หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 16-2 ยารวมปราณ การประลองครั้งใหญ่ของศิษย์ใหม่
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 16-2 ยารวมปราณ การประลองครั้งใหญ่ของศิษย์ใหม่
ตอนพิเศษ 16-2 ยารวมปราณ การประลองครั้งใหญ่ของศิษย์ใหม่
หลังจากหลิงจื่อกลับถึงสำนักเชียนหลันแล้ว นางสารภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้อาจารย์ของนางฟังอย่างไม่มีอะไรปิดบัง “…ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ ศิษย์สร้างเรื่องเสียแล้ว”
ผู้พิทักษ์ใหญ่บอกว่า “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า หากสำนักว่านเซี่ยงคิดจะรังแกก็ไม่มีใครขวางได้ เรื่องของคุณหนูสำนักว่านเซี่ยงไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”
ลูกศิษย์ใหม่ที่อยู่ในช่วงต้นของขั้นรากฐาน กระทั่งจื่อเยียนยังเอาชนะไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจะเล่นตุกติกกับสิงโตม่วงสองปีกนั่นเลย นางเชื่อมั่นว่าลูกศิษย์นางไม่มีความผิด หากสำนักว่านเซี่ยงกล้าเอาเรื่องนี้มาหาเรื่องถึงที่นี่ สำนักเชียนหลันก็จะไม่เกรงใจเช่นกัน!
ที่น่าแปลกก็คือสำนักว่านเซี่ยงไม่ได้มาถามหาคำอธิบายใดๆ ที่นี่
เรื่องนี้หลังจากสร้างความฮือฮาขึ้นในเมืองแล้ว ไม่เท่าไรก็ค่อยๆ สงบไป
มีข่าวลือบอกว่า บุตรชายของรองหัวหน้าสหพันธ์สั่งสอนสัตว์เลี้ยงของตนอย่างรุนแรง ซ้ำยังจับมันไปขังไว้ ภายในชั่วเวลาอันสั้นไม่อนุญาตให้มันออกมาข้างนอกเองอีก
และก็มีข่าวลือบอกว่า คุณหนูของสำนักว่านเซี่ยงฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี การแต่งงานระหว่างสองครอบครัวจะดำเนินต่อไปดังเดิม และทั้งสองฝ่ายยังคงมีความสันพันธ์ที่ดีระหว่างกันดังเดิม
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข่าวลือ สถานการณ์โดยแท้จริงเป็นเช่นไร ตคนที่รู้เห็นเท่านั้นถึงจะรู้
ทั้งๆ ที่ฤกษ์แต่งงานใกล้เข้ามาแล้ว ควรจะยินดีถึงจะถูก แต่ว่านจื่อเยียนกลับอารมณ์ไม่ดีหนักขึ้นทุกวัน ลูกศิษย์สำนักว่านเซี่ยงที่ไม่รู้ความจริงต่างงุนงงว่าคุณหนูของเจ้าสำนักเป็นอะไร ใช่ว่ากินยาอะไรผิดไปหรือไม่
กลับมาเอ่ยถึงวันนั้นหลังกลับถึงเรือนแล้ว หลิงจือก็เอายารวมปราณสองเม็ดออกมาให้เฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวกิน
จีเสี่ยวซิวถึงอย่างไรก็เป็นอาจารย์อาน้อยของหลิงจือ หลิงจือไม่กล้าปิดบังผู้พิทักษ์ใหญ่ ผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ได้ทัดทานอะไร ให้หลิงจือลองดูได้
แต่ที่ผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ได้บอกหลิงจือก็คือ ตั้งแต่ตอนที่เด็กคนนี้อายุครบสิบเดือน เล่อหยางเจินเหรินได้เอายารวมปราณให้เขาลองดูแล้ว ลองไปทั้งหมดสามครั้ง ปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งทั้งหมดไม่สามารถทำให้รากปราณงอกขึ้นมาได้ เล่อหยางเจินเหรินถึงขั้นเคยลองรวมปราณให้เขาด้วยตนเอง ด้วยพลังปราณของผู้ประเสริฐที่บรรลุญาณพร้อมเป็นเซียน ไม่มีทางที่ยารวมปราณจะสามารถทัดเทียมได้
