หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 30-2 บุตรสาวของนาง สิ้นสุดการประลอง
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 30-2 บุตรสาวของนาง สิ้นสุดการประลอง
ตอนพิเศษ 30-2 บุตรสาวของนาง สิ้นสุดการประลอง
คืนนี้เกิดเรื่องชวนอกสั่นขวัญแขวนขึ้นจริงๆ หัวหน้าเกาของสหพันธ์พอได้ข่าวก็รีบมาทันที เรื่องที่ในสนามประลองเกิดมีปีศาจจิ้งจอกปรากฏตัว หัวหน้าเกาแสดงความรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนจะจัดการประลอง เขานำคนไปลาดตระเวนตามทิวเขาเหล่านี้ด้วยตนเอง ซึ่งไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ไหนเลยจะคิดว่ามีปีศาจจิ้งจอกชั้นครึ่งเซียนหลบซ่อนอยู่ที่นี่ตนหนึ่ง
หัวหน้าสหพันธ์เกาแสดงความขอโทษจากใจจริง
ครั้งนี้มีผู้ฝึกตนสิบห้าคนเข้ามาในทิวเขาแห่งนี้ ถึงแม้จะมีคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ถึงแก่ชีวิต คำขอโทษจากหัวหน้าเกาจึงเป็นที่ยอมรับในทันที
การประลองมีเหตุก่อกวนเล็กน้อย แต่อาวุธวิเศษทั้งสิบชิ้นตามหากลับมาได้ครบแล้ว สองชิ้นในนั้นมีหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ชิงไปได้ ด้วยกฎของการประลองอนุญาตให้ทำได้ จึงไม่มีใครมีความเห็นอะไรต่อเรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องในครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเด็กสาวสองคนนี้มีไหวพริบดี พวกเขาอาจจะเข่นฆ่ากันจนถึงแก่ชีวิตไปแล้ว
ภายในความเห็นพ้องต้องกันของทั้งสิบห้าสำนัก หัวหน้าสหพันธ์เกาจึงจัดอันดับการประลองตามอาวุธวิเศษในมือของผู้ฝึกตน
หน้าไม้ที่เด็กสาวรากปราณสวรรค์ได้ไปเป็นอาวุธวิเศษชั้นหนึ่ง ส่วนของหลิงจือด้อยกว่าเล็กน้อย ทั้งสองจึงได้ที่หนึ่งกับที่สามของการประลองครั้งนี้ไปครอง
ผู้ฝึกตนสามอันดับแรกจะได้รับวิชาระดับล้ำลึกที่เหมาะกับตนหนึ่งชุด อันดับที่หนึ่งนอกจากจะได้วิชาแล้ว ยังจะได้รับอาวุธญาณขั้นสามอีกหนึ่งชิ้น
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ออกไปรับอาวุธญาณที่เหมาะกับตน จากนั้นก็เลือกวิชาสายทองไปอีกหนึ่งชุด …วิชาทองสายฟ้าอัคคี
หลิงจือเลือกวิชาสายไม้หนึ่งชุด…วิชาเจ็ดบัวพัวพัน
สำนักเชียนหลันพอใจกับผลงานของทั้งสองอย่างมาก ที่ดีใจยิ่งกว่าผลงานของพวกนางคือชื่อเสียงของสำนักเชียนหลันขจรกระจายออกไปแล้ว
เฉียวเวยวเยไม่รู้สักนิดว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น นางหลับยาวไปจนถึงยามเที่ยง พอตื่นมาก็ถามหาภาพภาพนั้นทันที
ตอนนางเปิดถุงเฉียนคุนแล้วเห็นว่าภาพนั้นหายไป นางเสียใจจนร้องไห้จ้า!
