หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 18-1 รอดพ้นอันตราย
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 18-1 รอดพ้นอันตราย
ตอนพิเศษ 18-1 รอดพ้นอันตราย
โซ่หาดมังกรเป็นของที่ใช้เล่นงานเผ่ามังกร ย่อมไม่อาจประเมินความน่ากลัวของมันได้ มันสามารถผนึกพลังปราณและไอมารได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มารมังกรสูญเสียการขยับเขยื้อนและการเอื้อนเอ่ย โซ่หาดมังกรประเภทนี้เดิมทีมีไว้ใช้กับมารมังกรที่โตเต็มวัยแล้ว กับมังกรละอ่อนน้อยตัวหนึ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เพียงนี้อาวุธวิเศษประเภทนี้กลับไม่มีผลใดๆ ต่อคนธรรมดา
ไม่ว่าจะอยู่ในแดนใด ปุถุชนคนธรรมดามักเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุด หากผู้ฝึกตนในโลกหล้านี้ล้วนสามารถทำอะไรคนปุถุชนได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นปุถุชนคนธรรมดาอาจเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนแล้ว
ในโลกนี้ย่อมมีกฎแห่งวิถีสวรรค์เป็นของตนเอง อาวุธวิเศษอาวุธญาณอะไรพวกนี้ โดยมากมักจะไม่เป็นภัยต่อคนธรรมดา โซ่หาดมังกรเมื่อมาใช้กับเด็กอย่างจีเสี่ยวซิวที่ไม่มีกระทั่งรากปราณนั้น ก็เป็นเพียงโซ่เหล็กที่สุดแสนจะธรรมดาเส้นหนึ่งเท่านั้น
“โซ่เหล็ก” หลังจากพันตัวจีเสี่ยวซิวแล้วไม่ได้รัดรึงตัวเขาไว้ทันที แต่ร่วงหล่นลงกับพื้น
เหลียวเจินเหรินกับฉือเฟิงที่คอยมองเหตุการณ์นั้นอยู่ไม่ไกลพร้อมใจกันเบิกตาโต
เหลียวเจินเหรินเดินกลับไปหาฉือเฟิง ถามด้วยความตกใจว่า “ให้ตายสิ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ โซ่เจ้าใช้การไม่ได้แล้วหรือ”
“เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นโซ่ที่นายน้อยให้ข้ามากับมือ นอกเสียจากว่า…” ฉือเฟิงคิดอะไรได้ สายตาพลันหันขวับไปยังเฉียวเวยเวยที่กำลังเก็บถั่วเคลือบน้ำตาลกินอยู่
ในขณะที่เขากำลังคิดจะลองใช้โซ่นี้กับเฉียวเวยเวยนั้น จู่ๆ จีเสี่ยวซิวก็จับแขน “อ๊าก…เจ็บเหลือเกิน!”
ท่าทางเหมือนถูกโซ่หาดมังกรทำให้บาดเจ็บแค่เพียงตอบสนองช้าไปสักเล็กน้อยเท่านั้น
ฉือเฟิงดึงสายตากลับมาทันที เขาหันไปมองจีเสี่ยวซิวอีกครั้งพลางส่งเสียงหึเย็นๆ “ที่แท้ก็ยังใช้การได้อยู่ ข้าก็ว่าอยู่ โซ่หาดมังกรจะเสียได้อย่างไร”
ฉือเฟิงคิดจะเหวี่ยงโซ่หาดมังกรออกไปอีกครั้ง แต่จีเสี่ยวซิวกลับวิ่งเข้าไปจับมือเฉียวเวยเวยแล้ววิ่งฉิวหนีไปเสียแล้ว
สายตาฉือเฟิงพลันดุดัน “คิดจะหนีหรือ ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก!”
จีเสี่ยวซิวร้องลั่น “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! มีคนชั่วจะจับเด็ก!”
ผลผูถีใกล้ออกแล้ว หลายวันนี้คนที่มายังเขาหมิงหวังเพื่อตามหาของล้ำค่ามีอยู่ไม่น้อย ตอนได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของจีเสี่ยวซิว มีบางคนเลือกจะไม่สนใจ แต่ก็มีบางคนที่เข้ามาหาอย่างมีน้ำใจ
หนึ่งในนั้นคนที่อยู่ใกล้ที่สุดคือคู่ศิษย์พี่กับศิษย์น้องหญิงในเครื่องแต่งกายสีเขียว ทั้งสองอยู่ห่างจากจีเสี่ยวซิวกับเฉียวเวยเวยแค่เพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยเก้าเท่านั้น
ศิษย์น้องหญิงสองหูกระดิก “ศิษย์พี่ลองฟังดูสิ ข้าเหมือนได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยด้วย พวกเราไปดูกัน!”
