หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 26-2 พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 26-2 พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ (2)
ตอนพิเศษ 26-2 พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ (2)
ประมุขสวี่หันไปมองผู้พิทักษ์ใหญ่ ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกศิษย์ของผู้พิทักษ์ใหญ่ ควรทำเช่นไร ขึ้นอยู่กับนางตัดสินใจ
ผู้พิทักษ์ใหญ่นิ่งคิดก่อนบอกว่า “กลับไปทดสอบที่สำนักเชียนหลันก็แล้วกัน ข้าเกรงว่าหากบอกนางเร็วเกินไป จะส่งผลต่อผลงานของนางในวันพรุ่งนี้”
เจ้าสำนักสวี่พยักหน้า “ก็ดี”
ตกดึก รายชื่อคนที่เข้าสู่รอบสุดท้ายออกมาแล้ว เด็กสาวรากปราณสวรรค์กับหลิงจือล้วนมีชื่ออยู่บนกระดาน คุณชายน้อยหรงโชคไม่ดีถูกคัดออก เหตุผลที่เขาถูกคัดออกหาใช่เพราะเขาเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้ (ถึงแม้ในความเป็นจริงอาจจะสู้ไม่ได้จริงๆ) แต่เขาเพิ่งลงสนามก็เริ่มเลื่อนขั้นขึ้นไปไม่หยุดแล้ว!
เขาเลื่อนระดับจากรากฐานขั้นต้น เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนเป็นรากฐานขั้นกลาง รากฐานขั้นปลาย รากฐานกึ่งสมบูรณ์!
ในขณะที่ผู้ฝึกตนกำลังเลื่อนขั้นนั้นห้ามถูกรบกวนเด็ดขาด กว่าเขาจะเลื่อนระดับเสร็จ การประลองในวันนั้นก็สิ้นสุดลงแล้ว
คุณชายน้อยหรงบอกว่าเขาแค่กินผลไม้ที่หลิงจือให้มาไปสองผลเท่านั้น ใครจะไปรู้เล่าว่าเหตุใดอยู่ๆ เขาถึงเลื่อนระดับได้ ตัวเขาเองไม่คิดอยากเลื่อนระดับสักนิด…
…
การประลองวันสุดท้ายังคงจัดที่แท่นครึ่งวงเดือนเช่นเดิม แต่ไม่ใช่การประลองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่เป็นการช่วงชิงอาวุธวิเศษ ภายในระยะเวลาที่กำหนดจะต้องเอาอาวุธวิเศษที่สหพันธ์ซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ออกมาให้ได้ ใครหาอาวุธที่ดีเลิศที่สุดเจอ คนผู้นั้นก็จะเป็นฝ่ายชนะ
แต่เหล่าผู้ฝึกตนยังไม่ได้รับการบอกกล่าวว่าอาวุธชิ้นใดเป็นอาวุธที่ดีเลิศที่สุด พวกเขาจะต้องไปค้นหาด้วยตนเอง ลองประเมินด้วยตนเอง และในระหว่างนี้พวกเขาสามารถช่วงชิงอาวุธวิเศษจากผู้ฝึกตนคนอื่นได้
ในบรรดาผู้เข้าร่วมทั้งสิบห้าคน นอกจากหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ที่มาจากสำนักเชียนหลันแล้ว ผู้ฝึกตนคนอื่นล้วนมาจากสำนักต่างๆ กันไป
เพราะไม่ได้เป็นการประลองแล้ว เฉียวเวยเวยเลยไม่ได้ลงไปอยู่ข้างล่าง แต่พิงอยู่ริมรั้วของเรือเหาะ จับจ้องหลิงจือที่อยู่ในสนามไม่วางตา
หลิงจือรู้สึกได้ถึงสายตาของเฉียวเวยเวย นางจึงหันไปส่งยิ้มสดใสให้อีกฝ่าย
เฉียวเวยเวย “หลิงจือ”
บนแท่นครึ่งวงเดือนมีการตั้งประตูแห่งความเป็นความตายขึ้นไว้แล้วแปดบาน ตรงหน้าประตูแต่ละบานมีค่ายกลเคลื่อนย้ายตั้งอยู่ ส่วนจะเคลื่อนย้ายไปยังที่ใด ไปยังสถานที่ดีหรือว่าเลว ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเหล่าผู้ฝึกตนแล้ว
ประตูมงคลมีสามประตูคือประตูเปิด ประตูพัก ประตูเกิด ประตูสามบานนี้จะอยู่ใกล้กับอาวุธวิเศษมากที่สุด ทั้งยังเป็นประตูที่ปลอดภัยและเดินทางง่ายที่สุด
