฉียวเวยเวยชอบหลิงจือ จึงเอาศีรษะถูไถกับฝ่ามือของนาง
ใต้เท้าเจ้าตำหนักดึงสายตากลับมา “ข้ารู้แล้ว”
…