หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 72-2 เวยเวย VS ธิดาเทพ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 72-2 เวยเวย VS ธิดาเทพ
ตอนพิเศษ 72-2 เวยเวย VS ธิดาเทพ
เฉียวเวยเวย “ท่านพ่อท่านแม่กับอาจารย์ลุงของข้าล้วนเก่งกาจทั้งนั้น อาจารย์ลุงบอกไว้แล้วว่าในใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดที่ข้ามีเรื่องด้วยไม่ได้”
จู๋อีหัวเราะหึหึ “เจ้าเด็กโง่ ท่านพ่อท่านแม่กับอาจารย์ลุงเจ้าต่อให้เก่งกาจเพียงใด จะเก่งกาจกว่าตำหนักเทพเสวี่ยซานเชียวหรือ ต่อให้จอมเทพมาเองยังต้องให้เกียรติตำหนักเทพเสวี่ยซานอยู่หลายส่วนเลย ธิดาเทพเป็นผู้ปกครองตำหนักเทพเสวี่ยซาน หากเจ้ามีเรื่องกับนาง ก็เท่ากับมีเรื่องกับคนทั้งตำหนักเทพเสวี่ยซาน เจ้าจะตายอย่างน่าอนาถเอานะ”
เฉียวเวยเวยไม่พูดอะไรอีก
จู๋อีคิดว่าอีกฝ่ายนึกกลัวกับคำขู่ของตนเลยรีบเอ่ยปลอบ “เจ้าก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไป ธิดาเทพเป็นคนดีมาก นางไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าหรอก เรื่องในวันนี้ไม่มีคนอื่นรู้ ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ก็เพื่อเตือนสติเจ้า วันหน้าหากไปอยู่ข้างนอก ก็อย่าทำอะไรที่ไม่เป็นการเคารพธิดาเทพอีก ไม่อย่างนั้นไม่ต้องรอให้คนของตำหนักเทพเสวี่ยซานมาเล่นงานเจ้า ผู้ศรัทธาในนางคงได้ฆ่าเจ้าก่อน”
“เจ้าก็เป็นผู้ศรัทธาในนางเหมือนกันหรือ” เฉียวเวยเวยถาม
“ข้า…” จู๋อีลูบข้างแก้มที่เรียบลื่นหลังจากถูกลบรอยแผลเป็นไป กระแอมเบาๆ ก่อนบอกว่า “เมื่อก่อนไม่ใช่”
แต่เวลานี้ธิดาเทพช่วยรักษาใบหน้านางจนหาย ซ้ำยังช่วยให้นางมีระดับการฝึกตนที่สูงขึ้น นางจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดถึงมีคนจำนวนมากเลื่อมใสศรัทธาในตัวธิดาเทพ ธิดาเทพเป็นสตรีที่มีเมตตา ยิ่งใหญ่และน่านับถือที่สุดของเผ่าเทพจริงๆ
…
ตอนหมิงซิวออกไปดูที่ลานด้านข้าง จู๋อีไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว มีเฉียวเวยเวยนั่งอยู่คนเดียวใต้ต้นอู๋ถง สองแขนกอดเข่า ปลายคางวางอยู่บนข้อมือ ดูโดดเดี่ยวอ้างว้างคล้ายเด็กที่ถูกทอดทิ้ง
ในใจหมิงซิวรู้สึกไม่ดี เดิมทีนางควรอยู่เสพสุขที่สำนักเชียนหลัน แต่กลับเป็นเพราะเขาทำให้นางต้องระหกระเหินมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ ต้องออกห่างจากหลิงจือที่พึ่งพากันดั่งชีวิต ต้องแยกจากบิดาที่อุตส่าห์ได้พบหน้ากัน
และเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้เองที่นางยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่ถือขวดนมดูดนมอยู่
