หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 60-1 ความจริงของเจ้าตำหนัก ในที่สุดก็โตแล้ว4
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 60-1 ความจริงของเจ้าตำหนัก ในที่สุดก็โตแล้ว4
ตอนพิเศษ 60-1 ความจริงของเจ้าตำหนัก ในที่สุดก็โตแล้ว4
ชิงสุ่ยเจินเหรินได้ยินคำนี้ก็ชะงักกึกทันที
นางพรายมองเขาอย่างเย้ายวน “เป็นอันใดไปหรือ สามี”
จู่ๆ แววตาเหม่อลอยของชิงสุ่ยเจินเหรินก็เริ่มกลับมาใสกระจ่างอีกครั้ง “เจ้าไม่ใช่ชิงหลวน!”
ครานี้นางพรายเป็นฝ่ายตกตะลึงแล้ว
วิชายั่วสวาทของนางเกิดข้อผิดพลาดอะไรหรือ ไม่มีทางเป็นไปได้
นางเห็นภาพมายาในใจเขา นางแน่ใจว่าตนเองยังมีหน้าตาเป็นท่านจอมมารในสายตาของเขาอยู่ นางพรายคลี่ยิ้ม “สามี ข้าคือชิงหลวนอย่างไรเล่า ท่านลืมตามองให้ชัดสิ ข้าคือชิงหลวนจริงๆ”
“เจ้าไม่ใช่!” ชิงสุ่ยเจินเหรินลงจากเตียงอย่างรังเกียจ เขาขยับไปยืนห่างนางพรายเจ็ดแปดฉื่อ “ชิงหลวนไม่มีทางพูดกับข้าเช่นนี้ นางไม่เคย…”
“ไม่เคยอะไรหรือ” นางพรายถามเสียงหวานหยด
ชิงสุ่ยเจินเหรินหน้แดงก่ำ ไม่ปรารถนาจะถกเรื่องราวความสุขในห้องหอระหว่างตนเองกับชิงหลวนให้สตรีจิตใจผิดปกตินางนี้ฟัง เขาขยับมือใช้คาถา ดวงแสงสีเดียวกับน้ำแข็งผุดขึ้นบนปลายนิ้ว
เมื่อดวงแสงนี้สาดแสงออกไป เรือนหรูหราวิจิตรงดงามก็ค่อยๆ เผยโฉมหน้าดั้งเดิมของมัน มันกลายเป็นบึงน้ำในหุบเขา สองฟากฝั่งมีพืชน้ำงอกรก เตียงใหญ่ที่แต่เดิมนุ่มนิ่มกลายเป็นหลุมดินสภาพเละเทะไม่น่าดูหลุมหนึ่ง โต๊ะหินกับม้านั่งหินก็หายไปแล้ว เหลือแต่ท่อนไม้ขึ้นรา
ร่างเดิมของพรายสาวเองก็ปรากฏในสายตาของชิงสุ่ยเจินเหรินเช่นกัน
นางเป็นภูตผี ตามหลักแล้วแม้แต่เซียนก็ไม่แน่ว่าจะมองเห็นนาง แต่ชิงสุ่ยเจินเหรินถือกำเนิดมาจากปราณเซียนอันบริสุทธิ์ที่สุดบนภูเขาหิมะเซียน เขาหลอมรวมเป็นหนึ่งกับพลังปราณในฟ้าดินได้ หลังจากเขาหลอมพลังปราณในแดนปีศาจเข้ากับตนเอง เขาจึงมองเห็นร่างจริงของนางพราย
มันเป็นสัตว์ประหลาดเขี้ยวโง้งใบหน้าสีเขียวตนหนึ่ง!
