หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 47-2 จุมพิต คู่หมั้น (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 47-2 จุมพิต คู่หมั้น (2)
ตอนพิเศษ 47-2 จุมพิต คู่หมั้น (2)
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตอบว่า “ข้าทราบว่านี่มิใช่การไปเที่ยวเล่น ดังนั้นจึงต้องการตามไปดูแลอาจารย์อาน้อย มิเช่นนั้นหลิงจือคนเดียวคงดูแลไม่ทันแน่ ข้าเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ข้าทำตัวไม่ดี แต่ข้าคิดตกแล้ว ข้าจะไม่แย่งชิงสิ่งใดกับผู้ใดอีก ข้าเพียงคิดว่าหากมีโชคได้ไปฝึกวิชาที่แดนปีศาจสักหน การฝึกตนของข้าคงจะก้าวหน้าครั้งใหญ่”
การไปฝึกวิชาที่แดนปีศาจเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ไม่เช่นนั้นเหตุใดสำนักเชียนหลันจึงยินยอมให้หลิงจือเดินทางไปด้วย คิดว่าเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนเฉียวเวยเวยอย่างเดียวเท่านั้นหรือ จะเป็นไปได้เช่นไร
แต่หลิงเอ๋อร์ไปไม่ได้
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถามอย่างไม่เข้าใจ “อาจารย์ เหตุใดนางไปได้ แต่ข้าไปไม่ได้ หรือว่า…มีสาเหตุใดที่ข้าไปเหยียบแดนปีศาจไม่ได้หรือ”
ผู้พิทักษ์รองสะอึกทันที
เจ้าสำนักสวี่เรียกผู้พิทักษ์รองกับผู้พิทักษ์ใหญ่ออกไปคุยกันด้านหน้า “ให้นางไปเถิด แล้วระหว่างทางก็จับตาดูให้ใกล้ชิดเสียหน่อย”
ผู้พิทักษ์ทั้งสองพยักหน้า
ผู้พิทักษ์ใหญ่กล่าวกับชิงสุ่ยเจินเหรินว่า “หากท่านเซียนไม่รังเกียจ ข้ากับศิษย์น้องของข้ายินดีจะช่วยท่านเซียนอีกแรง”
คำพูดนี้ของผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยดูแลเด็กๆ ให้เท่านั้น แต่สำนักเชียนหลันจะช่วยเหลือในการตามหาจอมมารด้วย แม้ธรรมะกับอธรรมมิอาจยืนอยู่ร่วมฟ้า แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาตัดกันไม่ขาดนับตั้งแต่ยามที่เฉียวเวยเวยก้าวขึ้นเขามาแล้ว
ชิงสุ่ยเจินเหรินหันไปมองบุตรสาวของตนเอง “เจ้าอยากไปกับเสี่ยวซิวหรือไม่”
เฉียวเวยเวยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองจะไปทำอะไร นางคิดว่าเป็นการเดินทางลงเขาธรรมดาๆ หนหนึ่งเท่านั้น ทุกครั้งที่ลงจากเขานางล้วนไปกับจีเสี่ยวซิวดังนั้นนางจึงพยักหน้า
เรื่องคนในคณะเดินทางจึงตกลงกันเช่นนี้
แดนปีศาจตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเผ่ามาร เส้นทางที่เร็วที่สุดในการเดินทางไปแดนปีศาจก็คือตัดทะลุเผ่ามาร
พวกเขาแวะที่สหพันธ์แดนกลางก่อน จากนั้นจึงใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของสหพันธ์เดินทางเข้าไปในเขตของเผ่ามาร เสร็จแล้วจึงใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายทางตะวันออกของเผ่ามารเดินทางตัดผ่านอาณาเขตทั้งหมดของเผ่ามารไป
ราวพลบค่ำพวกเขาก็เดินมาถึงเมืองเล็กแห่งหนึ่งบริเวณชายแดนของเผ่ามาร หลังจากผ่านเมืองเล็กแห่งนี้แล้วข้ามภูเขารกร้างอีกลูกหนึ่งก็จะเข้าสู่แดนปีศาจอย่างเป็นทางการแล้ว
แดนปีศาจมีปราณปีศาจเข้มข้น ชิงสุ่ยเจินเหรินกับผู้พิทักษ์ทั้งสองคนระดับการฝึกตนสูงแล้วย่อมไม่ได้รับผลร้ายประการใด ฝ่ายเฉียวเวยเวยเกิดมามีร่างกายแข็งแกร่ง ปราณปีศาจมิอาจกล้ำกรายได้ แต่จีเสี่ยวซิว หลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ต้องอาศัยโอสถเพื่อป้องกันปราณปีศาจกัดกินร่างกาย
ชิงสุ่ยเจินเหรินมอบโอสถเซียนคุ้มครองกายให้ทั้งสามคนคนละเม็ด
จีเสี่ยวซิวกับหลิงจือกินลงไปอย่างให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง ส่วนเด็กสาวรากปราณสวรรค์ นางถือโอสถกลับไปที่ห้อง นางก็คิดจะกินโอสถลงไปเหมือนกัน ทว่าเสียงนั่นดังขึ้นริมหูนางเสียก่อน “เจ้าไม่ต้องกินหรอก ปราณปีศาจไม่เพียงไม่อันตรายต่อเจ้า มันยังจะทำให้ระดับการฝึกตนของเจ้าก้าวหน้าครั้งใหญ่อีกด้วย”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถามอย่างระแวง “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”