หมิงซิวข่มอารมณ์ลง เดินเข้าไปโน้มตัวลงยื่นมือไปให้เฉียวเวยเวย
เฉียวเวยเวยนิ่งไม่ขยับ
หมิงซิวถอนหายใจเบาๆ แล้วลงนั่งข้างนาง “โกรธหรือ”
เฉียวเวยเวยหันหน้าไปอีกทาง
หมิงซิวมองท้ายทอยของนางแล้วอดนึกขันไม่ได้ “ถีบประตูซะพังไปแล้ว ยังไม่หายโกรธอีกหรือ”
เฉียวเวยเวยไม่ส่งเสียงตอบ
หมิงซิวพูดต่อว่า “ต่อไปข้าจะไม่ปิดประตูแล้ว”
เฉียวเวยเวยก็ยังคงนิ่ง
หมิงซิวยื่นมือไปลูบศีรษะนาง “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
ในที่สุดเฉียวเวยเวยก็เอ่ยปาก “หลิงจือ ท่านพ่อ อาจารย์ลุง”
ในใจหมิงซิวมีความรู้สึกผิดวาบขึ้นมา ในช่วงเวลาที่เปราะบางโดยแท้จริงของคนคนหนึ่งเท่านั้น ที่จะนึกถึงคนในครอบครัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เฉียวเวยเวยไม่ใช่คุณหนูใหญ่ที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม ตอนอยู่ในหมู่บ้านกับหลิงจือก็มีแต่ชีวิตที่ยากลำบาก พอเข้าสำนักเชียนหลันก็ต้องเป็นเด็กรับใช้ปัดกวาด แต่นางไม่เคยรู้สึกน้อยใจเลย
คืนแรกที่มาอยู่ในบ้านบนเขา ตนก็ทำให้นางน้อยใจเสียแล้ว
หมิงซิวรู้สึกปวดแปลบในใจ เขาลูบศีรษะนาง “จู๋อีพูดอะไรกับเจ้าหรือ”
เฉียวเวยเวยทำปากมุ่ย “พูดถึงนก… สตรีนางนั้นว่าเก่งกาจมาก ข้าจะทำให้นางไม่พอใจไม่ได้”
หมิงซิวเลยบอกว่า “จู๋อีพูดไปเพราะหวังดีกับเจ้า นางเป็นธิดาเทพของตำหนักเทพเสวี่ยซาน นางรู้เบาะแสของท่านแม่เจ้า และสามารถช่วยเหลือน้องชายข้าได้ พวกเราจะต้องอยู่กับนางไปอีกนานพอสมควร หากเจ้าไม่ทำให้นางไม่พอใจ ชีวิตของเจ้าจะง่ายขึ้นมาก”
เฉียวเวยเวยหันไปจับจ้องอีกฝ่ายพร้อมดวงตาที่มีประกายหยดน้ำ “เช่นนั้นหากข้าทำให้นางไม่พอใจแล้วเล่า”
หมิงซิวเอาปรอยผมขึ้นทัดหูให้นางแล้วถอนหายใจเบาๆ “ถ้าทำแล้วก็แล้วไปเถิด”
เฉียวเวยเวย “อ้อ”
หมิงซิวตบไหล่นางเบาๆ “กลับห้องเถิด”
เฉียวเวยเวยบอกเสียงต่ำ “ขาชาหมดแล้ว”
หมิงซิวเอามือโอบไหล่ อีกมือช้อนตรงข้อพับแล้วอุ้มนางกลับห้องไป
…
กลับมาเอ่ยถึงเสวี่ยหลันอี หลังจากประตูห้องถูกถีบพัง และหมิงซิวบอกอยู่ว่าเป็นใครแล้ว เสวี่ยหลันอีก็ไม่อยู่เฉย หมุนตัวเดินไปที่ห้องของอวิ๋นเชียนรั่ว
ตอนเสวี่ยหลันอีปลอบอารมณ์ที่ตื่นเต้นของอวิ๋นเชียนรั่วจนสงบและกลับไปยังห้องของหมิงซิวอีกครั้งนั้น นางกลับไม่ได้พบหมิงซิว แต่พบเพียงเด็กสาวในชุดสีขาวอมชมพู ท่าทางเหมือนเด็กอายุไม่ถึงสิบสี่ปีนางหนึ่ง
การแต่งกายของเด็กสาวออกจะซอมซ่อล้าสมัย แต่รูปโฉมที่งดงาม ท่าทางที่ดูฉลาดเฉลียว คล้ายดวงวิญญาณที่เดินออกมากจากเมฆหมอกกลางป่า ทั้งการขมวดคิ้วและรอยยิ้ม ดูมีเสน่ห์เกินจะต้านทาน
