หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 28-1 ท่านแม่? (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 28-1 ท่านแม่? (2)
ตอนพิเศษ 28-1 ท่านแม่? (2)
รองหัวหน้าสหพันธ์ถูกแรงแกว่งไกวอย่างรุนแรงทำให้สะดุ้งตื่น ตั้งแต่คืนที่เขาได้พบเด็กน้อยผู้นั้น กลับมาก็ยากจะข่มตานอน ตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด วันต่อมาเขาไปดูการประลองที่แท่นครึ่งวงเดือนอีกครั้ง ในความเป็นจริงแล้วด้วยระดับวิชาของเขาในเวลานี้ การไม่นอนสักสิบวันครึ่งเดือนไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไร แต่ครั้งนี้เขารู้สึกอ่อนล้าผิดปกติ
เขานั่งอยู่พักหนึ่งก็พิงหัวเตียงหลับไป เพียงแต่หลับได้ไม่เท่าไรก็ถูกรบกวนจนตื่น
เขารีบส่งดวงจิตออกไป หลังจากหาเจอว่าความเคลื่อนไหวนั้นมาจากไหน สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยน
เขารีบเร่งไปยังหอสูงที่ซ่อนอยู่ในข่ายอาคม กลิ่นไอในหอสูงหายไปเกือบหมดแล้ว แต่บนพื้นยังเหลือรอยเท้าเล็กๆ ให้เห็นอยู่บ้าง เขาเดินตามรอยเท้าขึ้นชั้นบนไป สุดท้ายก็เห็นว่าภาพวาดบนกำแพงหายไปแล้ว!
“ท่านพ่อ”
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู มองรองหัวหน้าสหพันธ์ด้วยสายตาเป็นห่วง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เมื่อครู่ข้าเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างจากทางนี้”
รองหัวหน้าสหพันธ์เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ “ภาพวาดของแม่เจ้าหายไปแล้ว”
เด็กหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อย “ภาพวาดของท่านแม่จะหายไปได้อย่างไร ถูกใครขโมยไปหรือ มันผู้ใดที่ใจกล้าเยี่ยงนี้”
“ข้าไม่รู้” รองหัวหน้าสหพันธ์ส่ายหน้า สายตาหลุบมองรอยเท้าเล็กๆ ที่ไม่สมบูรณ์นัก “ดูจากรอยเท้า…เหมือนจะเป็นเด็ก?”
…
หลิงจือเหาะกระบี่ไปพักหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าตนเหาะออกมาจากเขตแดนประตูตายหรือยัง หากออกมาแล้ว นางก็ควรลงไปตามหาอาวุธวิเศษได้แล้ว
แต่ในจังหวะที่นางเตรียมจะลงสู่พื้นนั้น นางคล้ายได้ยินเสียงคุ้นหูดังแว่วมาจากด้านหลัง เหมือนกำลังร้องเรียกนาง…หลิงจือ
“เหมือนเสียงเวยเวยเลย” หลิงจือส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้ เวยเวยนอนหลับอยู่ที่เรือน จะมายังสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร
“หลิงจือ”
“หลิงจือ”
เสียงนั้นดังมาจากที่ไกลๆ ดังวนอยู่ในหัวทำอย่างไรก็ไม่หายไปเสียที
หลิงจือกลัวว่าจะเป็นวิชาหลอนจิตของสัตว์อสูรชั้นสูงสักตัว จึงไม่อยากสนใจให้มาก แต่ในใจก็ห้ามไม่อยู่ เป็นกังวลว่าหากเวยเวยมาที่นี่จริงๆ จะทำอย่างไร
ถึงแม้ตัวหลิงจือเองยังรู้สึกว่าสิ่งที่นางคิดช่างน่าขัน แต่นางก็ยังกลับหลังหันไปยังสถานที่ที่พยายามแทบตายกว่าจะออกมาได้
โชคดีที่นางกลับมา
เฉียวเวยเวยหอบของบางอย่างอยู่ กำลังเดินย่ำเข้าไปในป่าลึก รอบด้านมีแต่สายตาหมายมาดของสัตว์อสูร
หลิงจือรีบร่ายคาถาไฟบรรลัยกัลป์ ขู่ให้สัตว์อสูรแถวนั้นหนีไป จากนั้นก็ทะยานออกไปหยุดลงตรงหน้าเฉียวเวยเวย
เฉียวเวยเวยเงยหน้ามาร้องอ้อคำหนึ่ง “หลิงจือ?”