“ศิษย์น้องหญิง ศิษย์น้องหญิง ศิษย์น้องหญิง!”
ศิษย์น้องหญิงวิ่งไปจนไม่เห็นตัวแล้ว ศิษย์พี่จึงต้องไล่ตามไปด้วยความจนใจ
ฉือเฟิงเก็บมือกลับมาด้วยความไม่พอใจ!
ศิษย์น้องหญิงตามไปเจอจีเสี่ยวซิวที่มือหนึ่งเท้าสะเอวอีกมือเท้าต้นไม้หอบหายใจอย่างเอาเป็นเอาตายกับเฉียวเวยเวยที่ยืนเคี้ยวถั่วเคลือบน้ำตาลกรุบกรับๆ อยู่ข้างๆ
เด็กอายุสามสี่ขวบสองคน ผิวพรรณขาวเนียนราวกับหยก แต่ละคนหน้าตาน่ารักทั้งนั้น
ศิษย์น้องหญิงพอเห็นก็ถึงกับตาค้าง ร้องว้าวคำหนึ่งแล้วเดินเข้าไปย่อตัวลงมองเด็กคนนั้นทีหนึ่ง คนนี้ทีหนึ่ง ข่มความชื่นชอบในใจไว้ไม่อยู่ “น้องชาย เมื่อครู่ที่ร้องเรียกให้ช่วยคือพวกเจ้ากระมัง”
จีเสี่ยวซิวพยักหน้า
คนผู้นั้นเก็บมือไปแล้วแต่กลับยังไม่ไปไหนไกล ยังคงคอยหาโอกาสอยู่ที่เดิมอยู่เลย
ศิษย์น้องหญิงมองเครื่องแต่งกายประจำสำนักของทั้งสอง ชุดขาวเสื้อฟ้า ชุดขาวเสื้อเหลือง นี่ไม่ใช่ชุดของสำนักเชียนหลันหรอกหรือ
นางเอ่ยถามอึ้งๆ ว่า “พวกเจ้าเป็นคนของสำนักเชียนหลัน?”
จีเสี่ยวซิวพยักหน้าอีกครั้งแล้วถามด้วยความสงสัย “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
สำนักเชียนหลันเพิ่งย้ายมาอยู่แดนกลางได้ไม่นาน ชื่อเสียงไม่โด่งดัง ไม่ค่อยมีใครรู้จักเครื่องแบบของสำนักเชียนหลัน
ศิษย์น้องหญิงหลุบตาหัวเราะเบาๆ “ก็ข้ารู้น่ะสิ ใช่สิ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดพวกเจ้าถึงร้องให้คนช่วย”
เฉียวเวยเวยเคี้ยวถั่วเคลือบน้ำตาลกรุบกรับๆ ต่อไป
จีเสี่ยวซิวไม่ได้บอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสำนักว่านเซี่ยง บอกเพียงว่า “พวกเราเดินหลงกันกับศิษย์พี่ พวกเรากำลังจะไปหาเขา แต่ตอนหลังเจอเข้ากับคนไม่ดี เขาคิดจะจับตัวพวกเราไป”
“ที่แท้ก็หลงกันนี่เอง” ศิษย์น้องหญิงปัดความสงสัยที่เหตุใดเด็กสองคนจึงมาอยู่ในป่าลึกเช่นนี้ออกไปแล้วถามต่อว่า “ทำไมเขาต้องอยากจับตัวพวกเจ้าด้วย”
“ไม่รู้สิ” จีเสี่ยวซิวแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
ศิษย์น้องหญิงบอกว่า “ข้าแซ่สวี่ เจ้าเรียกข้าว่าพี่สวี่ก็ได้”
จีเสี่ยวซิวตอบอ้อคำหนึ่ง “ช่างเป็นโชคชะตา ศิษย์ลุงของข้าก็แซ่สวี่เหมือนกัน”
เจ้าสำนักสวี่ ศิษย์พี่ของเล่อหยางเจินเหริน
ศิษย์น้องหญิงคลี่ยิ้ม “หรือเจ้าจะเรียกข้าว่าพี่หลีเย่ว์ก็ได้นะ”
“เจ้าชื่อสวี่หลีเย่ว์หรือ” จีเสี่ยวซิวทำหน้าน่ารัก
ศิษย์น้องหญิงเลยยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม “ใช่แล้ว เจ้าฉลาดจริงเชียว”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ศิษย์พี่ของสวี่หลีเย่ว์นามเหวินเหรินเฟิงก็ตามมาถึง
เหวินเหรินเฟิงไม่ได้มีน้ำใจดีงามเช่นเดียวกับศิษย์น้องหญิงของตน เขามองเครื่องแต่งกายของจีเสี่ยวซิวกับเฉียวเวยเวยแล้วก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร นางดึงตัวสวี่หลีเย่ว์ไปกระซิบบอกว่า “ศิษย์น้องหญิง พวกเขาเป็นคนของสำนักเชียนหลัน เรื่องของสำนักเชียนหลันพวกเราอย่าเข้าไปยุ่งจะดีที่สุด”
