หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 3-2
ตอนพิเศษ 3-2
หลิงจือระบายยิ้มใจดีแล้วสะพายห่อผ้าออกเดินทางไป
พอหลิงจือไปแล้ว เฉียวเวยเวยก็ออกไปข้างนอกบ้าง
เฉียวเวยเวยคิดว่าหลิงจือไม่อยู่ก็ดีเหมือนกัน นางจะได้มีเวลาไปกินเนื้อมากขึ้น แต่ตอนที่นางไปถึงห้องเก็บฟืนด้านหลังเขานั่น กลับพบว่าคุณชายน้อยหรงไม่ได้มาที่นี่
นางไปเจอคุณชายน้อยหรงที่เตรียมจะออกเดินทางตรงประตูเรือนของลูกศิษย์ใหม่
คุณชายน้อยหรงเดินคอตก อารมณ์ห่อเหี่ยว ทุกคนออกเดินทางไปรวมตัวกันที่ตีนเขาแล้ว เหลือแค่เขาที่ยังโอ้เอ้อยู่ที่นี่
“เจ้าจะไปไหน” เฉียวเวยเวยถาม
คุณชายน้อยหรงเอ่ยน้ำตาคลอเบ้าว่า “ข้ากำลังจะลงเขา อาจารย์บอกว่าเวลานี้ข้าก็มีรากปราณสมบูรณ์แล้ว ก็ควรไปฝึกภาคปฏิบัติกับเขาด้วย ข้าได้ยินว่าที่นั่นมีสัตว์อสูรอยู่มาก ทุกปีมีเด็กใหม่เอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นไม่น้อย… ฮือๆ… หากข้าไม่ได้กลับมาจะทำอย่างไร”
“ข้าอยากไป” เฉียวเวยเวยบอก
คุณชายน้อยหรงสูดน้ำมูกเช็ดน้ำตา “เด็กตัวกะเปี๊ยกที่ไม่มีรากปราณอย่างเจ้าจะไปทำอะไร รนหาที่ตาย…”
เอ่ยไปได้ครึ่งทาง ในหัวคุณชายน้อยหรงก็พลันมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา “ใช่สิ เจ้าเป็นน้องสาวของรากปราณน้ำ หากข้าพาเจ้าไปหานางด้วย ถึงตอนนั้นนางก็จะคุ้มครองข้าไปด้วยมิใช่หรือ”
หากบอกว่าครั้งนี้เป็นการฝึกปฏิบัติจริง ใครมีความสามารถที่จะรักษาชีวิตไว้ได้มากที่สุด ก็ต้องเป็นรากปราณสวรรค์กับหลิงจือแล้ว แต่คุณชายน้อยหรงไม่เคยกระทั่งเอ่ยวาจากับเด็กสาวรากปราณสวรรค์เลยด้วยซ้ำ คนเขาจะมาสนใจตนสิแปลก แต่น้องสาวของรากปราณน้ำกินเนื้อเขาไปตั้งมาก เขาจะหากำไรจากนางบ้างจะไม่ได้เชียวหรือ!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ คุณชายน้อยหรงก็รู้สึกมีความหวังกับชีวิตขึ้นมาอีกครั้งแล้ว!
แต่เรื่องนี้จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ มิเช่นนั้นเขาคงได้ถูกด่าจนหูชาแน่
คุณชายน้อยหรงหาตะกร้าสะพายหลังใบใหญ่แล้วให้เฉียวเวยเวยเข้าไปอยู่ในตะกร้า เขาเอาผ้าป่านมาคลุมเอาไว้ด้านบนแล้วจึงออกเดินทางด้วยความมั่นใจ!
