หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 53-1 ความจริงเกี่ยวกับเวยเวย
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 53-1 ความจริงเกี่ยวกับเวยเวย
ตอนพิเศษ 53-1 ความจริงเกี่ยวกับเวยเวย
สาเหตุที่ยอดเซียนยอมให้เฉียวเวยเวยอยู่ต่อไม่ใช่เพราะถูกของขวัญของเฉียวเวยเวยซื้อใจ ความจริงแล้วการที่เฉียวเวยเวยขโมยสมบัติส่วนตัวของเทพธิดาปี้สยามาเสียมากมายเช่นนั้นทำให้ยอดเซียนโกรธมากจนอยากจะหิ้วสาวน้อยคนนี้ขึ้นมาตีก้นสักยก
แต่เพราะเฉียวเวยเวยบอกเขาว่า “เทพธิดาปี้สยาบอกว่าคืนนี้จะแวะมาหาข้ากับเสี่ยวซิวด้วย”
ยอดเซียน “…”
ชิงสุ่ยเจินเหรินรู้สึกว่าวันนี้ศิษย์พี่ไม่ปกติเท่าใดนัก ต่อให้ไม่พูดถึงชาติกำเนิดของเวยเวย ปกติศิษย์พี่ก็เกลียดเด็กๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ศิษย์พี่เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่ก่อนที่เขากับชิงหลวนจะรู้จักกันแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุไฉนจู่ๆ จึงเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเวยเวย
“หลานสาวตัวน้อย นี่คือเนื้อห่านเซียน ส่วนนี่คือเนื้อปลาเหินหาว นี่คือสมุนไพรเซียนเทพ ส่วนนี่…” ยอดเซียนคีบอาหารใส่ในชามของเฉียวเวยเวยจนกลายเป็นเนินเขาลูกน้อยๆ
ชิงสุ่ยเจินเหรินคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งให้จีเสี่ยวซิวบ้าง หลังจากนั้นจึงเอ่ยกับยอดเซียนว่า “ศิษย์พี่ หนนี้ข้าพาเวยเวยมาเพราะอยากจะ…”
“เจ้าอยากจะถามว่าเหตุใดเด็กคนนี้จึงไม่โตเช่นนั้นสินะ” ยอดเซียนเอ่ยขัดเขา แล้วคีบเนื้อให้เฉียวเวยเอีกหน
ชิงสุ่ยเจินเหรินตะลึงเล็กน้อย “ศิษย์พี่รู้หรือขอรับ”
ยอดเซียนแค่นเสียงหยันตอบว่า “ยอดเซียนผู้นี้เก่งกาจเรื่องคำนวนโชคชะตาเป็นเลิศ มีเรื่องใดมิรู้บ้าง”
ชิงสุ่ยเจินเหรินเอ่ยตอบว่า “ข้าลืมเสียสนิทว่าศิษย์พี่มีไม้พันหงสาอยู่
ไม้พันหงสาเป็นอาวุธเซียนประจำกายของยอดเซียน ขอเพียงยอดเซียนปรารถนา เรื่องราวในหกดินแดนเขาล้วนล่วงรู้ได้หมดสิ้น
แน่นอนว่ายอดเซียนไม่มีเวลาว่างมากมายถึงเพียงนั้น สาเหตุที่เขารู้เรื่องของเฉียวเวยเวยเป็นเพราะรองหัวหน้าสหพันธ์กับชิงสุ่ยเจินเหรินทะเลาะกันใหญ่โต จนรองหัวหน้าสหพันธ์กลายเป็นเรื่องตลกของทั้งหกดินแดน ส่วน ‘เจ้าปลาอ้วน’ ฉินเซวียนตัวนั้นก็มีชื่อเสียงเหม็นโฉ่ไปทั่วหกดินแดนด้วย
ฉินเซวียนเกิดมาเวลาใกล้เคียงกับเฉียวเวยเวย ในเมื่อฉินเซวียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เฉียวเวยเวยกลับยังตัวเท่าซาลาเปา คิดดูก็รู้ว่าชิงสุ่ยเจินเหรินจะร้อนใจมากเพียงใด
จีเสี่ยวซิวพุ้ยอาหารเข้าปากอย่างไม่เผยพิรุธ
ไม้พันหงสาอยู่ในมือของตาเฒ่าคนนี้จริงๆ!
ชิงสุ่ยเจินเหรินเอ่ยต่อ “เวยเวยตัวโตขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ก็กลับมาตัวเล็กเหมือนเดิม ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงมาหาศิษย์พี่เพื่อขอคำชี้แนะ”
“จะเพราะสาเหตุใดได้เล่า ก็เพราะว่า…” ยอดเซียนยังเอ่ยไม่ทันจบ นอกประตูใหญ่ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
จีเสี่ยวซิวเบิกตาโต “เอ๋ เทพธิดาปี้สยามาแล้วหรือ”
ยอดเซียนรีบวางตะเกียบ!
เขายกมือขึ้นวาดสัญลักษณ์ใช้คาถาโฉมฉายแห่งแดนเซียน เสกให้ตนเองรูปงามตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าตาไม่เพียงอ่อนเยาว์ลงสิบปี แต่ผิวยังเอิบอิ่มกระจ่างใส เครื่องหน้าหล่อเหลาคมคาย แถมยังส่งกลิ่นหอมฟุ้ง แผ่รัศมีสว่างไสว ไอเซียนลอยละล่องทำหน้าที่พิเศษคอยเป็นสายลมโชยพัด
ผลปรากฏว่าผู้ที่มาเยือนคือฉางหลีซั่งเซียน
ยอดเซียน “…”
ฉางหลีซั่งเซียนย่างเท้าแช่มช้าเข้ามาด้านใน กายาห่มอาภรณ์สีขาว สง่างามดุจวาโยโชยพัดใต้แสงจันทรา เป็นยอดบุรุษงามดั่งหยก รูปลักษณ์เป็นเอกในใต้หล้า
เฉียวเวยเวยมองบุรุษที่ก้าวเข้ามาตาไม่กะพริบ
จีเสี่ยวซิวแค่นเสียงออกมาทางจมูก แล้วคว้าน่องไก่ชิ้นหนึ่งยัดเข้าไปในปากของนาง “กินข้าวสิ!”
ฉางหลีซั่งเซียนทักทายยอดเซียนกับชิงสุ่ยเจินเหริน “อาจารย์ อาจารย์อา”
หลังจากนั้นเขาก็มองเห็นเด็กน้อยสองคนที่นั่งอยู่ “พวกเขาคือ…”
ชิงสุ่ยเจินเหรินตอบว่า “เวยเวย ลูกสาวของข้าเอง”
ฉางหลีซั่งเซียนพยักหน้าเบาๆ “ที่แท้ก็ศิษย์น้องเล็กนี่เอง”
เขากล่าวจบก็หันไปมองจีเสี่ยวซิวที่อยู่ด้านข้าง
จีเสี่ยวซิวเสตามองฟ้าไม่สนใจเขา
ชิงสุ่ยเจินเหรินตอบว่า “ส่วนคนนี้คือลูกศิษย์ของสำนักเชียนหลัน สมัยเวยเวยอยู่ในแดนล่าง นางอาศัยอยู่ที่สำนักเชียนหลัน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” สายตาของฉางหลีซั่งเซียนกวาดผ่านบนร่างจีเสี่ยวซิวรอบหนึ่ง เขาบอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกตะหงิดๆ ว่าเด็กน้อยคนนี้มีบางสิ่งแปลกพิกล แต่จะให้บอกว่าแปลกตรงที่ใด เขาก็บอกไม่ถูก
“ฉางหลีมีธุระอันใดหรือ” ชิงสุ่ยเจินเหรินถาม
ฉางหลีซั่งเซียนลังเลครู่หนึ่งก็หันไปมองยอดเซียน ยอดเซียนจิบชาสีหน้านิ่งสงบ เห็นชัดว่าไม่มีเจตนาจะสั่งให้คนอื่นหลบออกไป ฉางหลีซั่งเซียนจึงกระแอมแล้วบอกตามตรงว่า “มี…เรื่องหนึ่งเกิดขึ้น”
เรื่องที่ไม่น่าภาคภูมิใจเท่าไรนัก