เด็กสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ปากเคี้ยวพลางบิส้มออกเป็นกลีบๆ ส้มที่นี่หวานฉ่ำอมเปรี้ยว อร่อยกว่าที่สำนักเชียนหลันมากนัก
เฉียวเวยเวยกำลังตั้งใจกิน จึงไม่เห็นว่ามีคนเดินเข้ามา
เสวี่ยหลันอีหยุดมองเนื้อส้มที่เฉียวเวยเวยกินเข้าไปกว่าครึ่ง ทันใดนั้นก็คล้ายได้เข้าใจบางอย่าง
นิ้วมือของนางกำแน่น บนหน้าเผยรอยยิ้มอบอุ่นเป็นกันเอง “เจ้าคือเวยเวยหรือ ข้าคือเสวี่ยหลันอี”
เฉียวเวยเวยถึงได้เงยหน้าขึ้น ตรงมุมปากมีเนื้อส้มติดอยู่ นางใช้ลิ้นเลียเนื้อส้มที่แสนหวานนั้นเข้าปากไป
นางยื่นส้มที่เหลืออยู่ครึ่งลูกไปให้เสวี่ยหลันอี “เจ้าก็อยากกินหรือ”
เสวี่ยหลันอีระบายยิ้มพลางส่ายหน้า เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายหลายก้าว “ข้างดอาหารมาหลายปี ไม่กินอะไรนานแล้ว”
“อ้อ” เฉียวเวยเวยเอาส้มที่เหลือเข้าปาก
เสวี่ยหลันอีเอาเม็ดยาสีน้ำตาลออกมาเม็ดหนึ่ง “ข้าได้ยินเรื่องเจ้ากับท่านเทพแล้ว เจ้าช่วยท่านเทพไว้ถือว่ามีคุณ ข้าจะขอบคุณเจ้าอย่างดี นี่เป็นยาประคองดวงจิตของเทพเสวี่ยซาน มันช่วยบำรุงดวงจิตของเจ้าได้”
เฉียวเวยเวยเอ่ยอย่างรังเกียจ “ข้าไม่ชอบกินยา”
เสวี่ยหลันอีระบายยิ้มอ่อนโยน “ข้าสามารถถ่ายพลังปราณเทพเข้าตัวเจ้าโดยตรงเลยก็ได้เช่นกัน”
เฉียวเวยเวยส่ายหน้า “เสี่ยวซิวจะให้ข้าเอง ข้าไม่ต้องใช้ของเจ้า”
“เสี่ยวซิว?” เสวี่ยหลันอีอึ้งไป นึกไม่ออกไปชั่วขณะว่าเสี่ยวซิวที่นางเอ่ยถึงเป็นใคร พักใหญ่นางถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงท่านเทพ “ปกติเจ้าเรียกขานเขาเช่นนี้หรือ”
“อื้อ” เฉียวเวยเวนพยักหน้า
เสวี่ยหลันอีสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พยายามทำอารมณ์ให้นิ่งแล้วคลี่ยิ้มเป็นกันเอง “ตัวเขาเองยังไม่หายดีเลย จะใช้พลังปราณเทพมากเกินไปไม่ได้ ตัวข้ามีความเป็นหยินที่บริสุทธิ์ พลังปราณเทพของข้าเหมาะกับสตรีมากกว่า ช่วยรักษาดวงจิตของเจ้าได้ดียิ่ง”
เสวี่ยหลันอีถูกปฏิเสธติดต่อกันหลายครั้ง นางไม่เพียงแสดงความโกรธให้เห็น แต่กลับยิ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นเจ้าอยากได้อะไร เจ้าช่วยท่านเทพไว้มากเพียงนี้ จะให้เจ้าทำไปโดยไม่ได้อะไรก็คงไม่ได้กระมัง ไม่ได้บอกว่า…ของเหล่านี้เจ้าล้วนไม่สนใจหรือ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าจะให้ของที่ดียิ่งกว่านี้กับเจ้า เอาอย่างนี้ดีไหม เจ้ามาอยู่ที่ตำหนักเทพเสวี่ยซาน ข้าจะให้เจ้าได้ขึ้นทะเบียนเทพ ต่อไปเจ้าจะได้อยู่ในเผ่าเทพอย่างถูกต้องเหมาะสม ไว้เจ้าโตอีกหน่อยข้าจะจัดการคู่ครองที่เหมาะสมให้เอง แน่นอนว่าหากเจ้าอยากอยู่ในตำหนักเทพไปตลอดก็ย่อมได้ ข้าจะยอมแหกกฎให้เจ้าเป็นสาวใช้ข้างกายข้าเอง”