หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 33-2 ความรักเพิ่งจะผลิบาน เตียงก็หักเสียแล้ว (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 33-2 ความรักเพิ่งจะผลิบาน เตียงก็หักเสียแล้ว (2)
ตอนพิเศษ 33-2 ความรักเพิ่งจะผลิบาน เตียงก็หักเสียแล้ว (2)
ฝั่งนี้จีเสี่ยวซิวกำลังฝึกวิชาให้เฉียวเวยเวยอย่างเป็นการลับ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งหลิงจือกำลังถือคัมภีร์วิชาสายไม้ที่ตนเองชนะได้มาจากงานประลองศิษย์ใหม่ไปที่สำนักศิษย์ใหม่ นางพอจะอ่านอักษรในคัมภีร์ออกประมาณหนึ่ง แต่นางกลับอ่านเป็นประโยคไม่เข้าใจ มีหลายจุดที่นางไม่เข้าใจว่าหมายถึงสิ่งใด
“อาจารย์อาหลิงจือ!”
“อาจารย์อาหลิงจือ!”
ศิษย์ใหม่ทั้งหลายเห็นนางก็ทักทายอย่างอบอุ่นอย่างยิ่ง ศิษย์หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาถามว่า “อาจารย์อาหลิงจือ วันนี้ท่านมาเยือนมีธุระอันใดหรือเจ้าคะ”
หลิงจือเม้มปาก ตีหน้านิ่งเอ่ยว่า “ข้ามีธุระกับศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า”
ศิษย์หญิงยิ้มตอบว่า “เขากำลังฝึกกระบี่เจ้าคะ อาจารย์อาหลิงจือรอประเดี๋ยว ข้าจะไปเรียกเขาเดี๋ยวนี้!”
หลิงจือดึงนางไว้ “ไม่ต้อง ข้าจะไปเอง”
ศิษย์หญิงจึงนำทางให้หลิงจือ
ตอนที่หลิงจือเข้ามาในลานฝึกสอน อวี๋เจี๋ยก็ฝึกเสร็จแล้ว เขาเพิ่งวางอาวุธ เหงื่อเปียกโชกเต็มศีรษะ แก้มแดงระเรื่อ เสื้อผ้าถูกหยาดเหงื่อซึมจนชุ่มฉ่ำ ลมหายใจฟังดูมีพละกำลัง
หลิงจือเพิ่งจะพ้นวัยเด็กมาไม่นาน นางไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าตัณหา นางเพียงรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้หล่อเหลายิ่งนัก ไม่ว่าตรงไหนก็หล่อเหลาไปหมด
อวี๋เจี๋ยได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันกลับมามอง เขานิ่งอึ้งไปชั่วพริบตาหนึ่ง ทว่าไม่นานก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาอย่างรวดเร็ว “อาจารย์อาหลิงจือมานี่เอง อาจารย์อามาหาข้าหรือ”
หลิงจือพยักหน้า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่นางเห็นเขาแล้วรู้สึกขัดเขิน นางหลุบสายตาลงแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
อวี๋เจี๋ยยิ้มน้อยๆ “แน่นอน”
นี่เป็นสถานที่ฝึกยุทธ์ ผู้ใดก็เข้ามาได้ทั้งสิ้น ศิษย์หัวไวบางคนมองสถานการณ์ออกจึงยิ้มตาหยีลากสหายเดินจากไป บนลานกว้างใหญ่จึงเหลือเพียงหลิงจือกับอวี๋เจี๋ย หลิงจือทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม
อวี๋เจี๋ยมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “อาจารย์อาหลิงจือมาหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
หลิงจือก้มหน้า จับเรือนผมเงางามขึ้นไปทัดไว้หลังหู “ตอนไม่มีผู้ใดอยู่ เจ้าเรียกข้าว่าหลิงจือก็ได้”
อวี๋เจี๋ยหัวเราะ “จะผิดมารยาทได้อย่างไร”
หลิงจือเบ้ปาก “ถ้าเช่นนั้นก็ได้” พูดพลางก็ส่งคัมภีร์วิชาในมือให้เขา “ข้ามีหลายจุดที่อ่านไม่เข้าใจ”
อวี๋เจี๋ยเหลือบมองตัวอักษรขนาดใหญ่ห้าตัวบนนั้น…วิชาเจ็ดบัวพัวพัน เขาเข้าใจความตั้งใจของนางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “นี่เป็นคัมภีร์ที่ท่านได้มาจากการชนะงานประลอง จะให้ข้าอ่านคงไม่เหมาะสม ท่านไปขอคำชี้แนะจากผู้พิทักษ์ใหญ่จะดีกว่า”
หลิงจือตอบว่า “ไม่เป็นอะไรหรอก นี่เป็นคัมภีร์วิชาธาตุไม้ เจ้าจะได้ใช้ได้พอดี”
อวี๋เจี๋ยมีรากปราณคู่ไฟกับไม้ วิชานี้เหมาะจะให้เขาใช้จริงๆ แต่ของสิ่งนี้ไม่ใช่ของเขา เขาย่อมอ่านไม่ได้ อวี๋เจี๋ยคลี่ยิ้ม “เจตนาดีของอาจารย์อาข้ารับรู้แล้ว แต่สิ่งนี้เป็นคัมภีร์ที่อาจารย์อาสู้สุดชีวิตเพื่อให้ได้มา ข้าจะมาใช้ประโยชน์จากมันเปล่าๆ มิได้”
หลิงจือจึงบอกว่า “ไม่ได้ใช้ประโยชน์เปล่าๆ เสียหน่อย เจ้าช่วยข้ามากมายถึงเพียงนั้น แล้วยังมอบของให้ข้าอีกมากมายขนาดนั้น แค่คัมภีร์เล่มเดียว เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจมากเกินไปเลยนะ”
อวี๋เจี๋ยยิ้มอย่างจนปัญญา “อาจารย์อารู้หรือไม่ว่าคัมภีร์เล่มนี้สำคัญมากเพียงใด สวรรค์ ปฐพี นิลกาฬ อำพัน วิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสำนักเชียนหลันเป็นวิชาระดับนิลกาฬขั้นกลางเท่านั้น แต่คัมภีร์วิชาเจ็ดบัวพัวพันเล่มนี้เป็นวิชาระดับนิลกาฬขั้นสูง หากไม่ใช่เพราะผู้ที่สร้างสรรค์มันขึ้นมาไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าใดนัก มันก็คงจะเป็นคัมภีร์วิชาระดับปฐพีเล่มหนึ่งไปแล้ว”
คัมภีร์วิชาระดับปฐพีในแดนกลางมีอยู่น้อยนิดเท่าขนหงส์เกล็ดกิเลน ได้ยินมาว่าแม้แต่สหพันธ์แห่งแดนกลางก็ยังมีอยู่เพียงไม่กี่เล่ม สิ่งเหล่านี้หลิงจือย่อมรู้ แต่หลิงจือก็ยังอยากให้เขาอ่านอยู่ดี
ทว่าอวี๋เจี๋ยยืนกรานหนักแน่นมาก หลิงจือจนปัญญาจึงได้แต่ยอมแพ้ “ก็ได้ เจ้าไม่อ่านคัมภีร์ก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าคงสอนตัวอักษรให้ข้าสักสองสามตัวได้กระมัง มีตัวอักษรอยู่สองสามตัวที่ข้าไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร ข้ากลัวอาจารย์จะหัวเราะที่ข้าโง่เขลา ข้าจึงไม่กล้าไปหาท่านแม่เฒ่า”
อวี๋เจี๋ยปฏิเสธหลิงจือไปหนหนึ่งแล้ว ย่อมไม่สะดวกใจจะปฏิเสธเป็นหนที่สอง เขาจึงคลี่ยิ้มแล้วตอบตกลง
หลิงจือดวงตาเป็นประกาย “ถ้าเช่นนั้นตอนบ่ายข้ามาหาเจ้าดีหรือไม่”
อวี๋เจี๋ยชะงักวูบหนึ่ง แล้วอมยิ้มตอบว่า “ยามบ่ายข้าต้องออกไปข้างนอก วันพรุ่งนี้เถิด วันพรุ่งนี้ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่”
หลิงจือยิ้มหวาน “อืม!”
…
หลังจากนัดกับอวี๋เจี๋ยเรียบร้อยแล้วหลิงจือก็ออกไปจากสำนักศิษย์ใหม่อย่างรวดเร็ว เมื่อนางเดินออกไปพ้นประตู นางก็เพิ่งนึกได้ว่าลืมถามเรื่องผลไม้สีแดง ไม่รู้ว่าเขากินเข้าไปหรือยัง แล้วมีประโยชน์หรือไม่
ยามบ่ายหลิงจือมีเวลาว่าง นางจึงตั้งใจจะพาเฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวออกไปเดินเที่ยวตลาด แต่ตามหาอยู่นานก็ไม่พบคน พอไปถามบ่าวรับใช้ในเรือนจึงเพิ่งรู้ว่าเด็กน้อยสองคนออกไปหามังกรเขียวน้อยที่ภูเขาด้านหลัง หลิงจือครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจลงเขาไปคนเดียว นางพกศิลาศักดิ์สิทธิ์ไปที่เมืองเป่ย
สำนักเชียนหลันมีร้านแห่งหนึ่งของตนตั้งอยู่ที่เมืองเป่ย พวกเขาขายอาวุธวิเศษ สมุนไพรวิเศษและรับทำภารกิจยากๆ