ภาพภาพนั้นถูกผู้พิทักษ์ใหญ่โยนทิ้งไปเพราะคิดว่าเป็นของปีศาจจิ้งจอก อีกอย่างต่อให้ไม่โยนทิ้ง สตรีในภาพก็ไม่อยู่แล้ว
จีเสี่ยวซิวปรายตามองนางทีหนึ่ง นางร้องไห้เสียน่าสงสาร น้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าร่วงเผาะๆ ลงมา ปลายจมูกแดงก่ำไปหมด
“เจ้ามังกรน้อยแสนโหดเหี้ยมอย่างเจ้าร้องไห้เป็นกับเขาด้วยหรือนี่” จีเสี่ยวซิวทำเสียงหึหึพลางกระโดดลงจากเก้าอี้ เดินไปตรงหน้าเฉียวเวยเวย “นี่ ไม่ต้องร้องแล้ว”
เฉียวเวยเวยยังคงร้องต่อไป เป็นที่โศกาอาดูรยิ่งนัก
จีเสี่ยวซิวเบ้ปาก นำของสิ่งหนึ่งออกมายื่นให้นาง “ดูเสร็จแล้วค่อยร้องต่อ”
เฉียวเวยเวยรับม้วนภาพไปพรางสะอึกสะอื้น พอกางออกดู ก็ไม่ร้องต่ออีก
นางยื่นมือน้อยๆ ไปแตะ ยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตใบหน้าสตรีในภาพ
ใต้เท้าเจ้าตำหนักย่อมไม่ถูกวิชาของมารมังกรสะกดไว้ด้วย เขาเห็นความเป็นไปทุกอย่าง มารมังกรเฝ้าเฉียวเวยเวยอยู่นานเท่าใด เขาก็มองพวกนางอยู่นานเท่านั้น
เขาเดาไว้แล้วว่านางตื่นมาจะต้องถามหาภาพนั้น จึงแอบวาดเอาไว้ให้นาง
จีเสี่ยวซิววัยสามขวบปีนเก้าอี้คลานขึ้นเตียงอย่างทุลักทุเล เขาเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำมูกน้ำตาให้เฉียวเวยเวย เอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “รู้หรือว่านางเป็นใครเจ้าถึงได้ร้องไห้”
เฉียวเวยเวยไม่สนใจจีเสี่ยวซิว จับภาพไปหอมแล้วหอมอีกอยู่อย่างนั้น
ชิชะ ไม่สนใจเขาเสียด้วย
จีเสี่ยวซิวยื่นหน้าเข้าไปบังภาพไว้อย่างเจ้าเล่ห์ แล้วทำให้พระจันทร์เสี้ยวบนหน้าตนส่องแสง
มาสิ มาจูบข้าสิ!
เฉียวเวยเวยยกมือปัด จีเสี่ยวซิวก็กลิ้งตกลงไปนอนพังพาบกับพื้นทันที…
“…” เช่นนี้คือเขาเป็นที่รังเกียจเสียแล้ว?
…
กลับมาเอ่ยถึงผู้พิทักษ์ใหญ่หลังจากโยนภาพนั้นทิ้งแล้ว ไม่นานอินทรีแดงสองหางก็มาหานาง อินทรีแดงสองหางหิ้วเอาภาพที่ว่างเปล่าบินเข้าไปใต้ต้นอู๋ถงก่อนจะแปลงร่างเป็นผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่ง แล้วยื่นภาพนั้นส่งให้บุรุษใต้ต้นอู๋ถง “นายน้อย ข้าหาพบแล้ว!”
ฉินเซวียนรับภาพไปเปิดออกดู “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย”
ผู้ฝึกตนหนุ่มเอ่ยว่า “นายน้อย อะไรที่ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ ข้าไม่เข้าใจ”
ฉินเซวียนเก็บภาพกลับไปช้าๆ “เจ้าไม่ต้องเข้าใจ ท่านพ่อข้าเล่า”
ผู้ฝึกตนหนุ่มตอบว่า “รองหัวหน้าสหพันธ์ยังตามหาภาพวาดอยู่ขอรับ ตอนประกาศผลการประลองเขาก็ไม่ได้ไป”
ฉินเซวียนยิ้มบางๆ “ในใจเขามีเพียง “ท่านแม่” ผู้นั้นของข้า เคยมีสิ่งอื่นเมื่อไรกัน”
ผู้ฝึกตนหนุ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก จิตใจมนุษย์ช่างแสนซับซ้อน เขาไม่มีวันเข้าใจ
ฉินเซวียนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าไปเรียนท่านพ่อข้ามาที”
“ขอรับ!” ผู้ฝึกตนหนุ่มผมแดงแปลงร่างเป็นอินทรีแดงสองหางแล้วกระพือปีกบินขึ้นฟ้าไป
ตอนรองหัวหน้าสหพันธ์มาถึงใต้ต้นอู๋ถง ฉินเซวียนกอดภาพวาดพิงต้นไม้ “หลับ” ไปแล้ว
รองหัวหน้าสหพันธ์ย่อตัวลงสะกิดหัวไหล่ของฉินเซวียน “เซวียนเอ๋อร์ เซวียนเอ๋อร์ เซวียนเอ๋อร์!”