หลิงจือสงสัยว่าตนตาฝาดไปหรือไม่ นางหยิกแก้มขาวนุ่มของอีกฝ่าย “เจ้าไม่ใช่สัตว์อสูรแปลงร่างมาหรอกกระมัง”
เฉียวเวยเวยพลันเบิกตาโต เอื้อมมือกลับไปจับก้นตนเอง
หางมังกรของนางไม่ได้โผล่ออกมานี่…
หลิงจือเริ่มผ่อนคลาย “เป็นเจ้าจริงๆ หรือนี่ เจ้ามาได้อย่างไร มาคนเดียวหรือ หรือว่า…อาจารย์อาลู่พาเจ้ามา”
เฉียวเวยเวยแบมือออก เอาไข่มุกสีเขียวให้อีกฝ่ายดู
หลิงจือตกใจขึ้นไปอีก “เจ้ายังเอาไข่มุกประตูเป็นประตูตายมาด้วย?!”
เฉียวเวยเวยก้มหน้าลง คล้ายเด็กที่ทำอะไรผิดมา เอาแต่จ้องนิ้วเท้าที่ขยับขึ้นลงของตน
“เจ้าคนพวกนี้ ไข่มุกยังวางซี้ซั้วอีกหรือ” หลิงจือมีหรือจะรู้ว่าไข่มุกเม็ดนี้เฉียวเวยเวยเป็นคนมาหยิบเอง คิดว่านางไปเก็บจากที่ไหนมาได้ หลิงจือมองของที่เฉียวเวยเวยอุ้มไว้อยู่ “นี่คืออะไรหรือ”
“รูปภาพ” เฉียวเวยเวยส่งภาพไปให้หลิงจือ
หลิงจือกางออกดูก็เห็นว่าเป็นภาพหญิงงามที่ดูดุดันมีเสน่ห์ ไม่เหมือนภาพสตรีนางน้อยที่แสนอ่อนหวานพวกนั้น หญิงงามในภาพเห็นเพียงด้านหลังที่ใส่เสื้อคลุมมีหมวก กระทั่งใบหน้ายังเห็นเพียงครึ่งเดียว แต่หลิงจือยังคงรับรู้ได้ว่านั่นเป็นความดุดันที่ไม่อาจมองข้ามไปได้
“ไปเอาภาพนี้มาจากไหนกัน” หลิงจือถามเฉียวเวยเวย
“ที่นั่น” เฉียวเวยเวยชี้ไปทางหนึ่ง
หลิงจือมองตามนิ้วมือของเฉียวเวยเวยไปก็เห็นเพียงป่ารกชัดสีดำทมิฬ
หลิงจือถามว่า “เก็บได้จากในป่าหรือ”
เฉียวเวยเวย “ในป่า ใช่ๆ!”
เก็บได้? ไม่ใช่
นางเป็นเด็กหญิงวัยละอ่อนที่ซื่อสัตย์มาก นางไม่โกหก
หลิงจือไม่ทันฟังว่าเจ้าเด็กเจ้าเล่ห์นี่ยอมรับเพียงครึ่งเดียว คิดว่านางเก็บได้จากในป่าจริงๆ “งั้นข้าเก็บไว้ก่อนแล้วกัน กลับไปค่อยตามหาเจ้าของแล้วคืนให้เขาอีกที”
เฉียวเวยเวยแย่งภาพกลับไปกอดไว้ สะบัดหน้าหันหลังให้หลิงจือด้วยความขัดใจ!