ประตูอัปมงคลก็มีทั้งหมดสามประตู ประตูตาย ประตูเคราะห์ และประตูเจ็บ หากเข้าไปหนึ่งในสามประตูนี้ มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะติดอยู่ภายใน อย่าว่าแต่ตามหาอาวุธวิเศษเลย แต่ออกมาได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ประตูปิดกับประตูทัศน์นับว่าเป็นประตูกลางๆ มากน้อยอย่างไรก็มีอันตรายอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงแก่ชีวิต
ด้านนอกประตูแห่งความเป็นความตายทั้งแปดบานยังตั้งข่ายอาคมไว้ คนที่อยู่ด้านนอกสามารถมองเข้าไปได้ แต่ผู้ฝึกตนภายในกลับมองออกมาไม่ได้ สิ่งที่ผู้ฝึกตนมองเห็นเป็นเพียงพื้นที่ปิดสนิท ไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีแสงเงา พวกเขาไม่อาจแยกแยะทิศทางได้ จึงย่อมไม่อาจแยกได้ว่าประตูบานไหนเป็นประตูเป็น บานไหนเป็นประตูตาย
ประตูแต่ละบานจะทาสีที่แตกต่างกันเอาไว้ ตรงหน้าผู้ฝึกตนทุกคนจะมีกล่องเล็กๆ ที่ดำวางเอาไว้ ด้านในกล่องจะใส่ไข่มุกแปดเม็ดที่สีเดียวกับประตู ผู้ฝึกตนอยากเข้าประตูไหน ก็เลือกเอาไข่มุกสีนั้น เมื่อถึงเวลาอยากออกมา ก็ให้จับไข่มุกในมือ
แน่นอนว่าหากครบกำหนดเวลาแล้ว ต่อให้ผู้ฝึกตนไม่จับไข่มุกก็จะถูกบังคับส่งตัวกลับมายังแท่นครึ่งวงเดือนอยู่ดี
เสียงฆ้องดังขึ้น เหล่าผู้ฝึกตนทยอยหยิบไข่มุกที่ตนเลือก เริ่มจากเด็กสาวรากปราณสวรรค์ ตามด้วยศิษย์จากสำนักว่านเซี่ยง ปิดท้ายด้วยหลิงจือที่หายไปเป็นคนสุดท้าย
เฉียวเวยเวยหันไปมองลู่หยวนเจิ่นที่อยู่ข้างๆ “หลิงจือจะกลับมาเมื่อไรหรือ”
ลู่หยวนเจิ่นลูบคาง “กำหนดเวลาอยู่ที่หนึ่งวันหนึ่งคืน ช้าสุดก็น่าจะเช้าวันพรุ่งนี้กระมัง”
“คืนนี้นางไม่กลับมาแล้วหรือ”
“เอ่อ…” ลู่หยวนเจิ่นก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร เหล่าผู้ฝึกตนมองไม่เห็นเส้นทางที่ตนเลือก แต่พวกเขากลับมองเห็นอย่างชัดเจน หลิงจือเข้าไปยังประตูตาย นั่นเป็นประตูที่อันตรายที่สุดและยาวไกลที่สุด หากยังไม่ถึงพรุ่งนี้เช้า นางคงออกมาไม่ได้แน่นอน
เฉียวเวยเวยไม่ชอบใจ
นางไม่เคยนอนคนเดียวมาก่อน
พอไม่มีหลิงจือแล้วช่างน่าเศร้า
…
ตกดึก จีเสี่ยวซิวยังอยู่พักผ่อนอยู่ในห้องของลู่หยวนเจิ่น
ผู้พิทักษ์ใหญ่เห็นว่าเฉียวเวยเวยเป็นเด็กหญิง จะให้ลู่หยวนเจิ่นดูแลก็คงไม่สะดวกนัก จึงจัดการให้ลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งมาคอยดูแลเฉียวเวยเวย
ลูกศิษย์หญิงคนนั้นผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
เฉียวเวยเวยนอนอยู่บนเตียง ลืมตากลมโตใสแจ๋วพลิกตัวไปพลิกตัวมา
ลูกศิษย์หญิงถูกรบกวนจนตื่น เอ่ยถามอย่างสะลึมสะลือว่า “เป็นอะไรหรือ เวยเวย”
เฉียวเวยเวย “ข้านอนไม่หลับ”
“เช่นนั้นเจ้าลองนับแกะดูสิ เจ้านับเลขเป็นหรือไม่ แกะหนึ่งตัว แกะสองตัว…” ลูกศิษย์หญิงนับไปนับมาก็หลับไปเสียเอง
เฉียวเวยเวยกอดหมอนใบเล็ก ลืมตาโตพลางนับเลข “หลิงจือหนึ่ง หลิงจือสอง หลิงจือสาม หลิงจือสี่ หลิงจือห้า หลิงจือแปด หลิงจือหนึ่งร้อย…”
เฉียวเวยเวยยังคงนอนไม่หลับ
นางลุกขึ้นเดินเท้าเปล่าลงจากเตียง เปิดประตูแล้วเดินออกไปข้างนอก
นางไปยังแท่นครึ่งวงเดือน
ยามราตรี ข่ายอาคมที่ล้อมประตูความเป็นความตายทั้งแปดบานทอประกายอ่อนๆ
เฉียวเวยเวยเดินเข้าไปได้อย่างไร้อุปสรรค นางเขย่งปลายเท้า ยื่นมือลงไปในกล่อง พยายามเอื้อมอยู่นานก็ยังหยิบขึ้นมาไม่ได้เสียที นางเลยยกกล่องนั้นขึ้นมาเสียเลย “อืม…หลิงจือเป็น…สีเขียว”
นางหยิบไข่มุกสีเขียวแล้วเข้าประตูบานเดียวกับหลิงจือไป