การฝึกภาคปฏิบัติครั้งนี้อยู่ที่ทิวเขาแห่งหนึ่ง ในทิวเขาปลูกต้นไม้ใหญ่เอาไว้รกชัด ศิษย์พี่ชายหญิงที่นำคณะไป พาลูกศิษย์ใหม่ไปถึงทางเข้าของทิวเขาก็หยุดฝีเท้าไม่เดินต่ออีก
ศิษย์พี่อวี๋เอ่ยกำชับว่า “ภารกิจของพวกเจ้าแต่ละคนก็คือต้องเอาเม็ดเน่ยตันของสัตว์อสูรมาให้ได้หนึ่งเม็ด ด้านในนี้มีสัตว์อสูรทั่วไป และมีสัตว์อสูรขั้นหนึ่งกับขั้นสอง ด้วยความสามารถของพวกเจ้าในเวลานี้ ยังต้านทานสัตว์อสูรที่ผ่านการฝึกมาแล้วไม่ได้ ดังนั้นพยายามอย่าได้ไปยั่วโมโหพวกมัน หากพบเข้าก็ให้หลบไปให้ไกล พวกเจ้าได้เม็ดเน่ยตันของสัตว์อสูรทั่วไปก็พอแล้ว กำหนดเวลาอยู่ที่ห้าวัน”
เขาพูดฟังดูสบายๆ แต่ในความเป็นจริง สัตว์อสูรที่อยู่ที่นี่ล้วนเติบโตมาด้วยการดูดซับปราณจากธรรมชาติ ต่อให้เป็นสัตว์อสูรทั่วไปก็เก่งกาจกว่าเหล่ามือใหม่พวกนี้หลายเท่า การจะสังหารสัตว์อสูรเพื่อให้ได้เม็ดเน่ยตันมานั้นจะใช้แต่พละกำลังไม่ได้ ยังต้องอาศัยมันสมองและความโชคดีอีกด้วย
ศิษย์พี่อวี๋เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ทางที่ดีพวกเจ้าควรจับคู่กันเดินทาง จำไว้ว่าพวกเจ้าเข้าไปเองก็ต้องออกมาเอง ไม่ว่าด้านในจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราจะไม่เข้าไปช่วยเจ้าทั้งสิ้น หากใครกลัวสามารถเก็บข้าวของลงจากเขาไปตอนนี้ได้เลย”
ไม่มีใครทำเช่นนั้น
ศิษย์พี่อวี๋บอกว่า “ดีมาก ข้าขอเตือนพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายว่าอย่าได้ไปไล่ล่าสัตว์อสูรที่มีลำดับขั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์อสูรขั้นสอง พวกเจ้าทุกคนรวมกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์อสูรขั้นสองสักตัวด้วยซ้ำ”
ทุกคนในที่นี้ย่อมหมายรวมถึงหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ด้วย
รวมพวกนางสองคนเข้าด้วยกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ทุกคนอดรู้สึกหวาดผวาไม่ได้
ศิษย์พี่อวี๋เอ่ยอีกว่า “หากล่าไม่ได้จะไม่มีบทลงโทษ ดังนั้นหากพวกเจ้าไม่มั่นใจในตนเอง ในห้าวันนี้แค่หลบซ่อนตัวไว้ก็พอ เพียงแต่สำหรับรางวัลนั้น ใครล่าเม็ดเน่ยตันได้ดีที่สุด คนผู้นั้นจะได้ไปยังหอเก็บอาวุธเพื่อเลือกอาวุธวิเศษหนึ่งชิ้น”
คำกล่าวนี้ล่อให้ทุกคนกระหายกันขึ้นมาอีกครั้ง ใครไม่รู้บ้างว่าอาวุธของเชียนหลันเป็นของดี หากได้มาสักหนึ่งชิ้น ชีวิตนี้ก็นำพาความปลื้มปีติมาให้บรรพบุรุษได้แล้ว
ศิษย์พี่อวี๋ปลุกใจทุกคนเสร็จก็ให้ทุกคนเข้าป่าไป
พอทุกคนเข้าไปแล้วก็เริ่มเลือกเพื่อนเดินทางของตน มีคนจำนวนไม่น้อยเดินเข้าไปหาเด็กสาวรากปราณสวรรค์กับหลิงจือ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ไม่แม้กระทั่งเหลือบตามอง หมุนตัวเดินจากไปทันที
หลิงจือเห็นนางออกปฏิบัติภารกิจคนเดียวก็กำหมัดแน่น แล้วเดินออกไปตามลำพังเช่นกัน!