ฉินเซวียนพลันหัวไว เบิกตาโตเอ่ยด้วยหน้าตาตกใจ “ท่านพ่อ?”
รองหัวหน้าสหพันธ์มองใบหน้าที่ขาวซีดของบุตรชายแล้วรีบถอดเสื้อคลุมมาห่มให้ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าไม่ได้ให้เจ้ารออยู่ที่บ้านหรือ”
ฉินเซวียนขมวดคิ้ว “ภาพของท่านแม่หายไปแล้ว ข้าอยากไปตามหา จึงออกมา ตอนหลัง…”
“ตอนหลังทำไมหรือ” รองหัวหน้าสหพันธ์ซักต่อ
ฉินเซวียนตอบว่า “ตอนหลังข้าไปเจอปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่งเข้า”
“เจ้าเจอปีศาจจิ้งจอกหรือ” รองหัวหน้าสหพันธ์อึ้งงันไป
ฉินเซวียนทำหน้านึกย้อนไปแล้วพยักหน้า “…ใช่แล้ว ข้าเจอปีศาจจิ้งจอก นางจับตัวเด็กคนหนึ่งไว้ ข้าเป็นห่วงว่านางจะทำอะไรเด็ก จึงเข้าไปสู้กับนาง แต่ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง นางเลยเล่นงานข้าจนสลบไป”
รองหัวหน้าสหพันธ์ “แล้วอย่างไรอีก”
ฉินเซวียนส่ายหน้า “หลังจากนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว ข้าตื่นมาอีกทีก็เห็นท่านแล้ว”
รองหัวหน้าสหพันธ์มองม้วนภาพที่บุตรชายกอดอยู่ “นี่คือ…”
ฉินเซวียนก้มหน้ามอง “เอ๋? ภาพวาดของท่านแม่ข้าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วคนบนภาพเล่า เหตุใดจึงหายไปได้”
รองหัวหน้าสหพันธ์พึมพำเอ่ยว่า “เรื่องเมื่อวานข้าไม่ได้คิดไปเองจริงๆ… ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยบอกเจ้า ในภาพนี้อันที่จริงผนึกดวงจิตส่วนหนึ่งของท่านแม่เจ้าไว้ เมื่อคืนแม่เจ้าออกมาฆ่าปีศาจจิ้งจอกตายไปแล้ว”
ฉินเซวียนอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ “หรือว่า…เป็นปีศาจจิ้งจอกที่ขโมยภาพท่านแม่ไป ปีศาจจิ้งจอกรู้ความลับของภาพ เลยคิดจะกลั่นเอาดวงจิตของท่านแม่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับจิตตั้งต้นของตน?”
ก่อนหน้านี้รองหัวหน้าสหพันธ์ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อได้ยินที่บุตรชายกล่าวก็รู้สึกว่าใช่จะไร้เหตุผล “ดูจากรอยเท้าบนพื้น ดูเหมือนคนที่บุกเข้าไปในข่ายอาคมจะเป็นเด็ก”
ฉินเซวียนกะพริบตาปริบๆ “จะใช่ว่าปีศาจจิ้งจอกบังคับเด็กคนนั้นให้เข้าไปขโมยภาพวาดหรือไม่”
รองหัวหน้าสหพันธ์พยักหน้า “ก็เป็นไปได้”
ฉินเซวียนกอดภาพเอาไว้ “ท่านแม่จะต้องคลายดวงจิตมาฆ่าปีศาจจิ้งจอกเพื่อช่วยข้าเป็นแน่ มิน่าเล่าเมื่อคืนข้าถึงฝันตลอด ฝันว่าท่านแม่อยู่ข้างกายข้า ที่แท้นางก็อยู่ข้างกายข้าจริงๆ นางเฝ้าข้าอยู่ตลอด”
รองหัวหน้าสหพันธ์ลูบศีรษะบุตรชายด้วยความรักใคร่ “ท่านแม่เจ้าเมื่อครานั้นก็ทุ่มเทสุดชีวิตกว่าจะคลอดเจ้าออกมาได้ นางอดทนสายฟ้ามหันตภัยทั้งสิบแปดเส้นเพื่อเจ้า เจ้าก็คือแก่นแห่งชีวิตของนาง ต่อให้นางเหลือเพียงดวงจิต นางก็รู้ว่าต้องไปช่วยคุ้มครองเจ้า”
