หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 66-1 เปิดเส้นทาง ลอยขึ้นสู่แดนเทพ (1
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 66-1 เปิดเส้นทาง ลอยขึ้นสู่แดนเทพ (1
ตอนพิเศษ 66-1 เปิดเส้นทาง ลอยขึ้นสู่แดนเทพ (1)
หากเมื่อครู่ตนรู้สึกตัวช้ากว่านี้อีกนิด ก็คงถูก…
ยอดเซียนนึกถึงความเป็นไปได้สารพัดที่ไม่อาจบรรยายได้ ใจลึกๆ รู้สึกถึงความปราดเปรื่องของตน!
ลำแสงนั้นไม่ได้หายไปในทันที แต่กลับยิ่งรุนแรงหนักขึ้น
สิ่งแรกที่ยอดเซียนคิดคือนังหนูนั้นทำเรื่องน่าตกใจอะไรอีกแล้ว!
แต่คิดอีกทีก็ไม่น่าใช่ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเวยเวยเพิ่งโต ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่น่าสร้างเรื่องประหลาดอะไรขึ้นได้ นอกเสียจากว่านังหนูนั่นตั้งท้องคลอดบุตร แต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้
ยอดเซียนรีบแผ่ดวงจิตมองไปยังทิศทางที่ลำแสงมา แต่กลับต้องตกใจเมื่อพบว่าต้นตอของมันมาจากใจกลางแดนยมโลก
เช่นนี้ช่างประหลาดนัก แดนยมโลกเป็นดินแดนที่ลึกลับที่สุดในทั้งหกแดน และเป็นดินแดนที่ไม่มีทางมีปฏิสัมพันธ์กับแดนอื่นมากที่สุด ต่อให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่กว่านี้ก็ไม่มีทางแพร่ไปถึงด้านนอก ความแข็งแกร่งในปราการอาคมของแดนนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแดนเทพเลยแม้แต่น้อย
เวลานี้ลำแสงพุ่งทะลุผ่านมิติของแดนยมโลก ทะลุผ่านขึ้นมาถึงแดนเซียน เห็นได้ว่าปราการอาคมของแดนยมโลกถูกลำแสงนี้ทำลายลงแล้ว หรืออย่างน้อยก็เสียหายไปครึ่งหนึ่ง
ยอดเซียนขมวดคิ้วด้วยความฉงน “เกิดเหตุอันใดขึ้นในแดนยมโลกกันแน่”
ยอดเซียนตัดสินใจไปดูที่ยมโลก ในแดนยมโลกมีแต่ดวงวิญญาณ ต่อให้เขาสูงส่งเป็นถึงยอดเซียน แต่เมื่อถูกกีดขวางด้วยปราการอาคม ก็ทำให้เขาจำต้องใช้ดวงจิตตั้งต้นของตนเท่านั้น
แต่ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ ในขณะที่เขากำลังจะถอดดวงจิตออกไปนั้น อยู่ๆ เมฆเซียนใต้เท้าก็เกิดแตกออกเป็นเส้น จนตัวเขาหล่นลงไปยังแดนยมโลก!
