หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 43 เวยเวยผู้องอาจน่าเกรงขาม
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 43 เวยเวยผู้องอาจน่าเกรงขาม
ตอนพิเศษ 43 เวยเวยผู้องอาจน่าเกรงขาม
เรื่องไปเอาตรามังกรมารจึงกำหนดลงเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นเริ่มทยอยกันจากไป
รองหัวหน้าสหพันธ์หมุนตัวเดินลงจากแท่นบวงสรวง ตอนนั้นเองลู่หยวนเจิ่นก็เรียกเขาเอาไว้ “รองหัวหน้าสหพันธ์!”
รองหัวหน้าสหพันธ์หมุนตัวกลับมาอย่างเคร่งขรึม อยากรู้ว่าลู่หยวนเจิ่นมีธุระสำคันอันใด ทันใดนั้นลู่หยวนเจิ่นก็สะบัดมือโยนบางสิ่งมาให้ “ปลาของท่าน!”
รองหัวหน้าสหพันธ์หน้าดำทะมึน
…
ฉินเซวียนกลับคืนร่างเป็นมนุษย์ตอนตกกลางคืน หลังจากเขาคืนร่างสิ่งแรกที่ทำก็คือให้บ่าวรับใช้ไปจับปลาตัวอ้วนจากแม่น้ำมาหนึ่งตัว เพียงเขาเห็นปลาตัวนั้น เลือดลมก็พลุ่งพล่าน สองตาเหลือกเป็นลมล้มตึงไปทันที
ฉินเซวียนเคยจินตนาการภาพยามตนเองกลายร่างนับครั้งไม่ถ้วน ภาพจินตนาการเหล่านั้นบางส่วนก็เกิดจากความไม่มั่นใจในตนเอง ส่วนมากภาพเหล่านั้นจึงเป็นภาพความล้มเหลว ตัวอย่างเช่นเขาเคยจินตนาการว่าตนแปลงกายมีหัวมังกร แต่กลับไม่มีหางมังกร หรือแปลงกายสร้างหางมังกรออกมาได้ แต่ดันไม่มีกรงเล็บมังกร หรือไม่ก็แปลงกายไม่ได้แม้แต่น้อย
ทว่าในภาพจินตนาการนับร้อยนับพันครั้งไม่มีสักครั้งเดียวที่เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาแปลงกายเป็นปลาอ้วนที่ทั้งอ้วนทั้งอัปลักษณ์ตัวหนึ่งต่อหน้าผู้คนมากมาย
เพียงนึกถึงเรื่องยามนั้นฉินเซวียนก็อยากจะเป็นลมตายไปให้รู้แล้วรู้รอด!
ฉินเซวียนไปพบรองหัวหน้าสหพันธ์ แต่กลับได้รับแจ้งว่ารองหัวหน้าสหพันธ์พักผ่อนแล้ว เขารู้ว่าบิดาของเขาโกรธแล้ว แต่โกรธเขาหรือโกรธตัวเอง เรื่องนี้เขาก็สุดจะรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือยามนี้คนที่รองหัวหน้าสหพันธ์ไม่อยากจะเห็นหน้าที่สุดก็คือฉินเซวียน
ก่อนจะค้นหาความจริงกระจ่างว่ามารดาบังเกิดเกล้าของฉินเซวียนเป็นปีศาจปลาตัวหนึ่งจริงหรือไม่ ทางที่ดีฉินเซวียนอย่าหาเรื่องให้ตนเองลำบากเลยดีกว่า
ทว่าไม่ใช่ทุกคนบนโลกจะสงสัยฉินเซวียน ต่อให้คนทั้งโลกคิดว่าฉินเซวียนเป็นปลาตัวหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรสตรีผู้นี้ก็เชื่อว่าฉินเซวียนบริสุทธิ์
“อาจารย์” ฉินเซวียนมาพบอาจารย์ของตนที่ตำหนักโหราจารย์ในเผ่ามาร
หลังจากผ่านเรื่องราวที่พลิกผันใหญ่โตเช่นนี้ สภาพของโหราจารย์หญิงก็ไม่ดีกว่าฉินเซวียนสักเท่าไร เพียงแต่ว่าก่อนฉินเซวียนจะมาเยือน นางทำลายอาวุธวิเศษไปแปดชิ้น ทำลายอาวุธญาณอีกสองชิ้นกับทำลายเครื่องหยกเครื่องเงินเครื่องทองไปอีกเต็มห้อง นางจึงระบายโทสะไปได้พอประมาณแล้ว
“เจ้ามาแล้วหรือ” โหราจารย์หญิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง เหลือบมองฉินเซวียนด้วยสายตานิ่งสงบ “มานั่งเถิด”
