หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 7 มารมังกรน้อย จุมพิตอีกครั้ง
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 7 มารมังกรน้อย จุมพิตอีกครั้ง
ตอนพิเศษ 7 มารมังกรน้อย จุมพิตอีกครั้ง
คุณชายในชุดขุนนางถึงกับตาโตอ้าปากค้าง เขาไม่ได้ตาฝาดไปกระมัง เจ้าเด็กคนนี้ทำอะไรกับใต้ๆๆ…ใต้เท้าเจ้าตำหนักผู้น่ายำเกรงของเขากัน
นางกล้าดูหมิ่นใต้เท้าเจ้าตำหนักเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ!
ปล่อยใต้เท้าเจ้าตำหนักเดี๋ยวนี้นะ ข้าเอง!
คุณชายชุดขุนนางเบิกตาโตค้างอยู่อย่างนั้น ได้แต่มองดูว่าเด็กคนนั้นจะตายอย่างไร
ใต้เท้าเจ้าตำหนักของเขามีนิสัยเช่นไรเขาจะไม่รู้เชียวหรือ เขาไม่ชอบให้คนมาโดนตัวเขาที่สุดแล้ว กระทั่งเดินผ่านร่างอันเลือนลางของเขาก็ยังไม่ได้ แต่เจ้าเด็กนี่ถึงขั้นกล้าเอามือสัมผัส… มิใช่สิ เอาปากสัมผัส!
น้ำลายที่เป็นประกายนั่นเปื้อนเต็มหน้าใต้เท้าเจ้าตำหนักไปหมด มนต์ลวงตาแทบจะหายไปหมดแล้ว
หากใต้เท้าเจ้าตำหนักโกรธจัด ผลที่ตามมาคงหนักหนามากทีเดียว!
ที่คาดไม่ถึงก็คือ บุรุษผู้นั้นกลับไม่ผลักเจ้าเด็กที่เข้ามาล่วงเกินออก
หรือว่ากระทั่งตัวเขาเองก็ยังตั้งตัวไม่ทันกับสัมผัสอันแท้จริงที่เกิดขึ้น
เขาจำไม่ได้แล้วว่าตนไม่ได้ “สัมผัส” กับคนมานานกี่ปีแล้ว ต่อให้เจ้าเด็กนี้แท้จริงแล้วไม่ใช่คนจริงๆ แต่นั่นก็ยังทำให้เขาอดตะลึงงันไม่ได้อยู่ดี
เพียงแต่เขาตะลึงอยู่ได้ไม่นานนักก็ถูกความรู้สึกประหลาดเรียกให้สติกลับเข้าร่าง
เฉียวเวยเวยคิดอยากเอาพระจันทร์เสี้ยวนั้นไปด้วย นางเริ่มใช้มือแงะที่ใบหน้าเขา
“…” เช่นนี้จะไม่น่ารักแล้วนะ
เฉียวเวยเวยเขย่งปลายเท้าอยู่นานแล้วก็ยังแงะอะไรไม่ออกเสียที แล้วอยู่ๆ นางก็นิ่งไป
บุรุษผู้นั้นคิดว่านางจะยอมแพ้แล้ว ทันใดนั้นเหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นได้ ตัวนางสั่นเล็กน้อย ในขณะที่เขาจะจับตัวเฉียวเวยเวยออกนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าสายไปเสียแล้ว
เขายังไม่ทันได้ทำอย่างที่คิด ก็รู้สึกอุ่นร้อนที่ต้นขา…
เจ้ามังกรน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำถึงกับฉี่ ฉี่ ฉี่รดต้นขาเขา…
เฉียวเวยเวยที่ถึงแม้จะแงะของที่ต้องการไปไม่ได้ แต่กลับทำสัญลักษณ์ของตนเอาไว้ได้สำเร็จจึงกลับออกไปด้วยความพึงพอใจ
…
“หลิงจือ ข้าฉี่รดกางเกง”
“…หือ…ฉี่อีกแล้วหรือ…เดี๋ยวข้าเปลี่ยนให้…” หลิงจือสะลึมสะลือไปตักน้ำมา เปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายคล้ายละเมอเสร็จก็กอดเฉียวเวยเวยหลับไป
…
หลังจากนั้นหลายวันก็มีลูกศิษย์ที่รากปราณทยอยกันงอกจนสมบูรณ์ ศิษย์ที่มีรากปราณสมบูรณ์ทุกคนเริ่มฝึกการดึงพลังปราณเข้าร่างโดยมีอาจารย์คอยแนะแนว
การดึงพลังปราณเข้าร่างของที่นี่ไม่ได้เรียบง่ายเช่นการดึงพลังปราณไปไว้ที่จุดตันเถียน แต่ต้องดึงพลังปราณจำนวนมหาศาลให้วิ่งไปตามเส้นชีพจรในร่างกายของตน
เส้นชีพจรของลูกศิษย์ใหม่ยังลีบและอ่อนแรงมาก การมีไอปราณเข้าไปวิ่งอยู่ในร่างกายจึงคล้ายมีเข็มคอยทิ่มแทง ขั้นตอนนี้จึงนับว่าทรมานร่างกายยิ่งนัก
และเพราะความเจ็บปวดนี้เองทำให้ร่างกายต้องหดเกร็ง ไม่อาจผ่อนคลาย เมื่อไม่ผ่อนคลายไอปราณก็จะยิ่งเดินได้ลำบาก ดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกเจ็บขึ้นไปอีก
เจ็บจึงเดินไม่ดี เดินได้ดีจึงไม่เจ็บ หลักการประมาณนี้
ศิษย์พี่อวี๋มาตรวจตราลูกศิษย์ใหม่ตั้งแต่เช้า ในเรือนลูกศิษย์ใหม่แทบจะเต็มไปด้วยเสียงโอดโอย เพียงคนเดียวที่ไม่ได้ร้องโอดโอยนั่นก็คือคุณชายน้อยหรง
คุณชายน้อยหรงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่แถวแรก คนด้านซ้ายของเขาปวดจนสลบไปแล้ว คนทางขวาก็คงอีกไม่นาน คนข้างหลังก็เอาแต่ร้องโอดโอยจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล
ใจดวงน้อยๆ ของเขาสั่นไหวจนเต้นระรัว
การดึงพลังปราณเข้าตัวเจ็บปวดเพียงนี้ แต่เขาก็ยังต้องดึงต่อไป
ไม่มีทางยอมรับว่าตนเองดึงมาไม่ได้…
ผู้ดูแลหลิวออกไปเดินเล่นมารอบหนึ่ง กลับมาอีกทีลูกศิษย์ใหม่ “ล้มระเนระนาด” กันไปแล้วกว่าครึ่ง เหลือไม่ถึงสิบคนที่จะฝืนนั่งอยู่ได้ หนึ่งในนั้นมีคุณชายน้อยหรงที่ดูตัวตรงกว่าใครเพื่อน
คุณชายน้อยหรงเห็นอาจารย์เดินมาก็ทำเป็นเอานิ้วมือเกี่ยวกันพลางถอนหายใจยาว
ผู้ดูแลหลิวพยักหน้า ให้คุณชายน้อยหรงเข้าไปหา
ก่อนหน้านี้เขามองลูกศิษย์คนนี้ผิดไป ถึงแม้จะเป็นรากปราณไร้ค่าแต่กลับเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้จนทำให้รากปราณงอกขึ้นมาจนสมบูรณ์ได้ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังใช้กริชสังหารสัตว์อสูรขั้นห้าไปได้อีกตัวหนึ่งด้วย ถึงแม้จะกล่าวกันว่าเป็นผลมาจากกริชเล่มนั้น แต่กระทั่งระฆังทองยังสะเทือนจนแตกละเอียดแต่เขากลับไม่ถูกพลังสะท้อนจากไอปราณไปด้วย ทำได้เห็นว่าเขาเป็นต้นอ่อนชั้นดีทีเดียว
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาตัดสินใจจะบ่มเพาะเขาให้ดี!
“ฝึกลมปราณเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
กินอิ่มหรือไม่ เสื้อผ้ามีพออุ่นหรือไม่ ชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างไร
คุณชายน้อยหรงคิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะเอ่ยปากถามเรื่องนี้กับเขา เขาหันไปมองอยู่พักหนึ่งเมื่อมั่นใจว่ามีตนเพียงคนเดียวที่ถูกเรียกมา ถึงได้ตอบด้วยความตกใจกับความเอ็นดูที่ได้รับว่า “ดี ดีมากขอรับ!”
ผู้ดูแลหลิวไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะโกหกปลิ้นปล้อนเป็น จึงตบไหล่คุณชายน้อยหรง “ข้าเห็นว่าเจ้าฝึกได้พอประมาณแล้ว มาสิข้าจะสอนวิชาหมัดชุดให้กับเจ้า ไว้กลับไปเจ้าค่อยไปสอนพวกเขาต่อ”
“ข้า…ข้า…ข้า…สอนพวกเขาต่อ?” คุณชายน้อยหรงถึงกับติดอ่าง ความเอ็นดูนี้มาถึงรวดเร็วเกินไป เขาตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว
“พอดีว่าช่วงบ่ายข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอก” เดิมทีหน้าที่นี้จะมอบหมายให้อวี๋เจี๋ย แต่ผู้ดูแลหลิวเมื่อตัดสินใจจะบ่มเพาะคุณชายน้อยหรง ก็ย่อมต้องผลักเขาออกมาอยู่ข้างหน้า
คุณชายน้อยหรงจึงออกเดินไปด้วยความตื่นเต้น จนถึงเวลานี้เขายังมั่นใจว่าตนสามารถเรียนรู้ให้ดีได้ ถึงอย่างไรสวรรค์ก็ยุติธรรม ในเมื่อเขาฝึกดึงลมปราณไม่เป็นผล อย่างไรก็ต้องมีเรื่องที่เขาทำได้ดีสักอย่างหนึ่งกระมัง
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเขาคิดผิด
ผู้ดูแลหลิวหักกิ่งไม้อันหนึ่งมาส่งให้คุณชายน้อยหรง “ข้าจะสอนเจ้าสามกระบวนท่าก่อน กระบวนท่าที่หนึ่ง วิหคสยายปีก!”
ผู้ดูแลหลิวกางสองแขนออก กระโดดลอยตัวขึ้น ไอปราณอันกล้าแกร่งบีบกดลงมาตามตัวเขาที่ลอยต่ำลงมาเรื่อยๆ
คุณชายน้อยหรงถูกพลังปราณพัดจนปากสั่น
“กระบวนท่าที่สอง เคลื่อนบุปผารับไพรี!”
กระบวนท่านี้คุณชายน้อยหรงมองท่วงท่าของอาจารย์ไม่ชัดด้วยซ้ำ ไม้ในมือก็หายไปเสียแล้ว
“กระบวนท่าที่สาม ชะโงกหน้าคว้าของ!”
ผู้ดูแลหลิวใช้มือหนึ่งยื่นไปที่จุดตันเถียนของคุณชายน้อยหรง แล้วหยุดนิ่งอยู่ห่างไปประมาณหนึ่งชุ่น ก่อนจะเก็บปราณกลับไป “มองเข้าใจแล้วหรือยัง”
คุณชายน้อยหรงตาค้างไปเสียแล้ว
ตอนเฉียวเวยเวยไปที่ห้องเก็บฟืนด้านหลังภูเขา คุณชายน้อยหรงกำลังสะอื้นฮักน้ำตาไหลพราก “…ทำอย่างไรดี ข้าจำไม่ได้… ข้าจำไม่ได้เลยสักกระบวนท่า…”
เฉียวเวยเวยมองแท่นย่างอาหารที่ว่างเปล่า ท้องไส้หิวโซ ใจดวงน้อยๆ รู้สึกสงสาร
“ฮือๆ… ข้าตายแน่… อาจารย์ข้ายังให้ข้าสอนพวกเขาด้วย… ตัวข้าเองยังทำไม่ได้… แล้วจะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร” คุณชายน้อยหรงเช็ดน้ำมูกน้ำตาให้วุ่น พอคิดอะไรได้ก็หันไปเอ่ยกับเฉียวเวยเวยทั้งน้ำตาคลอว่า “พี่สาวเจ้าได้เรียนกระบวนหมัดด้วยหรือไม่ ให้…ให้นางสอนข้าได้หรือไม่”
เฉียวเวยเวยคิดแล้วก็พยักหน้า เดินพาคุณชายน้อยหรงไปหาหลิงจือ
หลิงจือแสดงกระบวนหมัดเหล่านั้นให้อีกฝ่ายดูอย่างใจดี ทั้งยังช่วยวาดกระบวนท่าทีละท่าให้ดูเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำอีกด้วย
“วิหคสยายปีก เจ้าดูสิว่าท่านี้เหมือนนกหรือไม่”
คุณชายน้องหรงจำว่า “นก”
“ให้เจ้ามองศัตรูเป็นเหมือนต้นไม้ เป้าหมายของเจ้าคือเด็ดใบไม้ออกจากกิ่งให้หมด เช่นนี้ เขาก็จะไม่มีอาวุธแล้ว”
คุณชายน้อยหรงจำว่า “กิ่งไม้”
“จุดตันเถียนเป็นแก่นชีวิตของผู้ฝึกวรยุทธ์ทุกคน หากเจ้าจะโจมตีจุดนี้น่ะ จะต้องรวดเร็ว ดุดัน แม่นยำ…”
คุณชายน้อยหรงจำว่า “แก่นชีวิต” “รวดเร็ว” “ดุดัน” “แม่นยำ”
หลิงจือคิดในใจว่า ง่ายถึงเพียงนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะจำไม่ได้อีกแน่
ไม่เท่าไรผู้ดูแลหลิวก็กลับมาจากไปทำธุระ
สิ่งแรกที่เขาทำคือกลับไปตรวจดูผลจากการทุ่มเทฝึกของคุณชายน้อยหรง ที่ไปพร้อมเขายังมีศิษย์พี่อวี๋ที่ทำภารกิจเสร็จกลับมาแล้ว
ศิษย์อาจารย์สองคนเข้าไปในเรือนก็ได้ยินเสียงตะโกนฮู่ ฮ่าดังระงม
ผู้ดูแลหลิวพยักหน้าด้วยความพอใจ ท่าทางไม่เลว
คุณชายน้อยหรงเห็นอาจารย์กลับมาแล้วจึงรีบเข้าไปทำความเคารพ “อาจารย์!”
“อื้อ” ผู้ดูแลหลิวเอ่ยว่า “ฝึกฝนกันเรียบร้อยแล้วหรือ”
คุณชายน้อยหรงเอ่ยว่า “ฝึกเรียบร้อยแล้วขอรับ!”
ผู้ดูแลหลิวบอกว่า “งั้นเริ่มได้”
คุณชายน้อยหรงหันไปมองลูกศิษย์ใหม่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กระบวนท่าที่หนึ่ง วิหคสยายปีก!”
ลูกศิษย์ใหม่สิบกว่ายี่สิบคนกางสองแขนออกคล้ายปีกนก
คุณชายน้อยหรง “กระบวนท่าที่สอง เคลื่อนบุปผารับไพรี!”
ลูกศิษย์ใหม่เด็ดกิ่งไม้ในเรือนจนโกร๋น
คุณชายน้อยหรง “กระบวนท่าที่สาม กระบวนท่านี้ต้องรวดเร็ว ดุดัน และแม่นยำ วานรขโมยท้อ!”
ลูกศิษย์ใหม่พากันยื่นมือไปตรงเป้ากางเกงของผู้ดูแลหลิว…
ผู้ดูแลหลิว “?!?!?!”
