หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 35 เวยเวยผู้ไร้พ่ายจัดการนายน้อย (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 35 เวยเวยผู้ไร้พ่ายจัดการนายน้อย (2)
ตอนพิเศษ 35 เวยเวยผู้ไร้พ่ายจัดการนายน้อย (2)
‘หลิงจือ’ บาดเจ็บ แต่นางบาดเจ็บตรงจุดที่บอกใครไม่ได้ เมื่อผู้พิทักษ์ใหญ่ส่งศิษย์ที่รู้วิชาแพทย์มา ‘หลิงจือ’ จึงกุมแผลแน่นไม่ยอมให้ดู ศิษย์ที่รู้วิชาแพทย์เหลือบมองจุดที่ ‘หลิงจือ’ กุมเอาไว้ จากนั้นก็ร้องอ้อออกมาอย่างเข้าใจ เขาเดินกลับเรือนไปนำยาทารักษาริดสีดวงทวารมาให้ฉินเซวียนหนึ่งกล่อง
ฉินเซวียนมองตัวอักษรด้านบนกล่องใบนั้น “…”
มีดปราบมังกรเป็นสิ่งที่ตัดได้แม้แต่มังกรมาร การตัดผ่านร่างกายของฉินเซวียนย่อมไม่ใช่ปัญหา ยิ่งร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าปกติ มีดเสียบทีเดียว เขาก็แทบจะหมดสติตายอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ฟื้นได้สติกลับมาเพราะความเจ็บปวด หากไม่ใช่ว่าที่ตัวเขาพกโอสถรักษาชีวิตมาด้วย เขาคงต้องทิ้งชีวิตนี้เอาไว้ที่นี่แล้วเป็นแน่
ฉินเซวียนกินยาแล้วนอนฟุบรักษาตัวอยู่บนเตียงอย่างนิ่งสงบ
เฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวจูงมือกันเดินออกไปด้านนอก
แต่เดิมมุกแปลงกายจะคงสภาพอยู่ได้ครึ่งเดือน แต่เมื่อวานเขาถูกมีดปราบมังกรทำร้าย ฤทธิ์ของมันจึงเหลือเพียงไม่กี่ชั่วยาม ก่อนฟ้ามืดเขาจะต้องเอาเม็ดมังกรมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผย ถึงตอนนั้นไม่ต้องพูดถึงเม็ดมังกรแล้ว เขาจะหนีออกไปจากสำนักเชียนหลันได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก
แต่ตอนนี้เขาบาดเจ็บ เกรงว่าคงจะควักเม็ดมังกรออกมาไม่ได้แล้ว…
ทำอย่างไรดีเล่า
ขณะที่ฉินเซวียนกำลังคิดไม่ตกอยู่นั่นเอง ผู้ฝึกตนมารของแดนกลางคนหนึ่งก็มาเยือนประตูสำนัก
นับตั้งแต่สำนักเชียนหลันก่อตั้งสำนัก พวกเขาเคยรับทำภารกิจอันยากลำบากมาไม่น้อย ปกติแล้วภารกิจเหล่านี้จะได้รับค่าตอบแทนประมาณหนึ่ง แต่หากพบกับชาวบ้านผู้ยากไร้พวกเขาก็จะงดเว้นไม่รับค่าตอบแทน แต่ไม่เคยได้ยินว่าพวกเขารับงานจากผู้ฝึกตนมารมาก่อน
ผู้ที่มาต้อนรับผู้ฝึกตนมารคนนี้คือผู้พิทักษ์สามลู่หยวนเจิ่น ลู่หยวนเจิ่นถามผู้ฝึกตนมารจนรู้ข้อมูลทุกสิ่งแล้วก็เดินทางไปที่เรือนของเจ้าสำนักสวี่
เจ้าสำนักสวี่กำลังนั่งสมาธิ เห็นเขารีบร้อนลนลานเข้ามาก็เหลือบมองเขาอย่างแปลกใจ “ลู่หยวนเจิ่น เจ้าอุตส่าห์วิ่งมาไกลขนาดนี้เพื่อมาหาเจ้าสำนักคนนี้ คงจะไม่ได้มาพูดเรื่องของผู้ฝึกตนมารคนนั้นกระมัง”
ลู่หยวนเจิ่นตอบว่า “ผู้ฝึกตนมารคนนั้นน่าสงสารจริงๆ หลายปีก่อนเขาประสานเม็ดตันแล้วแต่ต้องเผชิญกับอัสนีวิบาก แม้จะเก็บชีวิตกลับมาได้ แต่ก็บาดเจ็บจนถึงรากฐาน น้องชายของเขาเฝ้ารอเมล็ดของต้นโพธิ์เพื่อนำมารักษาอาการบาดเจ็บให้เขา แต่จนปัญญาที่ปีนี้เมล็ดต้นโพธิ์ไม่ออกมาสักนิด น้องชายของเขาได้ยินว่าเทือกเขาหานปิงมีผลไม้พิเศษชนิดหนึ่งที่รักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้ จึงแอบเดินทางไปที่นั่นลับหลังเขา หลายวันผ่านไปเขาได้อ่านจดหมายของน้องชายจึงทราบว่าน้องชายเดินทางไปยังสถานที่อันตรายแห่งนั้น หนนี้เขาจึงเดินทางมาเยือนสำนักด้วยหวังว่าพวกเราจะช่วยตามหาน้องชายของเขาได้”