ฉินเซวียนถอดรองเท้า เท้าที่สวมถุงเท้าสีขาวพิสุทธิ์เหยียบลงบนพื้นที่ส่งกลิ่นไม้จันทน์หอมจางๆ เขาเดินมานั่งกับพื้นตรงข้ามกับโหราจารย์หญิง
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน สีหน้าของเขาก็แดงระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้
โหราจารย์หญิงยกข้อมือขาวผ่องขึ้นมารินชาหลงจิ่งก่อนฝนจากโลกมนุษย์ให้เขาหนึ่งถ้วย “เรื่องเกิดขึ้นไปแล้ว นึกเสียใจอีกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ กลับไปแก้ไขมิได้”
ฝ่ามือใหญ่ของฉินเซวียนกำหมัด “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาได้”
โหราจารย์หญิงวางกาน้ำชาลงแล้วถอนหายใจแผ่วเบา “อาจารย์ประมาทเอง ตอนที่หนีออกมาวันนั้น ข้าถูกชิงสุ่ยเจินเหรินฟาดฝ่ามือใส่หนึ่งฝ่ามือ ยามนั้นข้าเพียงคิดว่าเขาต้องการเอาชีวิตข้า แต่ตอนนี้มานึกดูแล้วเขาน่าจะแฝงดวงจิตเสี้ยวหนึ่งไว้บนตัวข้า เขารู้แผนการเกี่ยวกับเกล็ดมังกรที่ข้ากับเจ้าวางแผนเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว เขาจึงใช้ดวงจิตเสี้ยวนั้นขโมยเกล็ดมังกรไป แล้วเหลือไว้เพียงหนึ่งเกล็ดให้เจ้าพอกลายร่างได้หนึ่งครั้ง ส่วนที่เหลือล้วนสลับเป็นสิ่งอื่น”
“น่าชังเหลือเกินจริงๆ!” ฉินเซวียนหน้าบึ้งตึง
โหราจารย์จิบชาอย่างนิ่งสงบ “ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นคนของแดนเซียน ข้าประมาทเอง”
ฉินเซวียนกล่าวว่า “เป็นเพราะบุรุษผู้นั้นมากเล่ห์! อาจารย์มิจำเป็นต้องโทษตนเองหรอกขอรับ”
โหราจารย์หญิงไม่ตอบคำใด
ฉินเซวียนคิดว่าโหราจารย์หญิงทำเช่นนี้เพื่อเขา เขาไม่ทราบว่าโหราจารย์หญิงมีแผนการของตนเองอยู่ ดังนั้นความพ่ายแพ้หนนี้ทำให้นางรับไม่ได้ยิ่งกว่าฉินเซวียนเสียอีก
ฉินเซวียนถามขึ้นมาว่า “อาจารย์ ต่อจากนี้พวกเราควรทำเช่นไรดีขอรับ”
โหราจารย์หญิงตอบเรียบๆ “เจ้าคงได้ยินแล้วว่าวันพรุ่งนี้มังกรน้อยตัวนั้นจะเข้าไปในวังมารเพื่อตามหาตรามังกรมาร เมื่อนางทำสำเร็จ ข้ากับเจ้าและบิดาของเจ้าล้วนจะต้องถูกเนรเทศออกจากเผ่ามาร”
ฉินเซวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “ข้าสู้อุตส่าห์ทุ่มเททำสิ่งต่างๆ มาเนิ่นนาน แต่มังกรน้อยตัวนั้นเพิ่งจะโผล่มาเพียงวันเดียว…”
โหราจารย์หญิงเอ่ยว่า “เจ้าก็พูดเองนี่ว่านางเป็นมังกร”
มังกรมารเป็นผู้นำของเผ่ามาร นี่เป็นกฎที่สืบทอดมาตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อนจวบจนวันนี้ เฉียวเวยเวยเกิดมามีฐานะสูงส่ง เรื่องนี้เป็นความจริงที่มิอาจลบเลือนได้
คำพูดเหล่านี้ โหราจารย์หญิงไม่เคยเอ่ยออกมาต่อหน้าฉินเซวียน แต่ฉินเซวียนเข้าใจทุกสิ่ง แต่ก็เพราะเข้าใจนี่เอง เขาจึงยิ่งไม่ยินยอม “บิดาของข้าคือประมุขของตระกูลฉิน ตระกูลฉินพิทักษ์เผ่ามารมาทุกรุ่น แต่เดิมเผ่ามารก็สมควรเป็นของตระกูลฉินของพวกเรา!”
