หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 24-1 พ่อลูกได้พบหน้า
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 24-1 พ่อลูกได้พบหน้า
ตอนพิเศษ 24-1 พ่อลูกได้พบหน้า
ด้านในรถม้า รองหัวหน้าสหพันธ์เห็นศีรษะเล็กกลมยื่นเข้ามา แสงสว่างจากไข่มุกราตรีส่องแสงอ่อนๆ ลงที่ใบหน้าน้อยขนาดเท่าฝ่ามือของนาง นางมีดวงตากลมโตเป็นประกาย ลูกตาดำขลับราวกับเม็ดองุ่น ทั้งใหญ่ทั้งบ้องแบ๊ว
นางมองสำรวจบรรยากาศภายในรถด้วยความใคร่รู้ ศีรษะของนางหมุนตามไปพร้อมกับดวงตาที่อยู่ไม่สุข ปากน้อยๆ เผยอขึ้น ซ้ำยังมีน้ำลายที่ส่องประกายย้อยอยู่ตรงมุมปากเสียด้วย
รองหัวหน้าสหพันธ์ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ๆ ก็รู้สึกขบขันขึ้นมา
สารถีที่อยู่ข้างๆ กลับมึนงงไปเล็กน้อย จะจับตัวเด็กคนนี้ลากออกไปก็ไม่ใช่ จะไม่ลากก็ไม่เชิง นายท่านของเขาเป็นรองหัวหน้าสหพันธ์ที่แค่กระทืบเท้าคนทั้งแดนกลางก็เป็นต้องตัวสั่นเชียวนะ เขาก็ดันไม่คอยเฝ้าประตูหน้าต่างให้ดี ปล่อยเด็กข้างทางเข้าไปเสียได้
ไม่สิ ยังไม่ได้เข้าไปเสียทีเดียว ตัวยังห้อยอยู่ข้างนอกอยู่เลย
ตอนสารถีตัดสินใจว่าจะดึงตัวเด็กออกมานั้น เฉียวเวยเวยก็ปล่อยผ้าม่านแล้วมุดเข้าไปอย่างว่องไวเสียแล้ว
สารถีคว้าได้แค่อากาศ
ในรถมีโต๊ะตัวเล็กอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีถ้วยกระจกที่หน้าตาประณีตบรรจงวางอยู่ ในชามมีไข่มุกหลากสีสันอยู่เต็มถ้วย เดิมทีมีไว้เพื่อประดับตกแต่ง ดังนั้นจึงงดงามยิ่งนัก
เฉียวเวยเวยเข้าไปที่โต๊ะ มองไข่มุกเม็ดงามเหล่านั้นตาแป๋ว
นางมองไข่มุก ส่วนเจ้าของไข่มุกกลับมองนาง
รองหัวหน้าสหพันธ์มองประเมินนางตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง เด็กคนนี้ดูแล้วยังไม่เกินสี่ขวบ ใส่ชุดนอนสีขาวซีด เสื้อนอนดูจะหลวมเล็กน้อย หนำซ้ำนางยังตัวเล็ก จึงยิ่งดูโคร่งแต่กลับทำให้ดูน่ารักน่าเอ็นดู
เครื่องหน้าทั้งห้าของนางงดงามจนเกิดกว่าเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้น
บนตัวนางมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้รองหัวหน้าสหพันธ์รู้สึกเหมือนรู้จักนางมาก่อน คล้ายเคยพบที่เห็นที่ไหน
แต่จะเป็นที่ไหนกันนะ
โคร่ก~
เฉียวเวยเวยท้องร้องเสียแล้ว
รองหัวหน้าสหพันธ์เปิดกล่องอาหารเล็กๆ บนโต๊ะแล้วเอาขนมหน้าตาสวยงามออกมาวางตรงหน้านางสามจาน “กินสิ”
เฉียวเวยเวยหันไปใช้สายตาใสซื่อมองเขา
จังหวะที่เด็กคนนั้นหันมามอง รองหัวหน้าสหพันธ์เกิดตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ไม่นานเขาก็ปรับอารมณ์ได้ เผยรอยยิ้มที่ไม่น่ามองเสียยิ่งกว่าตอนร้องไห้ออกมา เป็นการบอกว่าตนไม่ใช่คนน่ากลัวจริงๆ
เฉียวเวยเวยเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก็เลื่อนสายตาหนี มือน้อยๆ ของนางหยิบขนมเกาลัดหอมนุ่มชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดกิน
ท่าทางการกินของเด็กคนนี้ก็ช่างน่ารัก
รองหัวหน้าสหพันธ์เอียงคอมอง ไม่รู้เพราะความรู้สึกคุ้นเคยนั้นทำพิษหรือไร เขาถึงกับไม่อาจเลื่อนสายตาไปได้
อีกด้านหนึ่ง ชายชุดดำที่รอจับมังกรน้อยอยู่กลับตกใจจนขวัญเสีย
“ทำอย่างไรดี เจ้าตัวนั้นขึ้นรถม้าของรองหัวหน้าสหพันธ์ไปแล้ว! นายน้อยสั่งเอาไว้ จะให้รองหัวหน้าสหพันธ์รู้เรื่องมังกรน้อยไม่ได้… เจ้าคิดหาทางเร็วเข้า!”
“ข้าจะคิดวิธีอะไรได้เล่า”
“ขาดแค่ก้าวเดียวเท่านั้น รองหัวหน้าสหพันธ์ช่างมาไม่ได้เวลาเอาเสียเลย!”
“เรื่องนี้จะรั้งรอไม่ได้ รีบแจ้งให้นายน้อยทราบเดี๋ยวนี้!”
ภายในรถม้า เฉียวเวยเวยยังคงกินขนมเกาลัดต่อไป แต่ระหว่างที่นางกินอยู่นั้น จู่ๆ นางก็หนีบขาแน่น
รองหัวหน้าสหพันธ์สังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปจึงถามขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือ”
เฉียวเวยเวยไม่ตอบ มีแค่ขาน้อยๆ ของนางที่หนีบแน่นขึ้น
รองหัวหน้าสหพันธ์เห็นท่าทางนางคล้ายกลั้นอะไรอยู่ กลั้นจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด รองหัวหน้าสหพันธ์อึ้งไปเล้กน้อย ลองหยั่งเชิงถามว่า “เจ้าปวดท้องหรือ”
เฉียวเวยเวยส่ายหน้า
รองหัวหน้าสหพันธ์ถามต่อว่า “ใช่ว่าไม่อร่อยหรือไม่”
เฉียวเวยเวยส่ายหน้าอีกครั้ง
รองหัวหน้าสหพันธ์ไม่รู้แล้วว่าควรถามอะไรอีก พอเห็นท่าทางนางกลั้นจนดูน่าสงสารจึงจำต้องถามต่อว่า “เจ้าเป็นคนจากสำนักใด ข้าส่งเจ้ากลับไปดีหรือไม่”
“น้องหญิง!”
เฉียวเวยเวยยังไม่ทันตอบ เสียงเด็กน้อยของจีเสี่ยวซิวก็ดังขึ้นด้านหลังรถม้า
จีเสี่ยวซิววัยสามขวบเอาสองมือไพล่หลัง เดินเข้ามาด้วยท่าทางมากอำนาจ เขาปรายตามองสารถีที่อยู่ข้างๆ พลางถามว่า “อุ้มหน่อย?”
สารถีอุ้มเขาขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงง
จีเสี่ยวซิวขึ้นรถม้า เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเดินเข้าไป เขามองเฉียวเวยเวยที่เรียบร้อยปลอดภัยดีแล้วหันไปมองรองหัวหน้าสหพันธ์ที่ดูตกใจ เขาตีหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยว่า “ขอประทานอภัยผู้สูงวัย น้องสาวข้าซุกซน สร้างความลำบากให้ท่านแล้ว”
ผู้ ผู้สูงวัย…
รองหัวหน้าสหพันธ์มุมปากกระตุก
“นี่ก็ดึกแล้ว พวกเราขอตัวก่อน” จีเสี่ยวซิวเอ่ยอย่างแก่แดดแก่ลมเสร็จก็จูงเฉียวเวยเวยออกจารถ เอ่ยกับสารถีอีกครั้งว่า “ช่วยอุ้มอีกที?”