ฉินเซวียนถามอย่างรอคอย “ในช่วงที่ข้ามีชีวิตอยู่ ข้าจะได้พบท่านแม่อีกหรือไม่”
รองหัวหน้าสหพันธ์ตอบว่า “แน่นอน นางต้องมาหาเจ้าแน่ ก่อนจะถึงตอนนั้นเจ้าต้องรักษาตัวให้ดี เพื่อสืบทอดเผ่ามารต่อไป”
ฉินเซวียนเอ่ยต่อว่า “หลังจากสืบทอดเผ่ามารแล้ว ข้าก็จะยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับท่านแม่แล้วใช่หรือไม่”
รองหัวหน้าสหพันธ์ยิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าต้องทำให้ท่านแม่เจ้าภูมิใจแน่”
ฉินเซวียนคลี่ยิ้มหวาน คล้ายคิดบางอย่างขึ้นมาได้ บนใบหน้าที่อ่อนเยาว์และหมดจดของเขามีแววมุ่งมั่นตั้งใจปรากฏขึ้น “ข้าได้ยินว่าเผ่ามารมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถควบคุมมารมังกรได้ หลังจากข้าสืบทอดเผ่ามารแล้ว เรื่องแรกที่ข้าจะทำก็คือทำลายมันทิ้งเสีย! ข้าจะไม่อนุญาตให้มันผู้ใด สิ่งของอันใดมาข่มขู่ท่านแม่ของข้า!”
รองหัวหน้าสหพันธ์ตบหัวไหลบุตรชาย “เด็กดี เจ้าจะต้องได้สืบทอดเผ่ามารแน่ พ่อรับปากเจ้า ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้าอย่างเต็มที่”
…
หลังจากการประลองครั้งใหญ่สิ้นสุดลง เหล่าผู้ฝึกตนก็ทยอยกันกลับสำนักตนเอง มีเพียงผู้ฝึกตนส่วนน้อยที่ยังมุ่งหวังกับผลผูถี แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องรอไปอีกหนึ่งพันปีแล้ว
คนของสำนักเชียนหลันได้รับชัยชนะ ได้ยินว่าคนของสำนักว่านเซี่ยงไม่ติดหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ ไม่ต่างอะไรกับการถูกตบหน้าสักนิด
นอกจากเด็กสาวรากปราณสวรรค์กับหลิงจือที่ได้ที่หนึ่งกับที่สามแล้ว เจ้าสำนักสวี่ยังทะลุเลื่อนขั้นเป็นครึ่งเซียน ประมุขเหลยก็ก้าวสู่ขั้นหินยาน ผู้พิทักษ์ใหญ่ผู้พิทักษ์รองก้าวสู่ขั้นบรรลุญาณ ลู่หยวนเจิ่นผสานตันจนได้ขั้นอมตะ กระทั่งคุณชายน้อยหรงก็ยังขึ้นมามีรากฐานกึ่งสมบูรณ์
สิ่งที่ได้กลับไปจากงานครั้งนี้ช่างแสนยิ่งใหญ่
สำนักเชียนหลันทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยล้วนมีเกียรติ จึงพากันดีใจยิ่งนัก ที่น่าดีใจยิ่งกว่าก็คือ พวกเจ้าสำนักสวี่แค่ก้าวกลับเข้ามายังทิวเขาของตน ข้างหลังก็มีคนจากสำนักอื่นมาแสดงความยินดีแล้ว
เจ้าสำนักสวี่ยังไม่ลืมเรื่องทดสอบรากปราณของหลิงจือ จึงเอ่ยกับผู้พิทักษ์ใหญ่ว่า “ข้าจะไปต้อนรับพวกเขาเอง เจ้าพาหลิงจือไปทดสอบรากปราณที”
“เจ้าค่ะ” ผู้พิทักษ์ใหญ่พาหลิงจือไปยังห้องทดสอบ
ศิลาทดสอบก่อนหน้านี้ยังอ่อนไหวไม่พอ สัมผัสถึงพลังงานทั้งหมดภายในกายหลิงจือไม่ได้ ผู้พิทักษ์ใหญ่จึงเอาผลึกหินชั้นยอดออกมาทดสอบให้หลิงจืออีกครั้ง