ถึงขั้นนั้นแล้วจีเสี่ยวซิวก็ยังไม่อาจมีรากปราณงอกขึ้นมาได้ จึงมั่นใจได้ว่าเขาเป็นเพียงฟืนไร้ค่าเท่านั้น
แต่ในเมื่อหลิงจือมีความตั้งใจ ผู้พิทักษ์ใหญ่ก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจนาง
จีเสี่ยวซิวไม่อยากกิน เขาไม่อยากให้รากปราณงอก หากมีรากปราณงอกก็เท่ากับว่าต้องฝึกวิชา และใต้เท้าเจ้าตำหนักผู้เคารพก็ไม่อยากฝึกวิชาสักนิด
เขาเลยเอาให้เฉียวเวยเวย
เฉียวเวยเวยก็กลัวขมเลยไม่กิน
จีเสี่ยวซิวถอนหายใจด้วยความจนใจ แสร้งทำเป็นกลืนลงไป และแน่นอนว่าหลังจากนั้นเขาก็คายมันออกมา
ยารวมปราณต้องผ่านไปอย่างน้อยสามเดือนถึงจะเห็นผล ก่อนหน้านั้นจึงไม่มีใครยุ่งวุ่นวายกับพวกเขา
วันนั้นจีเสี่ยวซิวดึงหญ้ามังกรสดใหม่มาได้สำเร็จ แต่การจะนำมาปลูกให้ออกดอกออกผลนั้นไม่ง่าย
จีเสี่ยวซิวให้ผู้พิพากษาชุยเอาน้ำจากยมโลกมาเทลงในสระน้ำของเถิงเสอ ต้นหญ้านั้นก็ปลูกอยู่ข้างสระน้ำ เถิงเสอรดน้ำจากยมโลกให้ทุกวัน ไม่เท่าไรหญ้ามังกรก็ออกดอก เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะมีผลงอกออกมา
หลายวันหลังจากนั้น ในที่สุดการทดสอบของลูกศิษย์ใหม่ก็มาถึง นี่เป็นการทดสอบครั้งสุดท้าย หลังจากผ่านการทดสอบแล้ว ลูกศิษย์ที่คุณสมบัติไม่ดีจะถูกกระจายให้ไปอยู่นอกสำนัก
การทำสอบมีทั้งหมดสามรายการ คือรากปราณ ระดับการฝึกตน กับวิชาเวทย์และกระบวนท่า
หลังจากมาอยู่แดนกลางแล้ว ลูกศิษย์ใหม่ทั้งหมดล้วนมีรากปราณที่งอกสมบูรณ์ ในการทดสอบครั้งแรกจึงไม่มีใครสอบไม่ผ่าน
การทดสอบที่สอง ต้องฝึกปราณถึงขั้นกลางให้ได้ถึงจะผ่านการทดสอบ
การทดสอบที่สาม จะต้องแสดงวิชาเวทย์และกระบวนท่าที่ร่ำเรียนไปทั้งหมดภายในเวลาที่กำหนด
หลังจากผ่านการทดสอบทั้งสามรายการ คนที่คะแนนดีเลิศที่สุดก็คือเด็กสาวรากปราณสวรรค์ตามคาด หลังจากฝึกตนอยู่หนึ่งเดือนนางขึ้นถึงขั้นรากฐานระดับกลางแล้ว ความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้เรียกได้ว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
หลิงจือตามติดมาข้างหลัง ได้ลำดับที่สองไป
คนที่สามคือศิษย์ชายคนหนึ่งนามหลินเหมี่ยว ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี มีรากปราณคู่ไฟกับไม้ ฝึกปราณอยู่ในขั้นปลาย ใกล้จะขึ้นมาอยู่ขั้นรากฐานเต็มที
คุณชายน้อยหรงการทดสอบที่หนึ่งกับที่สองล้วนผ่านเกณฑ์ ถึงขั้นว่าพลังปราณของเขาแทบจะรุดหน้าหลิวจือไปตามเด็กสาวรากปราณสวรรค์ทันแล้ว แต่เขาใช้คาถาอะไรไม่เห็นเลยสักอย่าง กระบวนท่าอะไรก็ทำไม่เป็น การทดสอบที่สามจึงได้ศูนย์ไปครอง
ผู้ดูแลหลิวโกรธจนหนวดสั่นตาเบิกโต ด้วยความเกรี้ยวกราดเขาจึงลงโทษเขาให้ไปให้อาหารสัตว์วิเศษอีกครั้ง!