เมื่อคิดว่าสัตว์ประหลาดตนนี้บังอาจมาใช้รูปลักษณ์ของชิงหลวน หัวใจของชิงสุ่ยเจินเหรินก็เกิดความรังเกียจและสะอิดสะเอียนอย่างรุนแรง “กล้าบังอาจมาใช้รูปลักษณ์ของชิงหลวน…”
นางพรายทราบว่าตนเองถูกเปิดโปงแล้ว มันไม่คิดจะเสแสร้งต่อ มันเลิกทำหน้าประจบเอาใจ แล้วหัวเราะหยันออกมาทันใด “นับแต่โบราณจนปัจจุบันผู้ที่มองทะลุอาคมของข้าได้ มีเจ้าเป็นคนแรก ข้าชื่นชมเจ้ายิ่งนัก มิสู้เจ้ามาอยู่ที่นี่เป็นสามีในรังของข้าเป็นอย่างไร”
ชิงสุ่ยเจินเหรินแววตาเย็นชา “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่!”
นางพรายกางกรงเล็บแหลม แสยะเขี้ยวกระโจนเข้าใส่ชิงสุ่ยเจินเหริน
ในเมื่อชิงสุ่ยเจินเหรินมองทะลุการจำแลงกายของนางแล้ว เขาย่อมไม่ถูกเล่นงานง่ายๆ เช่นนั้นอีก เพียงเขาขยับปลายนิ้ว ดวงแสงสีน้ำแข็งก็โจมตีใส่ภูตพรายที่กระโจนเข้ามาหา
นางพรายไม่ทันหลบถูกดวงแสงพุ่งชนอย่างจัง นางพรายคิดจะชนมันให้แหลก แต่คิดไม่ถึงว่าตัวมันกลับเป็นฝ่ายถูกดวงแสงชนจนร่างกระจัดกระจายแทน
จิตตั้งต้นของนางพรายกลายเป็นดวงแสงวิญญาณลอยเต็มฟ้าภายในชั่วพริบตา มันรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชิงสุ่ยเจินเหรินจึงตั้งใจจะหนีทันที แต่จู่ๆ กลางท้องฟ้ากลับมีดอกบัวน้ำแข็งน้อยดอกหนึ่งเหาะมา
ไม่ทันให้นางพรายตอบสนองทันว่าเกิดอะไรขึ้น ดอกบัวน้ำแข็งน้อยก็คลี่กลีบดอกฮุบดวงแสงวิญญาณของนางเข้าไปในคำเดียว!
“เวยเวย!” ชิงสุ่ยเจินเหรินประคองดอกบัวน้ำแข็งน้อยที่ร่วงลงมาไว้กลางฝ่ามือ
หลังจากกินจิตตั้งต้นของภูตพรายติดกันสี่ตน ต่อด้วยการกินอสรพิษวิญญาณอีกนับร้อยในแม่น้ำลืมเลือน ในที่สุดบัวน้ำแข็งน้อยก็เรอออกมา
เด็กสาวรากปราณสวรรค์กับหลิงจือเร่งรีบติดตามมาด้านหลัง หลิงจือสะพายตะกร้าน้อยไว้บนหลัง นางถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ท่านเซียน ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
ชิงสุ่ยเจินเหรินพยักหน้านิดๆ “ข้าไม่เป็นอันใด”
หลังจากนางพรายตาย เขาวงกตที่นางสร้างไว้ก็เสื่อมฤทธิ์ ผู้พิทักษ์ใหญ่กับผู้พิทักษ์รองขี่กระบี่พุ่งมาทางนี้ เมื่อเห็นทุกคนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน พวกนางก็คลายกังวลแล้วพรูหายใจยาวอย่างโล่งอก
ผู้พิทักษ์ใหญ่กับผู้พิทักษ์รองไม่มีความยึดติดประการใด นางพรายจึงสะกดพวกนางไม่สำเร็จ นางจึงหันไปใช้เขาวงกตขังทั้งสองคนเอาไว้แทน เขาวงกตแห่งนั้นแม้จะไม่มีกับดักอันตรายถึงชีวิตแต่มันจะค่อยๆ ดูดพลังของทั้งสองคนไป โชคดีที่นางพรายถูกกำจัดทันเวลา มิเช่นนั้นทั้งสองคนคงจะพลังลดลงไปขั้นหนึ่งเป็นแน่
“ช่างเป็นภูตพรายที่แข็งแกร่งนักเชียว!” ผู้พิทักษ์ใหญ่เหงื่อกาฬผุดพรายเพราะนึกหวาดกลัวย้อนหลัง นางมองทุกคนแล้วถามว่า “พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ หลิงเอ๋อร์ ข้าสั่งให้เจ้าพาพวกเสี่ยวซิวหนีไปไม่ใช่หรือ ย้อนกลับมาได้อย่างไร”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์อยากจะพูดบางอย่างแต่แล้วก็หยุดไป
หลิงจือเอ่ยขึ้นมาแทนว่า “ข้าลากนางมาด้วยกันเองเจ้าค่ะ เมื่อครู่พวกเราตามไปจนถึงถ้ำของพวกภูตพราย…”
ผู้พิทักษ์รองขมวดคิ้วอย่างโมโหโทโส “พวกเจ้าตามไปเจอถ้ำของพวกภูตพรายแล้วหรือ ฝูงตัวน่ารังเกียจนั่น วันนี้ข้าจะถล่มรังของพวกมันให้จงได้!”