หญิงสาวหัวเราะ “เจ้ารู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าข้าคือผู้ใด เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ทำร้ายเจ้า ข้ามีแต่จะช่วยเหลือเจ้า”
“เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้” เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถาม
หญิงสาวตอบว่า “แน่นอนว่าเพราะข้าอยากจะแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมกับเจ้า ข้าช่วยให้เจ้าได้สิ่งที่เจ้าปรารถนา เจ้าก็ช่วยให้ข้าได้มังกรน้อยตัวนั้น เป็นเช่นไร”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์กำหมัด “มังกรน้อยตัวนั้นเป็นลูกของท่านเซียน! เจ้าจะให้ข้าเป็นศัตรูกับท่านเซียนหรือไร”
หญิงสาวเอ่ยอย่างหยิ่งยโส “หากเจ้าเอาสิ่งที่เป็นของตนกลับมาได้ แค่เซียนตนหนึ่ง ไม่มีค่าให้ชายตาแลแม้แต่น้อย”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์แววตาวูบไหว “สิ่งที่เจ้าให้ข้าไปเอากลับมา…คือสิ่งใดกันแน่ เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”
ก๊อกๆ!
เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก เด็กสาวรากปราณสวรรค์หันขวับกลับมา ขณะเดียวกันประตูห้องก็ถูกผลักเปิดเข้ามา ผู้พิทักษ์รองก้าวเข้ามาช้าๆ “หลิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าคุยกับผู้ใด”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เหลือบมองด้านในห้องแต่ไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น นางกดความรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลังลงไปแล้วแสร้งตอบอย่างนิ่งสงบ “อ่า…เปล่าเจ้าค่ะ ข้ากำลังท่องเคล็ดวิชาฝึกกำลังภายใน”
ผู้พิทักษ์รองถอนหายใจเบาๆ “อาจารย์เพียงลองถามดูเท่านั้น เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจ ส่วนเรื่องการฝึกตน อย่าเร่งรัดเกินไปเสียเล่า”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เหงื่อเย็นผุดพราย “ศิษย์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ผู้พิทักษ์รองถามว่า “กินโอสถเซียนแล้วหรือยัง”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตอบว่า “…กินแล้วเจ้าค่ะ”
ผู้พิทักษ์รองตบหัวไหล่ของนาง แล้วจัดคอเสื้อให้นางเหมือนไม่สงสัยอะไร เมื่อเห็นเชือกสีแดงของยันต์แคล้วคลาดก็ยิ้มละไมบอกว่า “พักผ่อนให้เร็วหน่อยเถิด วันพรุ่งนี้ต้องเข้าไปในแดนปีศาจแล้ว แดนปีศาจมีสถานที่เปี่ยมพลังปราณอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีของอย่างหลุมสวรรค์อยู่นับไม่ถ้วนด้วย หากไม่จำเป็นก็จงอย่าอยู่ห่างจากตัวอาจารย์หรืออาจารย์ป้าของเจ้าเด็ดขาด”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตอบว่า “ศิษย์จะจดจำคำเตือนของอาจารย์ให้ขึ้นใจ”
ผู้พิทักษ์รองจึงเดินจากไปอย่างพึงพอใจ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ย่อมสังเกตเห็นตอนอีกฝ่ายมองหายันต์แคล้วคลาดของตน นางหยิบยันต์แคล้วคลาดออกมาอย่างช้าๆ ผู้พิทักษ์รองไม่รู้ว่ายันต์แคล้วคลาดชิ้นนี้หาใช่ชิ้นที่นางมอบให้ แต่เป็นเพียงของเลียนแบบที่เหมือนกันทุกประการชิ้นหนึ่ง
…
คนของเผ่ามารจะเข้าไปในแดนปีศาจย่อมไม่ง่าย แต่ในคณะเดินทางมีเพียงเฉียวเวยเวยคนเดียวที่เป็นมังกรมารน้อย หากนางไม่แปลงกายก็ตรวจจับปราณมารบนร่างนางไม่ได้แต่อย่างใด ดังนั้นหากนางคิดจะหลบการตรวจสอบของเผ่าปีศาจย่อมไม่ลำบากสักนิด
คนที่เหลือล้วนเป็นผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ แดนปีศาจไม่กีดกันการติดต่อกับผู้ฝึกตนทั้งหลาย