โหราจารย์หญิงได้ยินถ้อยคำวางโตเช่นนี้มาจนชินแล้ว นางรู้ว่าลูกศิษย์ของตนหาใช่คนปากไม่มีหูรูด เพียงแต่เขาชอบแสร้งทำตัวเป็นคนที่พูดทุกสิ่งที่คิด เพื่อให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเขาใสซื่อควบคุมง่ายก็เท่านั้น
โหราจารย์หญิงมองออกแต่ไม่เปิดโปง นางเพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “คำพูดเหล่านี้ รอเจ้ามีความสามารถสังหารจอมมารได้แล้วค่อยพูดเถิด”
ฉินเซวียนแสร้งทำเป็นโง่เง่าพอแล้ว ครั้นเห็นถ้วยชาของโหราจารย์หญิงว่างเปล่า เขาก็รีบรินชาถ้วยใหม่ให้นางด้วยตนเอง “แม้ว่า…นางจะยังเล็ก แต่หากนางบังเอิญโชคดีหามาได้จริงจะทำเช่นไรดีเล่า ถ้าเช่นนั้นพวกเรามิใช่ว่าจะไร้ทางแก้สถานการณ์แล้วหรือ”
โหราจารย์หญิงเลิกคิ้ว นางยกถ้วยชาขึ้นมา ริมฝีปากบิดโค้ง “ผู้ใดบอกว่าจะเป็นเช่นนั้น นี่ไม่ใช่โอกาสมาหาแล้วหรืออย่างไร”
…
เพราะวันรุ่งขึ้นต้องไปค้นหาตรามังกรมาร ต้องสะสมแรงไว้ให้เต็มที่ ชิงสุ่ยเจินเหรินจึงอุ้มบุตรสาวไปที่เตียงแต่หัวค่ำ ชิงสุ่ยเจินเหรินเป็นบิดาที่ยังอายุน้อย หน้าตาเขาดูแล้วเหมือนเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ ประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกของเขาก็อ่อนเยาว์เฉกเช่นหน้าตา
ยังดีที่เฉียวเวยเวยเป็นเด็กเลี้ยงง่ายอย่างยิ่ง นางไม่เลือกกิน ไม่ร้องโวยวาย ไม่กลัวคนแปลกหน้าและไม่โมโหอาละวาด ชิงสุ่ยเจินเหรินห่มผ้าห่มให้บุตรสาว เขามองใบหน้าน้อยสีชมพูระเรื่อของนางแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “นอนเถิด วันพรุ่งนี้พ่อจะปลุกเจ้า”
เฉียวเวยเวยหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง ชิงสุ่ยเจินเหรินล้มตัวนอนข้างนาง แล้วสะบัดแขนเสื้อดับโคมไฟ นอนเฝ้านางอยู่เงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเฉียวเวยเวยพูดสียงนุ่มนิ่ม “หลิงจือหนึ่งคน หลิงจือสองคน หลิงจือสามคน หลิงจือสี่คน…”
“อะไรหรือ” ชิงสุ่ยเจินเหรินจุดไฟบนเทียนไขแท่งหนึ่งขึ้นมา
ใต้แสงเทียนไข ดวงตาของเฉียวเวยเวยเป็นประกายวิบวับ ไม่มีท่าทีง่วงงุนสักนิด “นอนไม่หลับ ต้องนับหลิงจือ”
หลิงจือระดับการฝึกตนไม่มากพอ ปราณมารของเผ่ามารจะทำให้นางรู้สึกไม่สบาย ชิงสุ่ยเจินเหรินจึงไม่ได้พานางมาด้วย ส่วนจีเสี่ยวซิวยังไม่มีรากปราณ เขาย่อมไม่พามาด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าชิงสุ่ยเจินเหรินมีวิธีทำให้พวกเขาไม่ถูกปราณมารกัดกิน แต่ชิงสุ่ยเจินเหรินก็มีความเห็นแก่ตัวของตนเองเช่นกัน
ชิงสุ่ยเจินเหรินพลิกกายนอนตะแคง ยกมือข้างหนึ่งมาเท้าศีรษะ ส่วนมืออีกข้างยื่นไปตบหัวไหล่เล็กของนางเบาๆ “เจ้านับ พ่อจะฟัง”
เฉียวเวยเวยนับต่อจริงๆ “…หลิงจือคนที่ห้า หลิงจือคนที่หก หลิงจือคนที่แปด หลิงจือคนที่หนึ่งร้อย…”