สารถีอุ้มเด็กสองคนลงมาอย่างตาโตอ้าปากค้าง
จากนั้นจีเสี่ยวซิวก็จูงมือเฉียวเวยเวยเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
จีเสี่ยวซิวอยากต่อว่าต่อขานเจ้ามังกรละอ่อนผู้โง่เขลาตัวนี้นัก รู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ถึงได้กล้ามุดเข้าไปในรถเขา เรื่องสมรู้ร่วมคิดสกปรกๆ ของสำนักว่านเซี่ยงอย่างไรก็เกี่ยวข้องกับรองหัวหน้าสหพันธ์อย่างไม่ต้องสงสัย แค่ไม่รู้ว่ารองหัวหน้าสหพันธ์เป็นคนทำหรือนายน้อยผู้นั้นเป็นคนทำกันแน่ หรืออาจเป็นว่าสองพ่อลูกรวมหัวกันเลยก็ได้เช่นกัน สรุปแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อยู่ให้ห่างครอบครัวรองหัวหน้าสหพันธ์ไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
จีเสี่ยวซิวทำเสียงดุดัน “หากยังกล้าขึ้นรถม้าคนอื่นมั่วซั่ว กินของคนอื่นมั่วซั่วอีก ข้าจะตัดหางเจ้าทิ้งเสีย!”
พอสิ้นเสียงเด็กน้อยของเขา ตรงขอบฟ้าก็มีอินทรีแดงสองหางตัวมหึมาบินลงมา
อินทรีประเภทนี้ไม่ใช่อินทรีทั่วไป ขนาดตัวของมันใหญ่โตมโหฬารเสียยิ่งกว่าอินทรีทองเสียอีก สองปีกกางสยาย บดบังได้ทั่วท้องฟ้า และด้วยเหตุนี้กลับทำให้มันโบยบินได้อย่างแข็งแกร่ง หนึ่งวันสามารถบินได้นับพันลี้
อินทรีแดงสองหางมองเห็นจีเสี่ยวซิวกับเฉียวเวยเวย จึงส่งเสียงร้องพร้อมถลาพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว
ใต้เท้าเจ้าตำหนักรีบดึงเฉียวเวยเวยเข้าไปยังแดนยมโลก
เมื่อจิตตั้งต้นของใต้เท้าเจ้าตำหนักกับเฉียวเวยเวยเข้าไปในแดนยมโลกแล้ว ไอของมารมังกรก็หายตามไปด้วย
อินทรีแดงสองหางคว้าได้เพียงความว่างเปล่า บินวนอยู่กลางอากาศพักหนึ่ง เมื่อไม่พบเป้าหมายจึงสยายปีกบินไปหาข้างหน้าต่อไป
เมื่อมั่นใจว่าอินทรีแดงสองหางไปไกลแล้ว ใต้เท้าเจ้าตำหนักถึงเอ่ยกับเด็กน้อยที่อยู่ข้างเท้าว่า “เอาล่ะ ควรกลับกันได้แล้ว”
เฉียวเวยเวยไม่ขยับ
ใต้เท้าเจ้าตำหนักพลันหน้าบึ้ง ช่างเป็นมังกรที่เกียจคร้านเสียจริง!