ชิงสุ่ยเจินเหรินแผ่จิตสัมผัสออกไป “ไม่ต้องแล้ว ภูตพรายถูกกำจัดแล้ว”
ผู้พิทักษ์รองตกตะลึง
หลิงจือจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำอย่างสั้นกระชับให้ฟังรอบหนึ่ง นางตัดเรื่องที่เด็กสาวรากปราณสวรรค์เกือบจะถูกข่มเหงออกไป ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามพูดเรื่องเช่นนี้หญิงสาวทั้งหลายมักจะเค้นเรื่องราวออกมาจากปากได้ยากนัก นางเพียงเล่าว่าเด็กสาวรากปราณสวรรค์ถูกภูตพรายลักพาตัวไป ตอนที่นางตามไปพบ ภูตพรายก็ถูกดอกบัวน้ำแข็งน้อยกินไปแล้ว ดอกบัวน้ำแข็งน้อยตามหาเสี่ยวซิวจนเจอ หลังจากนั้นนางกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็ตามออกมาจากถ้ำ
ชิงสุ่ยเจินเหรินเห็นบุตรสาวเขมือบจิตตั้งต้นของนางพรายตนนั้นเองกับตา เขาจึงไม่คลางแคลงคำพูดของหลิงจือ ไม่นานเขาก็พบว่าสีโลหิตของดอกบัวน้ำแข็งน้อยจางลงไปค่อนครึ่งแล้ว นี่บ่งบอกว่าเพิ่งแยกจากกันเพียงครู่เดียว แต่ดอกบัวน้ำแข็งน้อยกลับดูดซับโลหิตเฟิ่งหวงสำเร็จไปประมาณหนึ่งแล้ว
ชิงสุ่ยเจินเหรินพึมพำ “ดูท่า ภูตพรายจะเป็นยาบำรุงชั้นดี”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ครุ่นคิด “ภูตพรายมีร่างเป็นวิญญาณ ช่วยบำรุงจิตตั้งต้น เวยเวยต้องทำให้จิตตั้งต้นแข็งแกร่งจึงจะดูดซับโลหิตเฟิ่งหวงของยอดเซียนได้ดีขึ้นอย่างนั้นใช่หรือไม่”
ชิงสุ่ยเจินเหรินพยักหน้า “เกรงว่าคงจะเป็นเช่นนั้น”
“พวกเจ้าพบภูตพรายน้อยในรังของพวกมันบ้างหรือไม่” ชิงสุ่ยเจินเหรินถาม
เด็กสาวรากปราณสวรรค์หยิบขวดเฉียนคุนออกมา “อยู่ในนี้แล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าปล่อยภูตพรายน้อยตัวหนึ่งออกมา แล้วตามมันมาถึงที่แห่งนี้ แต่เมื่อครู่ข้าเก็บมันกลับไปแล้ว ท่านเซียนต้อนการภูตพรายน้อยหรือไม่”
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่ประหลาดใจที่เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองเห็นและจับภูตพรายน้อยได้ ผู้พิทักษ์ทั้งสองก็ดูนิ่งสงบอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินเรื่องนี้ สิ่งนี้ทำให้หลิงจือจับต้นชนปลายไม่ถูก ฉินหลิงเอ๋อร์มองเห็นภูตพรายเชียวนะ คนพวกนี้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักนิดเลยหรือไร
หรือว่าตนเองจะระดับการฝึกตนต่ำเกินไปจริงๆ หากฝึกตนให้พลังสูงมากกว่านี้ ผู้ฝึกตนทุกคนก็จะมองเห็นภูตพรายเช่นนั้นหรือ
ชิงสุ่ยเจินเหรินพยักหน้า เหตุผลหลักๆ ที่เขาต้องการภูตพรายน้อยก็เพื่อบำรุงจิตตั้งต้นให้เวยเวย แม้ภูตพรายน้อยจะเป็นของบำรุงที่ดีสู้ภูตพรายโตเต็มวัยไม่ได้แต่ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง
ไม่ว่าอย่างไรภูตพรายน้อยก็เป็นสิ่งที่เด็กสาวรากปราณสวรรค์จับมาได้ เขาจึงไม่สะดวกจะขอสิ่งของของผู้อื่นมาเปล่าๆ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงใช้อาวุธเซียนที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่งแลกกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์
คิดไม่ถึงว่าตอนเอาภูตพรายน้อยที่เขาอุตส่าห์ใช้อาวุธเซียนแลกมาป้อนให้ดอกบัวน้ำแข็งน้อย ดอกบัวน้ำแข็งน้อยกลับรังเกียจและไม่ยอมกิน
หลังจากได้กินอสรพิษวิญญาณ ‘ตัวอวบอ้วนเนื้อแน่นฉ่ำ’ แม้แต่รสชาติของภูตพรายเต็มวัยก็ยังย่ำแย่จนต้องฝืนทนกิน นับประสาอะไรกับภูตพรายน้อยที่ไม่มีพลังจากการฝึกตนสักนิดเหล่านี้
กินพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับการกัดใบผักเน่าๆ
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยใช้ใบบัวปิดดอกตูมน้อยๆ ของตนเองไว้อย่างมิดชิด
ไม่กิน ไม่กิน ไม่กิน!
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่เข้าใจ “เอ๋ เหตุไฉนจึงไม่กินเล่า”
จีเสี่ยวซิวมุมปากกระตุก เขาเลี้ยงมังกรน้อยตัวนี้จนนิสัยเสียเลือกกินไปแล้วสินะ
…
ในเมื่อแก้ปัญหาเรื่องภูตพรายแล้ว พวกเขาก็สมควรออกเดินทางกันใหม่อีกหน หลังจากนั้นพวกเขาพบผู้ฝึกตนปีศาจอีกจำนวนหนึ่ง แต่พวกมันร้ายกาจสู้ภูตพรายไม่ได้ คณะเดินทางจึงกลับมาถึงสำนักเชียนหลันอย่างปลอดภัย
เจ้าสำนักสวี่ ประมุขเหลยและลู่หยวนเจิ่นสัมผัสกลิ่นอายของชิงสุ่ยเจินเหรินได้จึงลงมารอที่ตีนเขาล่วงหน้า พวกเขามองเห็นหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ที่อายุมากขึ้นสามสี่ปีเป็นสิ่งแรก
ตอนเดินทางออกไปจากสำนักพวกนางสองคนเป็นสาวน้อยอายุสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น เหตุใดเวลาผ่านไปเดือนเดียวจึงกลายเป็นแม่นางอายุสิบหกสิบเจ็ดปีแล้วเล่า
ตัวยืดสูงขึ้นมากเชียว!
เมื่อสำรวจดูพลังของพวกนางทั้งสองคนก็พบว่าพวกนางประ สาน เม็ด ตันแล้ว!