เจ้าสำนักสวี่เกลียดชังผู้ฝึกตนวิถีมารอย่างลึกซึ้ง เมื่อได้ยินเรื่องเล่าชวนสะเทือนใจเรื่องนี้กลับไม่เพียงแต่ไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่ยังแค่นเสียงหยันออกมาอย่างดูแคลน “เรื่องเช่นนี้เหตุใดเขาไม่ไปหาสหพันธ์แดนกลางหรือสำนักว่านเซี่ยงเล่า”
ลู่หยวนเจิ่นยกมือชี้เจ้าสำนักสวี่ “เขาบอกว่าเขาชื่นชมท่านเจ้าสำนักจึงเดินทางมาที่นี่ขอรับ”
เจ้าสำนักสวี่ลูบแขนเสื้อกว้าง แล้วกล่าวอย่างเด็ดขาดอย่างยิ่ง “เจ้าจงไปบอกเขา พวกเราสำนักเชียนหลันเป็นสำนักธรรมมะ ไม่มีธุระอันใดกับผู้ฝึกตนมาร!”
ลู่หยวนเจิ่น “ศิลาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงหนึ่งหมื่นก้อนเชียวนะขอรับ”
เจ้าสำนักสวี่ “แต่ชีวิตคนย่อมสำคัญ ไม่มีแบ่งแยกธรรมะอธรรม”
ลู่หยวนเจิ่น “…”
…
ผู้ฝึกตนมารคนนั้นแซ่เจิ้ง หลังจากได้ข่าวว่าสำนักเชียนหลันรับภารกิจของผู้ฝึกตนมารแซ่เจิ้ง ฉินเซวียนก็รู้ว่าโอกาสของตนมาถึงแล้ว
เทือกเขาหานปิงตั้งอยู่สุดเขตของแดนกลาง หากข้ามเทือกเขาไปทางตะวันออกก็จะเป็นดินแดนของเผ่ามาร ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่อันตรายอย่างยิ่ง การจะไปค้นหาคนที่นั่น สำนักเชียนหลันย่อมต้องส่งยอดฝีมือทั้งหมดออกไปแน่นอน เมื่อพวกเขาจากไปกันหมดแล้ว เขาย่อมกระทำทุกสิ่งได้ตามใจ
เป็นเช่นที่เขาคิด พอถึงเที่ยงวันเจ้าสำนักสวี่ ประมุขเหลย ผู้พิทักษ์ใหญ่ ผู้พิทักษ์รองรวมไปถึงผู้พิทักษ์สามก็ออกเดินทางไปด้วยกัน พวกเขาทิ้งผู้ดูแลหลิวไว้ดูแลสำนักเชียนหลัน
ฉินเซวียนขอลาหยุดกับผู้ดูแลหลิว “…ข้าดีขึ้นมากแล้ว อยากจะพาเวยเวยลงเขาไปซื้อข้าวของเล็กน้อย มิทราบว่าจะได้หรือไม่”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว” ผู้ดูแลหลิวอนุญาตอย่างฉับไว “ต้องการให้ข้าหารถม้าให้เจ้าสักคันหรือไม่”
“หืม” ฉินเซวียนงงไปครู่หนึ่ง สมัยนี้แล้วยังมีคนนั่งรถม้าอยู่อีกหรือ
ผู้ดูแลหลิวหัวเราะ “อาจารย์อาน้อยเขาไม่ชอบขี่กระบี่นี่นา”
คำพูดนี้เตือนฉินเซวียนให้ฉุกคิดได้ว่าเจ้าเด็กน้อยสองคนนั่นเกาะติดกันเหมือนเงาตามตัว เขาพาไปเพียงคนเดียวออกจากผิดสังเกตอยู่บ้าง เขามองผู้ดูแลหลิวคนนี้อย่างขอบคุณ แล้วคลี่รอยยิ้มให้อย่างงดงาม “ถ้าเช่นนั้นรบกวนผู้ดูแลหลิวช่วยเตรียมรถม้าให้ข้าสักคันเถิด”
ผู้ดูแลหลิวคิดในใจ เจ้าเด็กคนนี้ปกติก็เป็นคนมีมารยาทอยู่หรอก แต่ไม่เห็นเคยยิ้มหวานขนาดนี้นะ…
ผู้ดูแลหลิวเตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อย ตกบ่ายเถิงเสอก็แบกเฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวที่หลับอุตุกลับมา ฉินเซวียออกแรงอุ้มเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นรถม้า สารถีคือบ่าวรับใช้จิปาถะในสำนักเชียนหลัน ระดับการฝึกตนของเขาไม่เท่าไร เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับฝึกปราณขั้นกลางเท่านั้น ฉินเซวียนย่อมจัดการเขาได้อย่างไม่ยากเย็น