เขารีบเสกนกเฟิ่งหวงสีแดงเพลิงออกมาทันที
หากเป็นเมื่อก่อนเรื่องเช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้น แต่เวลานี้ตัวนกเฟิ่งหวงของเขาเข้ามาได้หมดทั้งตัว
จึงเห็นได้ว่าปราการอาคมของแดนยมโลกป่นปี้จนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
นกเฟิ่งหวงอัคคีบินถลาไปทางลำแสง ยอดเซียนคิดอยากจะดูที่มาของลำแสงสักนิด แต่กลับพบว่าแค่เพียงตนขยับเข้าใกล้สักนิดก็จะถูกลำแสงนั้นลวกเอาจนบาดเจ็บ หลังจากสูญเสียขนนกเฟิ่งหวงอันล้ำค่าของตนไปเส้นหนึ่ง ยอดเซียนก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดที่จะสำรวจลำแสงนั้น
ยอดเซียนยังคงบินดิ่งลงไป ตอนบินไปได้ครึ่งทางยอดเซียนเห็นตำหนักใหญ่โอ่อ่าหรูหราตำหนักหนึ่ง ลำแสงแทงทะลุขึ้นมาจากตำหนักใหญ่หลังนั้น
เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าทำเอาทั้งแดนยมโลกสั่นสะเทือนหมดแล้ว ตำหนักใหญ่ถูกทหารแดนยมโลกห้าพันนายที่นำมาโดยผู้พิพากษาหลายคนปิดล้อมเอาไว้
เพียงแต่ว่าทหารยมโลกห้าพันนายนี้กลับไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน ผู้พิพากษาชุยกับทหารยมโลกหนึ่งพันนายของตนคอยปกป้องตำหนักใหญ่เอาไว้ด้วยชีวิต ชักดาบประจันหน้ากับทหารของผู้พิพากษาอีกสี่คนที่ประจำตะวันตก ใต้ เหนือและกลาง
ผู้พิพากษาตะวันตกเป็นคนที่รองลงมาจากผู้พิพากษาชุย ผู้พิพาษาตะวันตกยืนอยู่บนกลุ่มเมฆดำ ก้าวขึ้นหน้า สายตามองตรงไปที่ผู้พิพากษาชุย “เจ้าแซ่ชุย นี่เจ้าหมายความเช่นไร เจ้าคิดจะก่อกบฎงั้นหรือ!”
ผู้พิพากษาชุยมีหรือจะกล้าก่อกบฏ ถึงแม้มองอย่างไรก็ดูเหมือนเขากำลังก่อกบฏก็ตาม เขากระแอมเบาๆ เอ่ยอย่างมีหลักการว่า “เจ้าน้องตะวันตกกล่าวอะไรเช่นนั้น ข้าจะก่อกบฏได้อย่างไรกัน ข้าเองก็ได้ยินเสียงถึงได้รีบนำทหารฝีมือดีมุ่งหน้ามาที่นี่ ลำแสงนี้รุนแรงยิ่งนัก เมื่อครู่ข้าแค่เพียงเข้าใกล้ก็ถูกลวกเข้าเสียแล้ว ที่ข้าทำก็เพราะหวังดีกับพวกเจ้าถึงได้ให้พวกเขาล้อมเอาไว้ พวกเจ้าอย่าได้ผลีผลาม มิเช่นนั้นหากบาดเจ็บไปคงจะได้ไม่คุ้มเสีย!”
คำกล่าวอย่างผู้เสียสละนี้ กระทั่งยอดเซียนยังคิดอยากปรบมือให้เขา
ยอดเซียนแปลงร่างเป็นมนุษย์ ลอยตัวอยู่ตรงกลางระหว่างกองทหารทั้งสองฝ่าย ผู้พิพากษาชุยนั้นอยู่ข้างเจ้าตำหนักชิงเฉิง ส่วนเจ้าตำหนักชิงเฉิงก็เป็นพวกเดียวกับจอมเทพรวมถึงชิงสุ่ยเจินเหริน ความสัมพันธ์นี้ยอดเซียนเข้าใจโดยละเอียด แต่ก็เพราะเข้าใจโดยละเอียด ภายนอกเขาจึงต้องทำตัวแยกออกจากผู้พิพากษาชุย
ยอดเซียนเขยิบไปทางผู้พิพากษาตะวันตกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผู้พิพากษาตะวันตก “…”
ข้าไม่สนิทกับเจ้า เหตุใดต้องขยับเข้าใกล้ข้าด้วย
ผู้พิพากษาหลายคนเห็นว่ายอดเซียนมาก็พากันข่มโทสะในใจ เอ่ยทักทายตามมารยาท
ผู้พิพากษาตะวันตกเห็นว่ายอดเซียนถึงกับเข้ามาในแดนยมโลกด้วยกายหยาบก็อดตกใจอย่างหนักไม่ได้
ยอดเซียนส่งเสียงหึ “ตกใจเพียงนี้ไปไยกัน ของจากแดนยมโลกของพวกเจ้าแทงทะลุฟ้าไปหมดแล้ว บัลลังก์ของข้าก็ถูกแทงทะลุจนพังหมดแล้ว ข้ามาที่ก็เพื่อขอคำอธิบายจากพวกเจ้า!”
อะไรที่เรียกว่าวุ่นวายทั้งนอกและในก็คือเช่นนี้เอง
ผู้พิพากษาตะวันตกกดโทสะในใจเอาไว้ เอ่ยกับยอดเซียนว่า “ยอดเซียนน่าจะเห็นแล้ว เรื่องนี้พวกเราก็กำลังสืบสวนอยู่เช่นกัน หวังว่ายอดเซียนจะให้เวลาพวกเราสักนิด อีกเดี๋ยวแดนยมโลกจะต้องให้คำอธิบายแก่ยอดเซียนแน่นอน”
ยอดเซียนไม่ใช่คนโง่ มาถึงช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้แล้วหากยังเดาไม่ออกอีกว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้ใครเป็นคนนำพามาก็คงออกจะเกินไป ละครน่าสนุกเช่นนี้เขาไม่อยากพลาดไปหรอก!
“ข้าไม่ไป! ข้าจะคอยดูพวกเจ้าสืบสวนด้วย!”
ถึงอย่างไรบัลลังก์ของเขาก็เละเทะไปแล้ว จะคอยดูการสืบสวนสักนิดก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าปฏิเสธแต่อย่างใด
หลังจากผู้พิพากษาตะวันตกแลกเปลี่ยนสายตากับผู้พิพากษาคนอื่นแล้ว ก็ตกลงให้ยอดเซียนรั้งอยู่ต่อ
หลังจากนั้นก็เริ่มจัดการธุระสำคัญ
ผู้พิพากษาตะวันตก “เกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักใหญ่แห่งนี้”
ผู้พิพากษาเหนือ “ที่นี่ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของเจ้าตำหนักชิงเฉิงหรอกหรือ เจ้าตำหนักไปอยู่ที่ไหนเสียเล่า”
ผู้พิพากษาใต้ “ด้านในมีคนอยู่?! แย่แล้ว ข้าสัมผัสไม่ถึงไอปราณของเจ้าตำหนักแล้ว!”
ผู้พิพากษาชุยเอามือกุมหน้าผาก นี่เรื่องมันมาถึงไหนแล้ว เจ้าตำหนักตายไปตั้งสองหมื่นปีแล้ว อ้อ ลืมไปว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้
ช่วงที่ท่านเทพมาแทนเจ้าตำหนักชิงเฉิงนั้น เขาใช้ไอปราณที่ได้จากเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ ของใต้เท้าเจ้าตำหนัก แต่เวลานี้ท่านเทพก่อกายหยาบขึ้นใหม่แล้ว ไอปราณเดิมที่มีเพียงน้อยนิดเหล่านั้นล้วนกระจายหายไปหมดแล้ว สำหรับคนนอกก็เท่ากับไอปราณของเจ้าตำหนักสลายสิ้นไปหมดแล้ว
ผู้พิพากษากลางตะคอกขึ้นว่า “คนผู้นั้นสังหารเจ้าตำหนักชิงเฉิงไปแล้ว!”
คำพูดนี้คล้ายเป็นหญ้าเส้นสุดท้ายที่ตกลงบนหลังลา ผู้พิพากษาทั้งสี่ไม่สนใจคำทัดทานของผู้พิพากษาชุยอีก ส่งสัญญาณคำสั่ง ทหารยมโลกจำนวนสี่พันนายก็เดินหน้าเข้าไปกดดันผู้พิพากษาชุยอย่างดุดันทันที
ผู้พิพากษาชุยกำลังลังเลว่าจะบอกพวกเขาดีหรือไม่ว่าเจ้าตำหนักไม่ได้ถูกท่านเทพสังหาร แต่เป็นเพราะตนฝ่าวิบากล้มเหลวจึงสิ้นชีพไปเอง เป็นการสิ้นชีพที่เรียกได้ว่าสูญสิ้น กระทั่งเขาที่เป็นเด็กน้อยคอยติดตามเขายังเกือบวิญญาณสลายไปด้วย หากไม่ใช่เพราะวิญญาณเร่ร่อนของท่านเทพผ่านมาแล้วช่วยเหลือเขาไว้ เขาคงได้สูญสิ้นกลายเป็นหมอกควันไปพร้อมกับเจ้าตำหนักชิงเฉิงแล้ว
ในที่สุดผู้พิพากษาชุยก็เอ่ยความจริงออกมา เขาหมดโอกาสแล้ว ทัพใหญ่สี่พันนายรวมกับพลังของผู้พิพากษาอีกสี่คน แทบจะปราบทหารยมโลกหนึ่งพันนายของเขาให้สิ้นซากได้ภายในชั่วพริบตา
“ยอดเซียน!” ผู้พิพากษาชุยจนใจ ทำได้เพียงขอให้ยอดเซียนช่วย “ท่านเทพกำลังก่อกายหยาบใหม่อยู่ ไม่อาจให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ได้ มิเช่นนั้นคงไม่มีโอกาสก่อกายหยาบใหม่เป็นครั้งที่สองแล้ว!”
ยอดเซียนย่อมเข้าใจว่าไม่อาจก่อร่างใหม่ได้เป็นครั้งที่สอง เพราะถึงอย่างไรดินเทพธิดาหนี่ว์วาก็ดี ไม้พันหงสาก็ดี หรือของล้ำค่าอีกสามอย่างก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่มีเพียงชิ้นเดียว เมื่อใช้แล้วก็หมดสิ้นไป ไม่อาจเกิดขึ้นใหม่ได้อีก
ยอดเซียนแปลงกายเป็นนกเฟิ่งหวงอัคคี กู่ร้องพลางโผไปหาทัพใหญ่สี่พันนาย
ขุมพลังมหาศาลพัดให้เกิดทะเลเพลิงที่ลุกโชนอยู่ในแดนยมโลก
ผู้พิพากษาทั้งสี่เห็นท่าไม่ดีจึงพากันควักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตนออกมา
ผู้พิพากษาตะวันตกส่งเจดีย์ปลิดวิญญาณออกไป เจดีย์นี้เจอเทพสังหารเทพ เจอมารสังหารมาร ในแดนยมโลกแทบจะไม่เคยพลาดพลั้งมาก่อน
ลมพายุที่ดำมืดมีเจดีย์ปลิดวิญญาณเป็นศูนย์กลาง หมุนวนอยู่เหนือศีรษะทุกคนอย่างบ้าคลั่ง
ผู้พิพากษาตะวันตกตะเบ็งเสียงดัง “ยอดเซียน เรื่องนี้เป็นการภายในของแดนยมโลก หวังว่าเจ้าจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง!”
ยอดเซียนแปลงกายกลับเป็นคนดังเดิม เอ่ยอย่างหยิ่งผยองว่า “ขอโทษด้วย เรื่องนี้ข้าคงต้องยุ่ง! แน่จริงก็ส่งทหารมาเลย!”
ผู้พิพากษาตะวันตกเพ่งมองด้วยสายตาดุดัน “แดนยมโลกของข้ากับแดนเซียนของเจ้าไม่เคยล่วงล้ำกันมาก่อน แต่เจ้าดึงดันจะเป็นอริกับแดนยมโลกให้ได้ เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!”
ยอดเซียนกางปีกที่ใหญ่โตของตนออกมา เอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “ถุย! ก็แค่ผู้พิพากษากระจอกๆ กล้าเอ่ยวาจาใหญ่โตเช่นนี้ต่อหน้าข้าหรือ คอยดูข้าถอนขนเจ้าก็แล้วกัน!”
ผู้พิพากษาชุย “เขาไม่ใช่นก เขาไม่มีขน”
ยอดเซียนถามเสียงดุดัน “ขนรักแร้ก็ไม่มีรึ!”