พ่อครัวที่โรงครัวแทบอย่างจะเป็นบ้า!
สัตว์วิเศษเขาสู้อุตส่าห์ให้อาหารจนอ้วนพี ต้องกลับมาผอมแห้งอีกแล้ว!
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนผ่านไปไวราวกับโกหก เพียงพริบตาก็ถึงวันจ่ายเบี้ยหวัดของสำนักเชียนหลันอีกแล้ว หลังจากการทดสอบ เบี้ยหวัดของหลิงจือเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หนึ่งเดือนจะได้ยี่สิบตำลึง และมีให้พิเศษเป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นดีของแดนกลางสองก้อน กับข้าวศักดิ์สิทธิ์ชั้นดีของแดนกลางอีกสามสิบเม็ด
หลิงจือยินดียิ่งนัก รู้สึกว่าสิ่งที่นางได้ดีกว่าที่นางคิดฝันไว้มากมายนัก
นางอยากเอาเรื่องนี้ไปโอ้อวดกับเสี่ยวเวยเวยแทบทนไม่ไหว จึงรีบเอาของที่ได้กลับไปที่ห้อง
ด้วยฐานะเพื่อนเล่นของจีเสี่ยวซิว เฉียวเวยเวยเองก็เป็นคนมีเบี้ยหวัดกับเขาเหมือนกัน
ตอนหลังหลิงจือก็ได้เห็นเฉียวเวยเวยหยิบของจากห่อผ้าที่ใหญ่จนแทบแบกไม่ไหวออกมา มีทั้งเงินห้าสิบตำลึง ศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นดีของแดนกลางสิบก้อน กับข้าวศักดิ์สิทธิ์ชั้นดีของแดนกลางอีกหนึ่งจิน (หนึ่งจินประมาณหนึ่งพันเม็ด)
หัวใจของหลิงจือได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วง!
…
หลังจากเกิดเหตุครั้งนั้น สำนักว่านเซี่ยงกับสำนักเชียนหลันอยู่โดยไม่ข้องเกี่ยวกัน ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องว่านจื่อเยียนกับหลิงจือและเฉียวเวยเวยก็คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ต่างฝ่ายต่างอยู่กันอย่างสงบ
แต่ในบางครั้งยิ่งสงบเกินไปก็ยิ่งซ่อนคลื่นอันไร้ขอบเขตเอาไว้
แล้วก็เห็นเช่นนั้นจริงๆ ช่วงต้นเดือนของเดือนสามที่ย้ายขึ้นมายังแดนกลาง สำนักเชียนหลันก็ได้รับเทียบเชิญจากสหพันธ์ฉบับหนึ่ง
เจ้าสำนักสวี่จึงเรียกประมุขเหลยรวมถึงผู้พิทักษ์หลายคนไปที่โถงซงชุ่ย แล้วพูดคุยเรื่องเทียบเชิญกับพวกเขา
ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยว่า “ในจดหมายเขียนไว้อย่างไรหรือ”
เจ้าสำนักสวี่บอกว่า “การประลองครั้งใหญ่ของศิษย์ใหม่ที่จัดขึ้นสิบปีครั้ง สำนักเชียนหลันได้รับเชิญด้วย ขอเพียงเป็นศิษย์ที่อายุไม่เต็มสิบปี และฝึกตนไม่ถึงสามปี ล้วนสามารถเข้าร่วมการประลองนี้ได้ทั้งสิ้น”
โดยปกติแล้ว ลูกศิษย์ที่อายุไม่เต็มสิบปีล้วนเพิ่งมีรากปราณงอกขึ้นมาทั้งสิ้น การฝึกตนยังไปไม่ถึงไหน
ส่วนศิษย์ที่ฝึกตนไม่ถึงสามปี การฝึกก็ยังรุดหน้าไปไม่เท่าไรเช่นกัน อย่างเก่งที่สุดก็แค่มีรากฐานที่สมบูรณ์เท่านั้น
ดังนั้นคุณสมบัติสองข้อของผู้ที่เข้าร่วมการประลองครั้งใหญ่นี้ ถึงจะดูว่ากว้าง แต่เอาเข้าจริงหากเอ่ยโดยสรุปก็เป็นเพียงประโยคเดียว— ผู้ที่อยู่ใต้ขั้นผสานตัน
ผู้พิทักษ์ใหญ่ถามว่า “ทุกสำนักได้รับจดหมายนี้กันหมดเลยรึไม่”
เจ้าสำนักสวี่ส่ายหน้า “เท่าที่ข้ารู้ สำนักจินเตาไม่ได้ เทียบเชิญเช่นนี้โดยมากจะไม่ส่งถึงสำนักที่ไม่เข้าร่วมกับสหพันธ์ เช่นนี้คือมีคนเสนอพวกเราเข้าไป”
”ใครกัน” มีหลายคนถามขึ้นพร้อมกัน
เจ้าสำนักสวี่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สำนักว่านเซี่ยง”
ผู้พิทักษ์รองข้องใจ “สำนักว่านเซี่ยงเหตุใดต้องเสนอชื่อพวกเราด้วย พวกเขาคิดจะทำอะไร”
เจ้าสำนักสวี่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ดูท่าพวกเขาจะยังติดใจกับเรื่องเมื่อคราก่อน คิดอยากหาโอกาสแก้แค้นพวกเรา”
ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยช้าๆ ว่า “พวกเขาไม่ชอบหน้าพวกเรานานแล้ว ตอนอยู่แดนล่างก็คอยหาเรื่องท้าทายไม่หยุดหย่อน เมื่อมายังแดนกลางก็ยังจะชิงพื้นที่เดียวกับพวกเรา ซ้ำยังรังแกหลิงจือกับน้องสาวของนาง ต่อให้ไม่มีเรื่องที่เป่ยเจิ้น เหตุครานี้ก็คงหนีไม่พ้นอยู่ดี”
เจ้าสำนักสวี่พยักหน้า “ถูกต้อง ที่ควรมาอย่างไรก็ต้องมาถึง”
ผู้พิทักษ์ใหญ่หันไปเอ่ยกับเจ้าสำนัก “จากความเห็นของเจ้าสำนักแล้ว พวกเราควรเข้าร่วมการประลองครั้งนี้หรือไม่”
เจ้าสำนักสวี่ใช้ความคิด “ด้วยความสามารถของพวกเราในเวลานี้ โอกาสชนะมีเท่าไร”
ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยอย่างใช้ความคิด “ศิษย์ที่ฝึกตนมาน้อยกว่าสามปี มีหนึ่งคนที่รากฐานสมบูรณ์ มีสองคนที่อยู่ในรากฐานขั้นกลาง สี่คนมีรากฐานขั้นต้น ด้วยความสามารถนี้หากอยู่แดนล่างยังพอมีโอกาส แต่เมื่ออยู่แดนกลาง… ขออภัยที่ข้ากล่าวตามตรง โอกาสขนะมีไม่มาก”
การประลองครั้งใหญ่ครั้งนี้ หากชนะชื่อเสียงย่อมขจรกระจายไปไกล แต่หากแพ้ สำนักเชียนหลันที่เดิมทีก็ไม่ได้รับการต้อนรับอยู่แล้ว เกรงว่าจะยิ่งกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะของแดนกลาง
สำนักว่านเซี่ยงตั้งใจเช่นนี้ พวกเขาอยากให้สำนักเชียนหลันไม่อาจอยู่ในแดนกลางได้อีกต่อไป
เจ้าสำนักสวี่หันไปมองทิวเขาอันไร้ขอบเขต สายตาค่อยๆ แน่วแน่ขึ้น “หากประลองบางทีอาจจะแพ้ แต่หากไม่ประลองก็จะแพ้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ คนของสำนักเชียนหลันไม่ใช่คนขี้ขลาด! หากจะแพ้ก็ต้องแพ้บนลานประลอง จะไม่ยอมแพ้ทิ้งศักดิ์ศรีเด็ดขาด”