“อาจารย์อาหลิงจือ วันนี้อยากไปที่ใดขอรับ” สารถีถาม
ฉินเซวียนแววตาทอประกายวูบหนึ่ง เขามองเด็กน้อยที่นอนหลับสบายอยู่ด้านข้าง มุมปากผุดรอยยิ้มเย็นชาออกมา “ปกติข้าไปที่ใด วันนี้ก็ไปที่นั่นเถิด”
สารถีถามว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ร้านของพวกเราหรือขอรับ”
ฉินเซวียนยิ้มตอบ “อืม ไปร้านของพวกเรา”
“ได้ขอรับ!” สารถีสะบัดแส้ในมือ รถม้าแล่นออกไปอย่างช้าๆ
ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่ขี่กระบี่ได้ เส้นทางบนภูเขาเส้นนี้จึงไม่มีผู้ใดสัญจรไปมามากนัก รอบด้านเงียบสงบ นอกจากเสียงกีบเท้าม้าก็มีเพียงเสียงล้อรถม้าบดถนนดังกุกกัก สารถีฮัมเพลงเบาๆ อย่างสบายใจ ขณะที่ฉินเซวียนจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบประหนึ่งหมาป่าสีเทากำลังจะล่าเหยื่อ
จนกระทั่งรถม้าแล่นออกจากเขตของสำนักเชียนหลัน ฉินเซวียนก็ใช้เคล็ดวิชาทันที สารถีกับอาชาร่างกำยำถูกตรึงนิ่งพร้อมกัน ฉินเซวียนข่มกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสตรงจุดที่บอกกล่าวผู้ใดไม่ได้ผลักสารถีลงไปที่พื้น
หลังจากนั้นฉินเซวียนก็ล้วงไข่มุกเคลื่อนย้ายสีเขียวหยกเม็ดหนึ่งออกมาแล้วพาพวกเขาเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย อินทรีแดงสองหางที่รับคำสั่งลงมารอที่ตีนเขาก็เข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายกับเขาด้วย
สถานที่ที่ฉินเซวียนจะเดินทางไปคือเผ่ามาร แต่สำนักเชียนหลันไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายเชื่อมตรงไปที่เผ่ามาร ส่วนค่ายกลที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ สหพันธ์แดนกลางเขาก็ไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปใช้
ไข่มุกเม็ดนี้เป็นอุโมงค์มิติที่อาจารย์ของเขาสร้างขึ้นมาด้วยมือตนเอง ทางออกอยู่ที่เทือกเขาหานปิง ห่างจากเผ่ามารไม่ไกลนัก หากไม่ผิดจากที่คาด เส้นทางที่เขาเดินทางไปย่อมไม่พบคนจากสำนักเชียนหลัน
เชาโชคดีไม่เลว คนของสำนักเชียนหลันนั่งเรือเหาะไปที่แดนกลางก่อน หลังจากนั้นจึงใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของแดนกลางเดินทางไปที่เทือกเขาหานปิง พวกเขาไม่เพียงเดินทางช้ากว่าฉินเซวียนอยู่บ้าง แต่จุดหมายที่เดินทางไปยังเป็นอีกฝั่งหนึ่งของเทือกเขาหานปิงอีกด้วย
ฉินเซวียนหลบเลี่ยงภัยคุกคามได้อย่างสมบูรณ์แบบ
รถม้าจอดในหุบเขาสีขาวโพลนแห่งหนึ่ง
ผู้ฝึกตนหนุ่มกลัวหนาวจึงใช้พลังปราณเสกเสื้อคลุมตัวหนาออกมาหนึ่งตัว “นายน้อย ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรดีขอรับ”