เพียงแต่ว่าการเดินทางมาเยือนหนนี้ของพวกเขามาเพื่อสืบหาร่องรอยของจอมมาร พวกเขาจึงมิอาจเปิดเผยตัวตน มิเช่นนั้นเกิดข่าวหลุดลอดออกไป จอมมารย่อมตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจำเป็นต้องมีเหตุผลอันสมควรที่จะเข้าไปในแดนปีศาจและเดินทางไปทั่วโดยไม่ให้ผู้อื่นสงสัย
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ พวกเขาก็มาปรากฏตัวด้านนอกค่ายทหารแห่งหนึ่งตรงชายแดนของแดนปีศาจ
นี่มิใช่ค่ายทหารอย่างเป็นทางการอะไร แต่มันเป็นสำนักแห่งหนึ่งของแดนปีศาจ คล้ายกับสำนักคุ้มภัยของโลกมนุษย์ทำนองนั้น พวกเขาทำธุรกิจคุ้มกันอารักขาเป็นหลัก แต่ก็รับภารกิจตึงมือบางอย่างด้วย สิ่งที่ควรเล่าเสียหน่อยก็คือตัวค่ายทหารเองไม่มียอดฝีมือสักเท่าไร พวกเขาล้วนจ้างวานคนจากข้างนอก
คนที่เดินทางมายังที่แห่งนี้ มีทั้งมาขอให้ช่วยทำภารกิจแล้วก็มารับทำภารกิจ
ชิงสุ่ยเจินเหรินแปลงรูปลักษณ์ของตนเองให้ธรรมดาขึ้นเล็กนอย มองดูแล้วเหมือนเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่เพราะเขามีพลังขั้นครึ่งเซียน เมื่อก้าวเข้าประตูไปจึงทำให้เสี่ยวเอ้อร์เชิญไปที่ห้องโถงต้อนรับแขกคนสำคัญทันที
“ครึ่งเซียนท่านนี้เรียกขานว่าอันใดหรือ” ผู้ที่มาต้อนรับชิงสุ่ยเจินเหรินคือผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง
ชิงสุ่ยเจินเหรินตอบว่า “ข้าแซ่เฉียว”
ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ตอบอย่างมีมารยาท “ท่านครึ่งเซียนแซ่เฉียวเพิ่งมาเยือนเผ่าปีศาจหนแรกกระมัง มิทราบว่ามาเพื่อสิ่งใดหรือ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินแสร้งทำสีหน้าอับอายแล้วตอบว่า “แดนล่างไอปราณไม่มากพอ สำนักของพวกข้ารักษาสำนักต่อไปมิได้จึงยุบสำนัก ยามนี้เหลือเพียงพวกข้าไม่กี่คน ข้าจึงต้องออกมาหารายได้เลี้ยงชีพ”
ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์หัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นท่านก็มาหาถูกที่แล้ว ขอเพียงท่านมีพลังก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ หากท่านปักหลักที่นี่ได้สักแปดปีสิบปี ข้าค่อยคิดหาวิธีช่วยให้ท่านลงหลักปักฐาน เท่านี้ท่านก็จะเป็นพลเมืองของแดนปีศาจแล้ว!”
เผ่ามนุษย์ที่อยู่ในแดนปีศาจจะหวังตำแหน่งฐานะอะไรได้ ลงหลักปักฐานที่เขาเอ่ยถึงก็คงหนีไม่พ้นทำให้ชิงสุ่ยเจินเหรินเป็นเหมือนเขา กลายเป็นทาสของเผ่าปีศาจไปตราบจนชั่วลูกชั่วหลานเท่านั้น
ชิงสุ่ยเจินเหรินมองออกแต่ไม่พูด “ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณสหายน้อยคนนี้ยิ่งนัก ในครอบครัวข้ายังมีพี่สาวอีกสองคน พวกนางล้วนเป็นยอดฝีมือขั้นบรรลุญาณ พวกเรารับทำภารกิจหลายภารกิจพร้อมกันได้หรือไม่”
เรื่องนี้ผิดกฎอยู่เล็กน้อย แต่ระยะนี้มีภารกิจมากจนทำไม่ทันจริงๆ ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ลังเลครู่หนึ่งก็ตกลง
ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์บอกด้วยสีหน้าจริงจัง “จ่ายเงินมัดจำมาก่อน หลังจากทำภารกิจลุล่วงแล้ว ค่อยไปรับคืนที่สาขาย่อยประจำสถานที่นั้นๆ สาขาย่อยจะมอบเงินมัดจำกับเงินรางวัลให้ท่านพร้อมกัน ท่านอย่าคิดจะเอาของหนีไปกลางทางเด็ดขาด หากทำเช่นนั้นท่านจะถูกทั้งแดนปีศาจไล่ล่า”
“เข้าใจแล้ว” ชิงสุ่ยเจินเหรินจงใจเลือกภารกิจที่กระจายอยู่คนละทิศคนละทางมาหลายภารกิจ จากนั้นจึงจ่ายเงินมัดจำเป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงห้าพันก้อน แล้วรับป้ายห้อยเอวที่สาขาหลักแจกจ่ายให้มาพกไว้กับตัว ก่อนจะพาเฉียวเวยเวยกับคนอื่นๆ เข้าแดนปีศาจไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค