หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 65-2 ก่อกายหยาบใหม่
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 65-2 ก่อกายหยาบใหม่
ตอนพิเศษ 65-2 ก่อกายหยาบใหม่
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านซาลาเปาเข้ามาต้อนรับทั้งสองแล้วพาไปนั่งอย่างกระตือรือร้น
เฉียวเวยเวยชอบความครึกครื้น เลือกตำแหน่งที่อยู่ตรงกลาง รอบด้านเต็มไปด้วยแขกคนอื่น บุรุษรูปงามกับสตรีเลอโฉมดึงดูดสายตาผู้คนได้อย่างรวดเร็ว
แต่ไอจากตัวใต้เท้าเจ้าตำหนักบอกว่าไม่ควรมีเรื่องด้วย ทุกคนจึงเพียงแค่มองแต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น
“ท่านทั้งสองรับอะไรดีขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ส่งยิ้มพลางถาม
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเหลือบมองเฉียวเวยเวยแล้วบอกว่า “ร้านพวกเจ้ามีอะไรบ้าง ยกมาให้หมดเถิด”
เสี่ยวเอ้อร์ตอบรับด้วยความยินดี “ขอรับ!”
ที่นี่ถึงแม้จะเป็นร้านซาลาเปาแต่กลับไม่ได้ขายแค่ซาลาเปาเพียงอย่างเดียว ยังมีขายอาหารขึ้นชื่อจำนวนหนึ่งด้วย หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ เสี่ยวเอ้อร์ก็ยกขาหมูตุ๋นพะโล้เนื้อนุ่มฉ่ำ ยำหน่อไม้ฝรั่งสดกรอบ ถั่วคั่ว พร้อมกับซาลาเปาไส้น้ำแกงส่งกลิ่นหอมฉุยสามเข่งมาให้ มีไส้ไข่ปู ไส้กุ้งและไส้เยื่อไผ่
เฉียวเวยเวยสูดน้ำแกงในซาลาเปาเข้าไป ร้อนลวกปากจนนางต้องแลบลิ้นออกมา!
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเอาซีอิ้ว น้ำส้มสายชูผสมกับขิงซอยยื่นไปตรงหน้านาง
เฉียวเวยเวยดูดน้ำแกงจนหมด กุ้งก็กินลงไปแล้ว จึงเทน้ำจิ้มกับขิงซอยลงปากตามไปเสียเลย!
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
“อร่อยไหม” ใต้เท้าเจ้าตำหนักถาม
เฉียวเวยเวยปากไม่ว่างสักนิด “อื้มๆ”
หลังจากกินซาลาเปาหมดไปสามเข่ง เฉียวเวยเวยก็กินขาหมูพะโล้กับหน่อไม้ฝรั่งบนโต๊ะจนหมด แต่นางไม่ชอบกินถั่ว
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเห็นว่านางกินไปพอประมาณแล้ว กำลังจะพานางออกจากร้าน ในตอนนั้นเสี่ยวเอ้อร์ที่ก้มหน้างุดก็ยกน้ำแกงถั่วเขียวเดินเข้ามา
เขาใช้คาถาแปลงโฉม แต่ใต้เท้าเจ้าตำหนักมองปราดเดียวก็จำเขาได้แล้ว
ผู้พิพากษาชุยก็รู้ว่าอีกฝ่ายจำตนได้ แต่ใต้เท้าจำได้ไม่เป็นไร เจ้ามังกรนี้อย่าจำได้เป็นพอ
เขาส่งสายตาให้ใต้เท้าของตน
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยกับเฉียวเวยเวยด้วยเหมือนไม่มีอะไรว่า “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูว่ามีอย่างอื่นอีกหรือไม่”
เฉียวเวยเวยพยักหน้า
ใต้เท้าเจ้าตำหนักปรายตาดุๆ มองผู้พิพากษาชุยทีหนึ่งก่อนจะลุกเดินไปทางลานด้านหลัง
ผู้พิพากษาชุยยกถั่วเขียวต้มน้ำตาลตามไป ที่นี่ถึงแม้โดยรอบจะไม่มีคนอื่น แต่เขาก็ยังกังวลว่ามังกรน้อยจะได้ยิน จึงกระซิบบอกว่า “ใต้เท้า!”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักถามเสียงเย็น “เจ้ามาทำอะไร”
“ข้ากังวลว่าใต้เท้าจะทำใจลงมือไม่ได้ จึงตั้งใจมาเป็นทัพเสริมให้อย่างไรเล่า!” ผู้พิพากษาชุยพูดพลางยกน้ำแกงในมือขึ้น “ในนี้ใส่ยานอนหลับของท่านยายเมิ่งไว้ ไม่มีสีไม่มีกลิ่น รับประกันได้ว่าไม่มีทางรู้แน่นอน กินเข้าไปแล้วนางจะหลับใหล ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด และจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้”
สายตาใต้เท้าเจ้าตำหนักดูดุดัน “เจ้าช่างรอบคอบจริงนะ!”