คุณชายน้อยหรงพยายามแทบแย่กว่าจะแทรกผ่านฝูงชนไปได้ คิดอยากจะบอกกับหลิงจือว่าน้องสาวนางอยู่กับตน แต่กลับพบว่าหลิงจือหายวับไปแล้ว
“ให้ตายสิ เดินหายไปเร็วเพียงนี้ทำไมกัน” คุณชายน้อยหรงอยากจะร้องไห้ เขานวดหัวไหล่ที่ใกล้จะหักเต็มทีของตน “ข้าแบกมาตลอดทางก็ไม่ง่ายเลยนะ เจ้ามาไปเสียเช่นนี้ ข้าก็แบกนางมาเสียเปล่าแล้วนะ”
มีคนเดินเข้ามาจะขอจับคู่กับคุณชายน้อยหรง คุณชายน้องหรงพอหันไปมองเห็นว่าล้วนเป็นพวกรากปราณครึ่งส่วนทั้งนั้น ความสามารถยังสู้เขาไม่ได้เลย จะจับคู่ไปด้วยทำไมกัน อยากไปเกิดใหม่หรือไร!
คุณชายน้อยหรงจึงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
“รากปราณงอกแล้วเก่งนักรึไง คิดว่าตัวเองแน่มากสิท่า!” ลูกศิษย์คนหนึ่งเอ่ยดูแคลนเขา ก่อนจะกรอกตาเดินจากไปพร้อมกับสหายอีกหลายคน
คุณชายน้อยหรงลังเลอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจไปตามหาหลิงจือ
ทิวเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่สำนักเชียนหลันตั้งใจเก็บไว้เป็นสถานที่ฝึกหัดลูกศิษย์ใหม่โดยเฉพาะ ภายในมีการสร้างค่ายกลของสำนักเชียนหลันที่อนุญาตให้เพียงลูกศิษย์ของสำนักกับสัตว์อสูรที่มีลำดับขั้นต่ำกว่าสามเข้าออกได้อย่างอิสระเท่านั้น ส่วนสัตว์อสูรที่มีลำดับขั้นมีน้อยมาก โอกาสพบมีไม่สูง โดยหลักการแล้วอย่างไรก็ยังไม่ถึงแก่ชีวิต
คุณชายน้อยหรงแบกเฉียวเวยเวยเดินไปในป่าอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยพลางหอบหนักๆ ว่า “เจ้าลงมาเดินเองเถิด ข้าแบกเจ้าไม่ไหวแล้ว”
เฉียวเวยเวยไม่ยอมลง
คุณชายน้อยหรงมองฟ้าด้วยอย่างจนปัญญา “รีบตามหาพี่เจ้า รีบตามหาพี่เจ้า รีบตามหาพี่เจ้า…”
เวลานี้หลิงจือยังไม่รู้ว่าตนมีคนคิดถึงอยู่ นางไปเจอกับสัตว์อสูรขั้นหนึ่งตัวหนึ่ง… หมาในขนแดง
หมาในตัวนี้มีขนสีแดงเพลิงทั้งตัว ขนแต่ละเส้นดูอ่อนนุ่มแต่กลับแข็งราวกับเข็มเหล็ก หากไปถูกเข้าเป็นได้ตัวพรุนเป็นตะกร้อแน่นอน
หลิงจือคิดอยากทดลองดูว่าตนสามารถรับมือมันได้หรือไม่ จึงดึงกริชที่เอาไว้ใช้ป้องกันตัวอออมา เดินพลังปราณ เตรียมพร้อมว่าหากหมาในขนแดงพุ่งเข้าใส่นาง ก็จะใช้มีดเสียบเข้าที่คอมันในทีเดียว
ไหนเลยจะรู้ว่าตนยังไม่ทันได้ลงมือ หมาในขนแดงก็ถูกธนูยิงเข้าที่หลังดอกหนึ่งเสียแล้ว
หมาในขนแดงล้มลงกับพื้นโดยพลัน
หลังจากมันล้มลงกับพื้นแล้ว หลิงจือก็ได้เห็นเด็กสาวที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
เด็กสาวเอ่ยเสียงเรียบว่า “ที่แท้ก็มีเจ้าของแล้ว ให้เจ้าแล้วกัน”
น้ำเสียงให้ทานเช่นนี้!
หลินจือกำหมัดแน่น “เจ้าเป็นคนล่าได้ ให้เจ้าแล้วกัน!”