“ให้ตายสิ เจ้ายังจะไม่พอใจเสียอีก” หลิงจืออดนึกขันไม่ได้ นางหยิบถุงเฉียนคุนขนาดประหนึ่งฝ่ามือจากอกเสื้อออกมาให้ “เอาเถิด เจ้าถือไว้เถิด นี่เป็นถุงเฉียนคุณที่ศิษย์พี่อวี๋ให้ข้ามา เจ้าเอาภาพวาดใส่เข้าไป จะได้ถือสะดวกและปลอดภัยหน่อย”
เฉียวเวยเวยเอาภาพใส่ลงไปอย่างเชื่อฟัง
นี่เป็นถุงเฉียนคุนขั้นแรกเริ่มที่สุด มีความใหญ่เท่าหีบหีบหนึ่งเท่านั้น แต่หากใส่แค่ภาพวาดนับว่าเหลือเฟือ
เฉียวเวยเวยเอาถุงเฉียนคุนผูกไว้กับเอวคอดกิ่ว (หนา) ของตน
หลิงจือเห็นเนื้อตัวนางสกปรกจึงพานางไปยังแอ่งน้ำแถวนั้นแล้วล้างหน้าล้างเท้าให้นาง ถอดชุดนอนของนางออกมาซัก ใช้วิชาเวทย์ทำให้แห้งแล้วใส่กลับให้นางอย่างเดิม
“รองเท้าข้าไม่ได้เอามาด้วย แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่เดินเองอยู่แล้ว”
หลิงจืออุ้มเฉียวเวยเวยขึ้นมา
เฉียวเวยเวยอ้าปากหาว หนังตาสองข้างหลุบลง พอศีรษะเอนซบก็หลับสนิทไปทันที
จะส่งตัวเฉียวเวยเวยกลับไป ให้บีบไข่มุกของเฉียวเวยเวยก็ได้แล้ว แต่เวลานี้ดึกดื่นค่ำคืน บนแท่นครึ่งวงเดือนไม่มีคนคอยเฝ้า หลิงจือไม่วางใจจะส่งนางกลับไป จึงพาเฉียวเวยเวยไปด้วยกันเสียเลย
หลิงจือเหาะกระบี่ลึกเข้าไปในทิวเขา
เข้าไปได้ไม่เท่าไร เด็กหนุ่มในชุดเสื้อคลุมกับอินทรีแดงสองหางก็ลอบตามนางไปเงียบๆ
หลิงจือใช้ผ้าคลุมผูกตัวเฉียวเวยเวยสะพายไว้ที่หลัง ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ที่รู้สึกว่าตั้งแต่เฉียวเวยเวยขึ้นมา กระบี่เล่มนี้ดูจะสั่นๆ อย่างไรพิกล…
ผู้ฝึกตนระดับรากฐานยังไม่อาจส่งดวงจิตไปสำรวจได้ หลิงจือทำได้เพียงอาศัยประสาทสัมผัสทั้งห้าในการฟังและคอยมองเพื่อวิเคราะห์ว่าแถวนั้นยังมีผู้ฝึกตนคนอื่นอยู่หรือไม่ นางเดาเอาว่าอาวุธวิเศษน่าจะถูกผู้ฝึกตนเหล่านั้นหาพบกันเกือบหมดแล้ว หากนางจะไปหาเอาตอนนี้ สู้ไปชิงเอาเลยจะง่ายกว่า
เช่นนี้ฟังดูไม่มีคุณธรรมนัก แต่กฎเป็นเช่นนี้ หากนางไม่แย่งของคนอื่น ไว้รอนางได้อาวุธวิเศษมาแล้ว ก็ต้องมีคนอื่นมาแย่งนางอยู่ดี