ชิงสุ่ยเจินเหรินยุ่งอยู่กับการเก็บตัวฝึกตน พอเลิกเก็บตัวก็ลงไปยังแดนล่าง จึงไม่รู้ว่าแดนเซียนมี ‘ตำราประโลมโลก’ เล่มหนึ่งกำลังแพร่หลายอยู่ ต้นตอของมันมาจากเซียนน้อยตนใดมิอาจสืบทราบได้ แต่สรุปก็คือตอนที่ฉางหลีซั่งเซียนรู้เรื่อง มันก็แพร่หลายไปเกือบจะทั่วแดนเซียนแล้ว
ตำราเล่มนั้นเป็นตำราภาพกามรมณ์ที่มีนามว่า ‘บันทึกท่านเซียนล่าโฉมงาม’ ด้านในเต็มไปด้วยภาพที่มิอาจบรรยายได้สารพัดท่า ตัวเอกชายรูปงามผิวขาวผ่อง หัวไหล่กว้างเอวสอบท่อนขาแข็งแกร่ง รูปร่างงดงามชวนให้ผู้คนกรีดร้อง แต่เขาดันสวมหน้ากากชิ้นหนึ่งไว้ ทำให้คนมองเห็นใบหน้าเต็มๆ ของเขาไม่ชัด แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้นกลับยิ่งทำให้คนจินตนาการโลดแล่น
เซียนทั้งหลายต่างพากันคาดเดาว่าท่านเซียนในรูปนี้คือผู้ใด
ฉางหลีซั่งเซียนบังเอิญไปเห็นตำราเล่มนี้บนโต๊ะของศิษย์ตัวน้อยตนหนึ่ง ผู้อื่นมองไม่ออกว่าบุรุษในภาพเป็นผู้ใด แต่เขาเห็นครั้งเดียวก็รู้ทันที ปานบนหน้าอกนั่น ไฝตรงต้นขานั่น แล้วยังสัดส่วนอันน่าตกตะลึงของคนผู้นั้นอีก นั่นไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นผู้ใด!
หนังสือลามกเล่มนี้วาดรูปเขา!
ก็ไม่รู้ว่าเจ้าสารเลวตัวไหนเป็นคนทำ ตอนนี้ทั่วทั้งแดนเซียนเห็นเขาเปลือยกันหมดแล้ว
“ฮัดเช้ย!” จีเสี่ยวซิวที่กำลังทานอาหารอยู่ จู่ๆ ก็จามออกมาเบาๆ
สรุปก็คือฉางหลีซั่งเซียนโกรธจนแทบวางวาย เขาอ้างเหตุผลว่าต้องขจัดกิเลสให้ใจสะอาดเผาหนังสือภาพอุจาดตาเหล่านี้จนเหี้ยน
แต่ได้ยินมาว่าตกหล่นไปเล่มหนึ่ง
ฉางหลีซั่งเซียนทำใจกล้าเอ่ยขึ้นมาว่า “เหลือแต่ตำหนักปี้สยาที่ศิษย์ยังมิได้ค้น ขอท่านอาจารย์อนุญาตให้ศิษย์ค้นตำหนักปี้สยาด้วย”
ยอดเซียนตบโต๊ะลุกพรวดขึ้นมา “เจ้ากำแหงนักนะ! ตำหนักปี้สยาใช่สถานที่ที่เจ้าจะค้นได้หรือ”
เฉียวเวยเวยมองยอดเซียน แล้วก็หันไปมองกงซุนฉางหลี จากนั้นก็ตบโต๊ะบ้าง นางพูดด้วยท่าทางราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย “เจ้ากำแหงนักนะ! ตำหนักปี้สยาใช่สถานที่ที่เจ้าจะค้นได้หรือ”
ฉางหลีซั่งเซียน “…”
ชิงสุ่ยเจินเหริน “…”
ในที่สุดฉางหลีซั่งเซียนก็ไม่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์ เขาจึงจากไปอย่างฮึดฮัด
ทานอาหารเสร็จแล้ว ยอดเซียนจึงกลับไปที่ตำหนักบรรทมของตนเองแล้วล้วงตำรา ‘ท่านเซียนล่าโฉมงาม’ เล่มหนึ่งออกมาจากใต้หมอน “ต้องร่ำเรียนกระบวนท่าไว้สักสองสามท่า วันหน้าจะได้ฝึกบำเพ็ญคู่กับเทพธิดาปี้สยา…”