ข่าวที่สำนักเชียนหลันมีคนเลื่อนระดับการฝึกตนจำนวนมากอย่างกะทันหันแพร่กระจายออกไปแล้ว อีกทั้งหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็ทำผลงานได้อย่างน่าภาคภูมิใจในงานประลองศิษย์ใหม่ ด้วยเหตุนี้คนที่เดินทางมาเยือนเพราะชื่นชมฝีมือจึงมีมากมาย ในร้านจึงยุ่งมากจนทำงานกันไม่ทันอยู่เล็กน้อย
หลิงจือจึงเอาเวลาว่างมาทำงานเป็นลูกมือ นางเพิ่งเดินเข้ามาในร้านก็เหลือบเห็นเงาร่างคุ้นตาร่างหนึ่งที่ด้านหลังร้าน “ศิษย์พี่อวี๋หรือ”
เหตุไฉนเขาจึงมาอยู่ที่นี่ ไม่ได้บอกว่ายามบ่ายมีธุระหรอกหรือ
หรือว่า…เขาก็มาช่วยงานที่ร้านเหมือนกัน
หลิงจือรู้สึกว่าทั้งสองคนมีวาสนาต่อกันยิ่งนัก สถานการณ์เช่นนี้ยังบังเอิญมาพบกันอีก นางเดินเข้าไปหาอย่างลิงโลด ทว่าเพิ่งเดินไปถึงทางเชื่อมห้องโถงก็เห็นเงาร่างคุ้นตาอีกร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงกันข้ามกับอวี๋เจี๋ย
“ขอบใจมาก เรื่องภารกิจข้าไปเองคนเดียวได้ ไม่จำเป็นจะต้องให้ศิษย์หลานไปด้วย” เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยิ้มจางๆ ผ้าคลุมหน้าสีเหลืองอ่อนพลิ้วไหวแผ่วเบาท่ามกลางสายลมโชย ขับเน้นให้ดวงตางามล้ำคู่นั้นของนางคล้ายธารน้ำใสชวนให้ใจคนสั่นไหว
“ถ้าเช่นนั้น…หากไม่มีเรื่องใดแล้วข้าขอตัวก่อน” ศิษย์พี่อวี๋กล่าวจบก็หมุนตัวเดินมาทางด้านนี้
หลิงจือรีบหลบเข้าไปในห้องน้ำด้านข้าง
ในห้องน้ำมีบุรุษผู้หนึ่งเพิ่งถกกางเกงลง
บุรุษผู้นั้น “…”
หลิงจือ “…”
หลิงจือหน้าแดงหูแดงเดินออกมาจากห้องน้ำ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์กำลังจะเดินผ่านหน้าของนางไป หลิงจือเข้าไปคว้าข้อมือขาวผ่องดุจไขเทียนของนางไว้ “เมื่อครู่พวกเจ้าคุยสิ่งใดกัน”
“คุยสิ่งใดอะไร” เด็กสาวรากปราณสวรรค์เหลือบมองหลิงจือ สายตาของนางกวาดลงมามองมือของตนเองที่ถูกนางจับเอาไว้แล้วยิ้มจางๆ “อ้อ เจ้าหมายถึงศิษย์หลานสวี่สินะ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์โยนของสิ่งหนึ่งออกมา หลิงจือยกมือขึ้นมารับ นางเลื่อนสายตามามอง นี่มันผลไม้สีแดงที่นางมอบให้อวี๋เจี๋ย
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เคยเห็นหลิงจือกินผลไม้ชนิดนี้มาก่อนแล้ว นางจึงเดาได้ว่าหลิงจือเป็นผู้มอบให้อวี๋เจี๋ย
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยิ้มอย่างถือดี “คิดไม่ถึงสินะ คนที่เจ้าเฝ้าคิดประจบเอาใจ ลับหลังกลับยืมบุปผามาถวายพระ ทำตัวหน้าหนามาประจบเอาใจข้า ของสิ่งนี้ข้าไม่เห็นค่า เจ้าเอาไปคืนเขาแทนข้าก็แล้วกัน แล้วก็รบกวนเจ้าบอกเขาด้วยว่าข้าคือสายเลือดของท่านเซียน มิใช่บุรุษคนใดจะบังอาจใฝ่สูงมาหมายปอง”
ใบหน้าของหลิงจือแสบร้อน ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่นางรู้สึกเหมือนใบหน้าถูกคนฉีกจนไม่เหลือชิ้นดีแล้วเอาลงไปกระทืบซ้ำกับพื้นเช่นตอนนี้มาก่อน
หลิงจือกำหมัดแน่น “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการ เหตุใดไม่ปฏิเสธ เหตุใดจึงไม่บอกเขาด้วยตัวเอง”
“ข้าปฏิเสธแล้ว เจ้าก็เห็นละครไม่สนุกฉากนั้นแล้วไม่ใช่หรือ” เด็กสาวรากปราณสวรรค์ชักข้อมือขาวผ่องออกมาจากการกอบกุมของหลิงจือ แล้วค่อนแคะว่า “อายุน้อยๆ ไม่ศึกษาเล่าเรียนให้ดี ริอาจมีความรักฉันท์ชายหญิง รู้จักคิดเสียบ้างเถิด!”