ผู้พิพากษาชุยพูดตามไป “การได้แบ่งเบาให้ใต้เท้าเป็นหน้าที่ของข้า! ใต้เท้า น้ำแกงนี้หากเย็นเสียจะไม่ออกฤทธิ์ รีบให้นางกินลงไปเถิด!”
นัยน์ตาเจ้าตำหนักมีแววซับซ้อน หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งก็รับชามน้ำแกงนั้นไป
“ยังมีอะไรให้กินอีกหรือไม่” เฉียวเวยเวยพอเห็นเขากลับมาก็ทำตาปริบๆ ขณะเอ่ยถาม
ใต้เท้าเจ้าตำหนักนั่งลงเงียบๆ แล้วยื่นน้ำแกงในมือให้นาง “เหลือแค่อันนี้แล้ว”
เฉียวเวยเวยสูดน้ำลาย ยกชามน้ำแกงขึ้นดื่มอักๆ ลงไป
ใต้เท้าเจ้าตำหนักทำท่าจะเอ่ยบางอย่าง แต่เพียงพริบตาก็เห็นก้นชามน้ำแกงเสียแล้ว
เฉียวเวยเวยลูบท้องที่กลมดิกพลางส่งเสียงเรอเบาๆ
ระหว่างทางกลับยาเริ่มออกฤทธิ์ หนังตาเฉียวเวยเวยหนักอึ้ง ขาก็เริ่มหนักจนเดินต่อไม่ไหว
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเรียกกิเลนไฟมาแล้วอุ้มนางขึ้นราชรถ
ผู้พิพากษาชุยถอยออกไปอย่างรู้งาน แต่ก่อนถอยออกไปเขาเตรียมของที่จำเป็นเอาไว้ให้พร้อมแล้ว กริชสำหรับกรีดหน้าอก เครื่องกระเบื้องที่เอาไว้เก็บโลหิตแห่งชีวิต ภาชนะลงอาคมที่เอาไว้บดบังไอมังกรและปราณเซียน กระทั่งยาห้ามเลือดก็เตรียมไว้ให้พร้อม
ใต้เท้าเจ้าตำหนักมองกริชที่ส่องประกายคมกริบบนโต๊ะ สายตาชะงักเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นคลายสาบเสื้อของเฉียวเวยเวย
เฉียวเวยเวยมองเขาอย่างสลึมสลือ ไม่รู้ว่าสติกระจ่างชัดหรือว่าเริ่มพูดเพ้อ “เจ้าจะไปแล้วหรือ”
ลูกกระเดือกของใต้เท้าเจ้าตำหนักขยับขึ้นลง “อื้ม จะไปแล้ว”
“เจ้าจะไปไหน” เฉียวเวยเวยถาม
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ได้ตอบ
“ยังจะกลับมารึไม่” เฉียวเวยเวยนิ่งมองหน้าเขา
อยู่ๆ เขาก็ไม่กล้าสบตานางตรงๆ
“ไม่กลับมาแล้ว” เขาตอบ
“อ้อ” เฉียวเวยเวยสงบนิ่งมาก หลังจากเงียบไปช่วงสั้นๆ อยู่ๆ นางตานางก็ปิดลงแล้วหลับไป
ใต้เท้าเจ้าตำหนักแกะตู้โตวนางออก คว้ากริชบนโต๊ะ เล็งตรงไปตรงหน้าอกของนางแล้วกรีดลงไปช้าๆ…
…
ผู้พิพากษาชุยเดินไปเดินมาอยู่ในลานด้วยความร้อนรน เขาอยากรู้ยิ่งนักว่าใต้เท้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว จะมาใจอ่อนเอาตอนสุดท้ายหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นความพยายามของเขาก่อนหน้านี้ก็คงสูญเปล่าแล้ว
ในขณะที่กำลังงุ่นง่านอยู่นั้น ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็กลับมาพร้อมเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยเลือด
ผู้พิพากษาชุยเห็นสภาพเขาแล้วอึ้งไป “ใต้เท้า?”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักวางขวดสีแดงเลือดลงบนโต๊ะ “ก่อร่างใหม่ได้แล้ว”
…
การก่อร่างใหม่เป็นเรื่องใหญ่ ถึงเวลานั้นทั้งแผ่นฟ้าและปฐพีจะเกิดการเคลื่อนไหวของพลังงานจำนวนมหาศาล เรื่องที่ท่านเทพมาแทนใต้เท้าเจ้าตำหนักก็จะปิดไว้ไม่อยู่อีก ถึงเวลานั้นแดนยมโลกมีโอกาสสูงที่จะโกรธเกรี้ยว
เรื่องเปิดทางเดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นหากแดนยมโลกยื่นมือเข้ามายุ่งอีก คงยิ่งทำให้ทุกอย่างยากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้เวลาของท่านเทพจึงล้ำค่ามาก เขาจำเป็นต้องรีบกลับไปแดนเทพ… ก่อนที่แดนยมโลกจะรู้ความจริง
เขาไปยังตำหนักที่โอ่อ่าหรูหรา นี่เป็นอาวุธวิเศษแห่งชีวิตของเขา ซึ่งเก็บดวงจิตตั้งต้นของเขาเอาไว้ หลังจากเขาตาย อาวุธวิเศษนี้ก็ตกลงตามเขามาด้วย มายังแดนยมโลกที่มืดมิดไร้แสงอาทิตย์
อาวุธวิเศษนี้สูญเสียพลังส่วนใหญ่ไปตามระยะเวลาที่เขาฝึกตน แต่หากจะถามว่าใต้หล้านี้มีสถานที่ใดที่สามารถเก็บซ่อนพลังปราณของเขาได้ดีที่สุด ก็คืออาวุธวิเศษชิ้นนี้เอง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอาศิลาตัดวิญญาณ ไม้พันหงสา น้ำพุหมื่นราตรี เพลิงปีศาจหมื่นพิภพกับดินเทพธิดาหนี่ว์วาวางลงกลางตำหนักใหญ่ในตำแหน่งตะวันตก เหนือ ตะวันออก ใต้และกลาง
ปลายนิ้วเขาเกิดเป็นลูกไฟ ซึ่งก็คือลูกไฟแห่งวิญญาณของเขา หลังจากถูกลูกไฟแห่งวิญญาณกลืนกินลงไป ของล้ำค่าห้าสิ่งก็ค่อยๆ ถูกหลอมจนกลายเป็นไข่มุกทอประกายห้าเม็ด
ไข่มุกทั้งห้าเม็ดลอยขึ้นกลางอากาศล้อมตัวใต้เท้าเจ้าตำหนักไว้ พลังงานจำนวนมหาศาลเริ่มดึงรั้งกันเอง ตัวของใต้เท้าเจ้าตำหนักสั่นสะท้านโงนเงน
แสงทั้งห้าสอดประสานเข้าด้วยกัน ลำแสงนี้ใหญ่และแสบตากว่าวันที่เฉียวเวยเวยประสบกับมหาอัสนีวิบากเสียอีก มันพุ่งขึ้นจากผืนดิน วิ่งตรงขึ้นไปยังหลังคา ก่อนจะพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า!
ทั่วทั้งแดนยมโลกสว่างจ้าขึ้นทันใด!
ยอดเซียนที่กำลังลูบขนนกอยู่ที่แดนเซียน ลูบไปลูบมาก็รู้สึกเอะใจ กลิ้งตัวลงจากเก้าอี้!
ตรงจุดที่เขานั่งอยู่ก่อนหน้านี้ บัลลังก์ยอดเซียนของเขา ถูกลำแสงที่ทั้งใหญ่และรุนแรงพุ่งเข้าใส่จนแหลกละเอียด!
ยอดเซียนจับก้นตัวเองพร้อมเหงื่อที่แตกพลั่ก!