ฉินเซวียนแววตาเย็นยะเยือก “ไม่มีป้ายคำสั่งของเผ่ามาร ไม่ว่าผู้ใดก็บุกข้ามเขตแดนไปตามใจไม่ได้ ต่อให้ข้าเป็นนายน้อยของเผ่ามารก็ไม่ได้เช่นกัน รออยู่ที่นี่ดีแล้ว ข้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของอาจารย์ นางย่อมรู้ว่าข้ามาแล้ว ไม่นานก็คงจะออกมาตามหาเอง”
ผู้ฝึกตนหนุ่มมองฉินเซวียนที่เริ่มกลับมามีรูปลักษณ์ดังเดิม “นายน้อยท่าน…”
ฉินเซวียนสีหน้าซีดเผือด “มุกแปลงกายหมดฤทธิ์แล้ว”
นี่เร็วกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ โชคยังดีที่เขาคาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นยามนี้เขาคงเปิดเผยรูปลักษณ์เดิมอยู่ที่สำนักเชียนหลันแน่
“นายน้อย ข้าหนาวยิ่งนัก” ผู้ฝึกตนหนุ่มโอดครวญ
อินทรีแดงสองหางเป็นวิหคมารธาตุไฟ หากอยู่ในทุ่งน้ำแข็งธรรมดาก็ยังไม่เป็นอะไร แต่ที่แห่งนี้อยู่ใกล้ทะเลมรณะ นอกจากความหนาวเย็นจากเทือกเขาก็ยังมีไอมรณะจากทะเลมรณะแฝงมาด้วย มันจึงรู้สึกยากจะทนอยู่บ้าง ฉินเซวียนเองก็สภาพไม่ดีไปกว่ากันนัก ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับต่ำกว่าขั้นบรรลุญาณอยู่ที่นี่ได้ยากลำบากอย่างยิ่ง
จีเสี่ยวซิวถูกความหนาวเย็นปลุกให้ตื่น เขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนรถม้าของสำนักเชียนหลัน เฉียวเวยเวยนอนอยู่ข้างกายเขา หากเขาจำไม่ผิด ตอนนี้เป็นหน้าร้อน เหตุไฉนเขาจึงหนาวจนตัวสั่นเทา
ลมหนาวหอบหนึ่งพัดผ้าม่านบนรถม้าแหวกออก จีเสี่ยวซิวมองลอดช่องว่างของม่านถรออกไปเห็นภาพทิวทัศน์ด้านนอก แผ่นดินสีขาวโพลนมีแต่ทุ่งหิมะกับน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตา ความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกลอยมากับอากาศ พร้อมกับกลิ่นอายที่คล้ายความตาย
“ที่นี่…เทือกเขาหานปิงหรือ”
แววตาของจีเสี่ยวซิวเริ่มเย็นยะเยือก เขาไม่คิดว่าคนของสำนักเชียนหลันจะพาเด็กน้อยที่ขนยังไม่ขึ้นสองคนมายังสถานที่เช่นนี้ด้วย เขายื่นมือน้อยอันเย็นเฉียบออกมาเปิดม่านรถตรงหน้า เห็นผู้ฝึกตนหนุ่มสองคนก่อกองไฟอยู่บนที่ว่างไม่ไกลนัก
ทั้งสองคนหันข้างมาทางจีเสี่ยวซิว ผู้ฝึกตนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายอายุน้อยกว่าสักหน่อย หน้าตาของเขาสะอาดสะอ้าน ใบหน้างามหมดจด สีหน้าออกจะซีดเผือดอยู่เล็กน้อย ส่วนผู้ฝึกตนด้านขวามีเส้นผมสีแดง รูปร่างสูงใหญ่แต่กลับผอมเพรียว เขามีจมูกงองุ้มเหมือนเหยี่ยวผิดจากคนทั่วไปกับดวงตาคมกริบที่ราวกับจะมองทะลุทุกสิ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์
จีเสี่ยวซิวถอดจิตตั้งต้นออกจากร่างเข้าไปสอดส่องข้อมูลของทั้งสองคนในยมโลก “ผู้ฝึกตนมารขั้นประสานเม็ดตันกับอินทรีแดงสองหางที่จิตตั้งต้นถูกผนึกไว้ อืม น่าสนใจ”
จิตตั้งต้นถูกผนึกย่อมหมายความว่าเขาพาเข้าไปสังหารในแดนยมโลกตามใจไม่ได้
จีเสี่ยวซิวปลุกเฉียวเวยเวย
เฉียวเวยเวยสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาหาวท่าทางน่ารักน่าชัง
จีเสี่ยวซิวรีบปิดปากนาง แล้วยกมือขึ้นมาทำท่าบอกให้เงียบ จากนั้นจึงจูงมือน้อยอุ่นร้อนของนางลอบลงจากรถม้าไปอย่างเงียบๆ