หากอยู่ข้างนอก อย่าว่าผู้พิพากษาตะวันตกคนหนึ่งเลย ต่อให้มีสักร้อยคนก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของยอดเซียน แต่กระนั้นที่นี่ก็ดันเป็นแดนยมโลก ก่อนที่ปราการอาคมของแดนยมโลกจะสิ้นสลายไป สถานการณ์นั้นเป็นผลดีต่อผู้พิพากษาทั้งหลาย
ผู้พิพากษาตะวันตกจู่ๆ ก็โยนร่นคันมโหฬารออกมา!
ร่มคันมโหฬารทะยานขึ้นกลางอากาศ ไปลอยอยู่เหนือศีรษะยอดเซียน
ผู้พิพากษาชุยพลันหน้าถอดสี “แย่แล้ว! เขากำลังชักนำวิญญาณ!”
ยอดเซียนรู้สึกได้ว่าจิตตั้งต้นของตนถูกพลังงานบางอย่างชักจูง และกำลังพยายามพุ่งออกจากร่างของตนอย่างเต็มกำลัง
เมื่อใดที่จิตตั้งต้นออกจากร่าง การฝึกตนก็จะลดหายลงไปครึ่งหนึ่ง
ยอดเซียนเดือดดาลขึ้นมาทันที “นี่ก็คือเหตุที่ข้าไม่อยากมายังแดนยมโลก!”
ผู้พิพากษาชุยสีหน้าเปลี่ยนทันที “เถิงเสอ!”
เถิงเสอที่ได้รับการเลี้ยงดูจากสำนักเชียนหลันจนตัวกลมอ้วนพีกระพือปีกสีน้ำเงินพลางส่งเสียงคำราม บินถลาร่อน… เอ่อ ไม่ใช่ กลิ้งลงมา
ถึงแม้เถิงเสอจะกลิ้งลงมา แต่ไม่ว่าอย่างไรอดีตชาติของเถิงเสอก็คือราชายมโลก ราชายมโลกก็คือคนในยมโลก การจะต่อกรกับฉัตรเรียกวิญญาณย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย
เห็นเพียงหางงูขนาดมหึมาของมันโบกสะบัด กัดฉัตรอันโอฬารบนศีรษะยอดเซียนอย่างดุดัน ฉัตรคันใหญ่ถูกกัดขาดเป็นสองท่อน!
ผู้พิพากษาชุยยินดียิ่งนัก เขารู้อยู่แล้วเชียวว่าการเลี้ยงเจ้างูยักษ์นี้ให้เชื่องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง!
ด้วยการวิเคราะห์ของผู้พิพากษาชุย เถิงเสอจะจัดการเจดีย์ปลิดวิญญาณอีกสักอันก็ไม่ใช่ปัญหา แต่เถิงเสอไม่ได้ทำเช่นนั้น ดูเหมือนว่าหลังจากจัดการฉัตรยักษ์จนขาดวิ่น เถิงเสอก็อ่อนแรงจนไม่อาจขยับตัวได้อีก
ผู้พิพากษาชุยมองเถิงเสอที่เลื้อยไปมาอยู่บนพื้นอย่างยากลำบากแล้วก็ได้แต่พูดไม่ออก
เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลยมิใช่หรือ เหตุใดเถิงเสอถึงบาดเจ็บขึ้นมาได้เล่า
หรือว่าเกล็ดตามตัวของเถิงเสอกับความทนทานของราชายมโลกจะยังฉีกทึ้งฉัตรในแดนยมโลกคันหนึ่งไม่ได้?
ผู้พิพากษาชุยไม่เข้าใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรความพ่ายแพ้ของเถิงเสอทำให้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ลงอย่างไม่ต้องสงสัย
ยังดีที่ในตอนนั้นยอดเซียนปรับจิตตั้งต้นให้มั่นคงได้แล้ว ทั้งยังปิดผนึกตนเองเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อคนเหล่านี้อีกแล้ว
ยอดเซียนกับผู้พิพากษาทั้งสี่เริ่มสู้กันมะรุมมะตุ้ม
การยื่นมือเข้ามายุ่งของยอดเซียน ช่วยประวิงเวลาอันล้ำค่าให้กับท่านเทพอย่างมาก