สวี่หลีเย่ว์เหลือบมองเด็กใต้ต้นไม้ เฉียวเวยเวยเอาแต่กินถั่วเคลือบน้ำตาลไม่สนใจนาง กลับเป็นจีเสี่ยวซิวที่ส่งยิ้มน่ารักมาให้นาง
สวี่หลีเย่ว์พลันใจละลาย เอ่ยกับศิษย์พี่ว่า “สำนักเชียนหลันทำไมหรือ”
เหวินเหรินเฟิงบอกว่า “สำนักเชียนหลันไปมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย ช่วยเหลือพวกเขาไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ต่อพวกเราเลย”
สวี่หลีเย่ว์ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แต่พวกเขายังเด็กแค่นั้น เจ้าจะให้ข้าทิ้งพวกเขาไว้หรือ อีกอย่างคนที่จะจับพวกเขาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นสำนักฝ่ายธรรมะที่ไหน บางทีอาจจะเป็นผู้ฝึกตนมารที่อยากจับเด็กสองคนนี้ไปฝึกวิชาเวทย์ชั่วร้ายก็ได้”
เหวินเหรินเฟิงถอนหายใจด้วยความจนใจ “ศิษย์น้องหญิง พวกเรากำลังตามหาผลผูถี เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดมาเพื่อตามหามันน่ะ เจ้าคิดว่าคนที่มาร่วมการประลองลูกศิษย์ใหม่เหล่านั้นมาเพื่อการประลองจริงๆ หรือ แค่เพียงอาศัยโอกาสนี้เข้าใกล้วเขาหมิงหวังโดยไม่ให้เป็นที่สังเกตเท่านั้น เดิมทีพวกเราก็พลังอ่อนด้อยอยู่แล้ว หากพาเด็กไปด้วยอีกสองคน กระทั่งปกป้องตัวเองอาจจะไม่พอเลยก็ได้”
สวี่หลีเย่ว์ดูลังเล “แต่ว่า…”
เหวินเหรินเฟิงตัดบทนาง “อาการบาดเจ็บของเจ้าผ่านมาตั้งหลายปีแล้วก็ยังไม่หายดี การฝึกตนก็หยุดชะงักอยู่ที่ขั้นรากฐานสมบูรณ์ เป็นตายอย่างไรก็ผสานตันไม่ได้เสียที มีเพียงผลผูถีที่จะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้ แต่ผลผูถีหนึ่งพันปีจะออกผลเพียงหนึ่งครั้ง หากครั้งนี้เจ้าไม่ได้มา ก็จะไม่มีครั้งหน้าแล้วนะ”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่ง มีเพียงการประสานตันเท่านั้นถึงจะนับว่าปลดแอกจากกายหยาบของปุถุชนและย่างเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกตนเป็นเซียนอย่างเป็นทางการ ผู้ฝึกตนที่ยังไม่ถึงขั้นประสานตันเหล่านั้นอายุขัยเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ไม่ถึงร้อยปีก็จะแหลกสลาย
ดังนั้นสำหรับสวี่หลีเย่ว์แล้ว หากไม่เอาผลผูถีมาให้ได้ ก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนในขั้นรากฐานตลอดไป หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปีก็จะถึงเวลาสิ้นใจอย่างสงบ
เหวินเหรินเฟิงบอกว่า “ฟังคำข้าเถิด ปล่อยเด็กไว้ที่นี่ ในเมื่อพวกเขาเดินหลงกันกับคนในสำนัก คนในสำนักจะต้องรีบมาตามหาตัวเขาแน่”
สวี่หลีเย่ว์บอกว่า “พวกเราส่งตัวพวกเขากลับไปได้หรือไม่”
เหวินเหรินเฟิงทำสีหน้าจริงจัง “ไม่มีเวลาแล้ว ศิษย์น้องหญิง”
สวี่หลีเย่ว์นิ่งงัน