นางนับไปเรื่อยๆ ชิงสุ่ยเจินเหรินก็ตบแผ่นหลังของนางเบาๆ ไปด้วย การกระทำนี้อ่อนโยนจนน่าเหลือเชื่อ เฉียวเวยเวยนอนไปๆ เสียงก็เงียบหาย
ชิงสุ่ยเจินเหรินยิ้มอย่างรักใคร่ คอยปกป้องนางให้หลับฝันดีตลอดทั้งคืน
…
เพียงพริบตาเดียวเช้าวันรุ่งขึ้นก็มาถึง วันนี้เป็นวันที่มังกรมารน้อยจะไปหาตรามังกรมาร ตรามังกรมารไม่ใช่ทั้งอาวุธวิเศษและไม่ใช่ทั้งอาวุธญาณ หากจะให้บอกว่ามันมีฤทธิ์เดชอันใด คนเผ่ามารก็ตอบไม่ได้ แต่หากไม่มีมัน มังกรมารก็จะสืบทอดเผ่ามารมิได้ นี่เป็นกฎที่บรรพบุรุษใช้สืบต่อกันมา
ฟ้ายังไม่ทันสว่างชิงสุ่ยเจินเหรินก็ดึงเฉียวเวยเวยลุกขึ้นมาจากกองผ้าห่ม เฉียวเวยเวยง่วงงุนเล็กน้อย หลังจากอาบน้ำล้างหน้าก็กลายร่างเป็นมังกรน้อยแล้วหลับต่อ ชิงสุ่ยเจินเหรินเดินทางไปที่เขตต้องห้ามเพื่อสำรวจภูมิประเทศ จึงกำชับให้พวกเจ้าสำนักสวี่สามคนดูแลเวยเวยให้ดี รอเวยเวยตื่นแล้วค่อยพานางตรงไปที่เขตต้องห้าม
พวกเจ้าสำนักสวี่สามคนเดินเข้ามา พวกเขาอาศัยแสงจากมุกราตรีมองดูมังกรน้อยบ้านตน ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง
ลู่หยวนเจิ่นลูบคาง “เวยเวยของพวกเรา…น่าจะไม่ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวใช่หรือไม่”
ประมุขเหลยตอบว่า “ไม่ต้องอยู่แล้วสิ!”
เจ้าสำนักสวี่ “ถามอะไรที่ไม่จำเป็นต้องถาม!”
ทั้งสามคนปิดประตูแล้วกลับไปที่ห้องของแต่ละคน
แสงจากดวงไฟตรงทางเดินส่องลงบนบานประตูอันวิจิตร ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็แวบเข้ามา เขาก็คือประมุขเหลย
ภายในห้องไม่ได้จุดโคมไฟเอาไว้ ประมุขเหลยก็ไม่หันไปจุดมัน เพราะเขากลัวว่าตนจะทำเสียงดังจนเวยเวยตื่น เขาคลำทางในความมืดจนเดินมาถึงข้างเตียง จากนั้นจึงล้วงของสีแดงก่ำออกมาจากอกเสื้อ แล้วประดับลงบนศีรษะของมังกรมารน้อย
เพียงชั่วพริบตามังกรมารน้อยผู้องอาจน่าเกรงขามก็ดูคล้ายแม่สื่อในงานแต่งขึ้นมานิดๆ!
ประมุขเหลยเดินออกไปอย่างพออกพอใจ
ไม่นานเจ้าสำนักสวี่ก็เข้ามาบ้าง ภายในห้องไม่มีการจุดโคมไฟเช่นเดิม เจ้าสำนักสวี่จึงมองไม่เห็นว่าบนศีรษะของมังกรมารน้อยมีดอกไม้สีแดงสดดอกใหญ่เด่นหราอยู่ เขาล้วงของสีชมพูออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้วคล้องบนลำคอของมังกรน้อยก่อนจะผูกปมให้อย่างสวยงามประณีต
เขาเดินออกไปอย่างพออกพอใจเช่นกัน
หลังจากเขาออกไปไม่นาน ลู่หยวนเจิ่นก็เข้ามาบ้าง เขาไม่ได้สวมสิ่งใดให้มังกรมารน้อย แต่ล้วงของประหลาดชิ้นหนึ่งออกมาป้ายบนริมฝีปากของมังกรมารน้อย
ดังนั้นหนึ่งเค่อให้หลัง มังกรมารน้อยผู้ทัดดอกไม้สีแดงสด มัดแถบผ้าที่ผูกเป็นรูปผีเสื้ออยู่ตรงคอ และทาริมฝีปากสีแดงร้อนแรงตัวหนึ่งก็ถือกำเนิดอย่างเฉิดฉาย
เมื่อมันปรากฏตัวที่เขตต้องห้ามอย่างองอาจน่าเกรงขาม ดวงตาของชิงสุ่ยเจินเหรินก็เกือบจะถูกภาพนี้บาดตาจนบอด…