เจ้าสำนักสวี่ “นี่…หนึ่งเดือนนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่…”
หลังจากนั้นทุกคนก็พบว่าเฉียวเวยเวยหายไป เมื่อจีเสี่ยวซิวอุ้มดอกบัวน้ำแข็งน้อยในอ่างเดินมาตรงหน้าทุกคน พวกเขาล้วนไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง!
เป็นมังกรตัวเดียวยังไม่พอ นางยังเป็นดอกบัวดอกหนึ่งด้วยหรือ!
โลกใบนี้บ้าไปแล้ว!
ชิงสุ่ยเจินเหรินทิ้งคนทั้งสามที่ยังอึ้งตะลึงงันไม่หายเอาไว้ แล้วพาเด็กน้อยทั้งสองกลับไปที่พัก
กำไรครั้งใหญ่จากการเดินทางไปแดนปีศาจหนนี้ก็คือการที่เวยเวยไม่ร้องหาหลิงจือทุกคืนอีกต่อไป แต่นางก็ไม่ร้องหาชิงสุ่ยเจินเหรินเหมือนกัน ดังนั้น…ความจริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอะไรนัก
หลังจากนั้นชิงสุ่ยเจินเหรินก็ออกเดินทางไปเยือนเผ่ามาร ในเมื่อยามนี้เขาแน่ใจแล้วว่าชิงหลวนเดินทางไปแดนเทพ ถ้าเช่นนั้นเขาก็ต้องขบคิดเรื่องการเปิดทางเชื่อมสู่แดนเทพ แม้ว่าเรื่องนี้จะฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรเพื่อชิงหลวน เขาก็ต้องลองดูสักตั้ง
…
ณ สำนักผู้อาวุโสของเผ่ามาร
ผู้อาวุโสใหญ่กับชิงสุ่ยเจินเหรินนั่งอยู่บนพื้น
หลังจากฟังเรื่องเล่าของชิงสุ่ยเจินเหรินจบ ผู้อาวุโสใหญ่ก็เบิกตาโตอย่างตกตะลึง “ท่านจะบอกว่า…จอมมาร นางสำเร็จวิชา เดินทางไปแดนเทพแล้วหรือ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ทางเชื่อมสู่แดนเทพถูกปิดตายไปแล้ว นางไม่มีทางบรรลุวิชาขึ้นไปยังดินแดนแห่งนั้นได้”
ชิงสุ่ยเจินเหรินถามว่า “หากนางไม่ได้ขึ้นไป ถ้าเช่นนั้นนางไปที่ใดเล่า”
ผู้อาวุโสใหญ่ลังเล “นางอาจจะถูกมหาอัสนีวิบาก…ผ่าจนดับสูญไปแล้ว”
ชิงสุ่ยเจินเหรินหยิบเกล็ดมังกรเกล็ดหนึ่งออกมา “นี่คือเกล็ดมังกรของชิงหลวน ในอดีตนางเผชิญมหาอัสนีวิบากจนเกล็ดมังกรเกล็ดหนึ่งของนางหลุดร่วงลงมาที่แดนปีศาจ”
ผู้อาวุโสใหญ่รับเกล็ดมังกรมา บนนั้นมีกลิ่นอายของจอมมารจริงๆ ผู้อาวุโสใหญ่แววตาชะงักวูบหนึ่ง “ท่านอยากจะบอกอะไร”
ชิงสุ่ยเจินเหรินเอ่ยว่า “ข้าอยากบอกว่า…กายเนื้อของชิงหลวนไม่ได้ถูกมหาอัสนีวิบากทำลาย นางทนผ่านมหาอัสนีวิบากมาได้และขึ้นไปยังแดนเทพแล้ว…”
“แต่ทางเชื่อม…” ผู้อาวุโสใหญ่เค้นทุกเสี้ยวสมองแล้ว แต่เขาก็ยังคิดว่าในเมื่อทางเชื่อมปิดตายไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมไม่มีหนทางเข้าไปในแดนเทพ