คืนนั้นคุณชายน้อยหรงที่ได้มาอยู่ในเรือนศิษย์ใหม่ไม่ถึงสามวัน ก็ถูกไล่ตะเพิดกลับไปให้อาหารสัตว์วิเศษอีกครั้ง
…
กลับมาเอ่ยถึงเด็กสาวรากปราณสวรรค์ หลังจากวันนั้นที่ได้ยินเสียงผิดปกติที่ตำหนักใหญ่ของผู้พิทักษ์รอง นางก็มักนึกถึงเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ เรื่องนี้ไม่ถึงว่าเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ฝึกตน นางควรจะลืมเรื่องนี้ไปหรือไม่ก็สืบหาที่มาให้กระจ่าง มิเช่นนั้นจะติดค้างอยู่ในใจนางเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้นานวันเข้าจะส่งผลเสียต่อการฝึกตนได้
นางจึงตัดสินใจลองไปที่นั่นดูอีกครั้ง
สำนักเชียนหลันมีกฎสำนักที่เคร่งครัด ในเรือนแห่งนี้ที่ดูเหมือนไม่มีคนคอยเฝ้าแต่กลับมีค่ายปราการคลุมอยู่ หากไม่มีป้ายคำสั่งของผู้พิทักษ์รองจะไม่สามารถเข้าไปได้
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถือป้ายคำสั่งไปยังเรือนของผู้พิทักษ์รอง
ตอนนางเดินไปถึงหัวมุม จู่ๆ ก็เห็นเงาเล็กๆ ผอมแห้งเงาหนึ่ง กำลังเดินสะลึมสะลือมาทางนี้
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เพ่งสายตามอง นั่นไม่ใช่น้องสาวของหลิงจือหรอกหรือ นางมาที่นี่ได้อย่างไร ใครให้นางมา
เฉียวเวยเวยไปถึงปากประตูเรือน แล้วเดินผ่านม่านสีใสที่คล้ายมีคล้ายไม่มีเข้าไปราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เห็นเช่นนั้นก็อึ้งไป
ค่ายปราการใช้การไม่ได้หรือไร เหตุใดจึงปล่อยให้เด็กคนหนึ่งเข้าไปได้
เด็กสาวรากปราณสวรรค์รีบตามติดเข้าไป นางเห็นเฉียวเวยเวยเข้าไปยังตำหนักใหญ่ที่มีอาวุธวิเศษเก็บอยู่ แต่ตอนนางก้าวตามเข้าไปนั้น กลับเห็นเพียงตำหนักว่างเปล่า ไม่มีเงาเฉียวเวยเวยให้เห็นสักนิด
นางเอ่ยด้วยความสงสัย “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ข้าเห็นนางเดินเข้ามา นางหายไปไหนแล้ว”
ภายในเรือนที่เงียบสงัด คุณชายชุดขุนนางเพิ่งวางหมากสีขาวลง พอหันไปเห็นก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ “ใต้เท้าเจ้าตำหนัก นางมาอีกแล้ว!”
เหตุใดนางยังกล้ามาอีก นางไม่รู้หรือว่าเมื่อวานก่อเรื่องอะไรไว้ เล่นเอาใต้เท้าเจ้าตำหนักเดือดดาลจนเกือบซ้อมเขาตายเชียวนะ!
บุรุษผู้นั้นมองเจ้ามังกรน้อยที่ฉี่รดขาตน เมฆหมอกสีดำตรงหน้ายิ่งดำทะมึนขึ้นไปอีก
เฉียวเวยเวยยังไม่รู้ตัวว่าตนถูกรังเกียจเสียแล้ว นางปีนขึ้นไปบนตักอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคย เขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตพระจันทร์เสี้ยวของนาง
นางจุ๊บไปจุ๊บมาก็นิ่งไปอีกครั้ง
บุรุษผู้นั้นรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี รีบยกตัวนางขึ้น!
แต่ก็ยังช้าเกินไป ใต้เท้าเจ้าตำหนักผู้น่าเกรงขามถูกเจ้ามารมังกรน้อยทำสัญลักษณ์เอาไว้อีกแล้ว