ใต้เท้าเจ้าตำหนักโน้มตัวลงไปอุ้มเฉียวเวยเวยขึ้นมา เขาคิดว่าที่เฉียวเวยเวยไม่ขยับเป็นเพราะไม่อยากเดิน แต่จังหวะที่เขาอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมานั้น เขาก็พลันรับรู้ได้ถึงบางอย่าง ในขณะที่เขากำลังจะโยนเฉียวเวยเวยลงนั้น เขารู้สึกร้อนฉ่าที่หน้าท้อง…
…
ฟ้าเริ่มสาง เฉียวเวยเวยตื่นขึ้นพร้อมกับความแจ่มใส เมื่อคืนได้กินอิ่ม ได้ทำธุระเบาจนสบายท้อง มังกรน้อยจึงอารมณ์ดียิ่ง
จีเสี่ยวซิววัยสามขวบกลับอารมณ์บูดบึ้งยิ่งนัก เขาหน้าตาบอกบุญไม่รับตั้งแต่เช้าตรู่ เล่นเอาลู่หยวนเจิ่นที่สวมใส่เสื้อผ้าให้เขาขวัญเสียไปเลยทีเดียว
วันต่อมาในยามเฉิน การประลองรอบต่อไปเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
สถานที่ประลองยังคงเป็นแท่นบูชาครึ่งวงเดือนเช่นเดิม แต่เพราะเมื่อวานคัดลูกศิษย์ออกไปได้เกือบเก้าส่วน ลานประลองในวันนี้จึงแออัดน้อยลงมากนัก
แต่ผู้ฝึกตนที่คอยชมการประลองกลับไม่น้อยลง ในบรรดาคนเหล่านั้นมีลูกศิษย์ของสำนักบางคนยังคงคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของผลผูถีต่อไป และมีบางคนที่ได้ยินเรื่องราวประหลาดที่สำนักเชียนหลันมีการข้ามชั้นกันเป็นหมู่คณะ จึงอยากมาชมว่าเกิดอะไรขึ้น สรุปก็คือการประลองวันนี้คึกคักกว่าเมื่อวานเสียอีก
ที่นั่งผู้ชมทางด้านล่างมีคนนั่งกันแน่นขนัด ทางด้านบน อาวุธวิเศษและอาวุธญาณของสำนักใหญ่ๆ ทั้งหลายก็เข้าประจำที่กันพร้อมแล้ว
พื้นที่วงในและวงนอกในวันนี้ก็มีการจัดที่นั่งกันใหม่ สำนักเชียนหลันได้อยู่ในตำแหน่งในวงในที่ดีกว่าเมื่อวาน แทบจะ “เทียบเคียง” กับสำนักว่านเซี่ยงได้เลยทีเดียว
พวกเจ้าสำนักสวี่ขึ้นนั่งในเรือเหาะกันแล้ว พวกเขาเป็นกังวลว่าเด็กสองคนจะวิ่งเล่นแล้วหายไปไหนอีก เลยจับทั้งสองคนให้นั่งอยู่บนเก้าอี้
ที่เมื่อวานจีเสี่ยวซิวนั่งอยู่ด้านล่างเพราะคิดจะหาโอกาสหลบไปขุดศิลาตัดวิญญาณ เวลานี้เมื่อได้ศิลาตัดวิญญาณมาแล้ว ย่อมไม่ร่ำร้องอยากจะลงจากเรือเหาะอีก
เด็กทั้งสองงยังคงยืนอยู่บนเก้าอี้ มือน้อยๆ จับรั้ว ยื่นศีรษะกลมเล็กของตนมองลงไปด้านล่างกันตาไม่กะพริบ
คนที่มองตาไม่กะพริบคือเฉียวเวยเวย จีเสี่ยวซิววัยสามขวบหน้าตาเยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา
เพื่อป้องกันไม่ให้ตกลงจากที่สูง ตรงเอวของทั้งสองจึงมีเชือกเส้นหนึ่งผูกไว้
แสงอาทิตย์อบอุ่นส่องเฉียงๆ ลงมาตกบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของทั้งสอง ใต้แสงอาทิตย์ตรงนั้นมีพระจันทร์เสี้ยวอันน้อยที่มีเพียงเฉียวเวยเวยที่มองเห็น กำลังส่องประกายระยิบระยับอยู่
ปากน้อยๆ ของเฉียวเวยเวยยื่นออกไปจุมพิตเบาๆ ลงบนพระจันทร์เสี้ยวอันน้อยนั้น
ใบหน้าของจีเสี่ยวซิวพลันพองขึ้น…