เด็กสาวเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “สัตว์อสูรขั้นหนึ่ง ข้าไม่สนใจหรอก”
หลิงจือถูกทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง ตอนนางเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรขั้นหนึ่ง ยังนึกลังเลใจด้วยซ้ำว่าตนจะสามารถรับมือได้หรือไม่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่เห็นเจ้าสัตว์อสูรตัวนี้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ “เช่นนั้นเจ้าจะยิงมันไปไย เจ้าไม่ได้ต้องการมันนี่”
ภายในผ้าโปร่งคาดหน้า มุมปากเด็กสาวยกขึ้นเป็นองศาน้อยๆ “ขนของมันสวยดี ข้าอยากเอาไปทำชุด”
หลิงจือถูกทำร้ายหนักขึ้นไปอีก
เด็กสาวเอ่ยว่า “ข้าว่าเจ้าเอาเม็ดเน่ยตันของมันไปดีกว่า เพราะถึงอย่างไรครั้งหน้าก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะโชคดีเช่นนี้อีก”
หลิงจือมองอีกฝ่ายอย่างอวดดี “ข้าอยากได้อะไร ข้าจะล่าเอง!”
เด็กสาวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วแต่เจ้า”
พูดจบก็ไม่สนใจหลิงจืออีก หมุนตัวเดินไปอีกทางทันที
หลิงจือโมโหไม่น้อย รากปราณสวรรค์แล้วเก่งนักหรือไร แค่มีรากปราณสวรรค์ก็จะไม่เห็นนางอยู่ในสายตาได้แล้วหรือ รากปราณก็ขั้นกลางเท่ากัน นางหมายใจจะล่าสัตว์อสูรขั้นสองได้ แล้วตัวนางจะทำไม่ได้หรือ
เมื่อมีความคิดนี้เข้ามา หลิงจือก็เก็บกริชแล้วไล่ตามไปทางเดียวกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เห็นหลิงจือตามมาก็ไม่ได้ว่าอะไร
ทั้งสองอยากล่าสัตว์อสูรขั้นสองเช่นเดียวกัน แต่จำนวนสัตว์อสูรขั้นสองมีไม่มาก เดิมทีก็หาตัวพบยากอยู่แล้ว ไหนเลยจะคิดว่าเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็เจอสิงโตขั้นสองวิ่งเข้ามาหาเสียแล้ว
ทั้งสองเอาอาวุธป้องกันตัวออกมา
แต่ไม่สิ ไม่ใช่สิงโตตัวเดียว แต่เป็นสองตัว!
เช่นนี้ก็ดี คนละตัวกันไป ไม่ต้องแย่งกัน
ไม่เท่าไรทั้งสองก็ไม่คิดเช่นนั้นอีก เพราะสิ่งที่วิ่งเข้ามาหาพวกนางไม่ใช่สิงโตสองตัว แต่เป็นสิงโตทั้งฝูง!
สิงโตจำนวนมากเช่นนี้พวกนางรับมือไม่ไหวหรอกนะ!
แต่จะให้หนีก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะพวกมันมากันมากเกินไป!
ในขณะที่พวกนางคิดว่าตนมาถึงทางตันแล้วนั้น สิงโตกลุ่มนั้นกลับวิ่งผ่านตัวพวกนางไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีดวงตาเสียอย่างนั้น
หลิงจือออกจะตั้งสติไม่ทัน “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองสัตว์อสูรกลุ่มนั้นที่ลนลานหนีไป “เมื่อครู่พวกมันไม่ได้กำลังไล่พวกเรา แต่พวกมัน… ถูกใครบางคนไล่มา”
หลิงจือพึมพำเอ่ยว่า “ใครกันที่สามารถทำให้สิงโตขั้นสองตั้งมากเพียงนี้วิ่งหนีมากได้”
สิงโตขั้นสองเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในทิวเขาแห่งนี้แล้ว นอกเสียจากว่า… จะมีบางอย่างที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกมัน!
เสียงคำรามสะเทือนฟ้าดังลอยมาเข้าหู กระทั่งพื้นดินยังคล้ายสั่นสะเทือน
ทั้งสองใจเต้นไม่เป็นส่ำ แย่แล้ว! สิงโตเผือกขั้นสาม!