หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 73-1 ดอกบัวขาวปริแตก
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 73-1 ดอกบัวขาวปริแตก
ตอนพิเศษ 73-1 ดอกบัวขาวปริแตก
“นางไม่ได้มาเพื่อเป็นสาวใช้”
หมิงซิวถือชามส่งไอร้อนเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เสวี่ยหลันอีหันไปมองเขาด้วยสายตาประหลาด หากพูดให้ชัดเจนก็คือ นางมองบะหมี่ในชามของเขา
พวกเขาถือศีลอดกันหมดแล้ว ในเรือนใหญ่ย่อมไม่มีพ่อครัว บะหมี่ชามนี้…
เสวี่ยหลันอีเลื่อนสายตาไม่อยากเชื่อกลับไปมองหน้าหมิงซิว
สีหน้าหมิงซิวเดินเข้าไปหาเฉียวเวยเวยด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ แล้ววางบะหมี่ลงบนโต๊ะ
เฉียวเวยเวยรีบเอาส้มกลีบสุดท้ายเข้าปาก คว้าตะเกียบม้วนบะหมี่เห็ดหอมขึ้นมาคำโต ที่น่าเอ่ยถึงก็คือ เห็ดหอมนี้เด็ดมาจากหุบเขาซือกั้ว ในถุงเฉียนคุนของใต้เท้าเทพนอกจากเห็ดหอมแล้ว ยังมีเนื้อกวาง เนื้อกระต่ายและเนื้อไก่ป่าตากแห้ง… ทั้งหมดล้วนเป็นของที่มังกรน้อยชอบกิน มีพร้อมทุกอย่าง
เสวี่ยหลันอีเดิมทีแค่เห็นท่าเทพผู้สูงศักดิ์ต้มบะหมี่ชามหนึ่งกลับมาก็ตกใจพอแล้ว แต่ตอนนางเห็นว่าอีกฝ่ายถึงกับหยิบเนื้อแห้งของสัตว์สักชนิดจากถุงเฉียนคุนมายื่นให้เฉียวเวยเวย นางยิ่งตกใจจนอ้าปากค้าง
เจ้าตำหนักเมฆาผู้สูงศักดิ์ เหตุใดถึงเอามือมาเปื้อนของพวก… ของพวกนี้ได้!
เสวี่ยหลันอีพูดอะไรไม่ออก!
พอมีของให้เฉียวเวยเวยกิน นางก็ไม่สนใจเสวี่ยหลันอีอีก
เสวี่ยหลันอีไม่คุ้นเคยกับกลิ่นอาหารในโลกมนุษย์ กลิ่นอาหารที่เฉียเวยเวยได้กลิ่นเป็นต้องน้ำลายสออย่างกลิ่นต้นหอม กลิ่นน้ำมันงา กลิ่นงาคั่ว กลิ่นเห็ดหอม หรือกลิ่นจากเนื้อเหล่านี้ นางรู้สึกไม่ชินจมูกทั้งสิ้น
แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่นางไม่คุ้นชินจะเป็นกลิ่นเหล่านี้หรือเรื่องที่ท่านเทพทำอาหารให้เฉียวเวยเวยกิน นางก็ตอบไม่ได้เช่นกัน
“เมื่อครู่ข้า…” นางข่มความรู้สึกเอาไว้ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบา
หมิงซิวบอกว่า “เมื่อครู่ข้าพูดรุนแรงเกินไปเอง เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”
เสวี่ยหลันอีพลันระบายยิ้มอ่อนหวาน “ไม่หรอก”
หมิงซิวหันไปมองเฉียวเวยเวย เฉียวเวยกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ได้เหลือบมองมาทางนี้เลยสักนิด หมิงซิวเอ่ยว่า “นางเข้ามาช่วยรับธนูให้ข้า จนถึงทุกวันนี้บาดแผลก็ยังไม่หายดี ที่ข้าพานางมายังแดนเทพด้วยก็เพื่อจะรักษาอาการบาดเจ็บให้นาง ไว้แผลนางหายดีแล้วข้ายังต้องส่งนางกลับไปอย่างปลอดภัยอีก ดังนั้นนางคงไม่อาจไปอยู่ที่ตำหนักเทพเสวี่ยซานได้”
ไม่รู้ประโยคใดไปกระตุ้นเสวี่ยหลันอีกเข้า ความเสียใจบนใบหน้าเสวี่ยหลันอีไม่มีเหลือให้เห็น เสวี่ยหลันอียิ้มอ่อนโยน “ไว้รอให้จัดการเรื่องอาเยี่ยเสร็จแล้ว ข้าจะพานางกลับไปที่ตำหนักเทพเสวี่ยซาน ข้าจะต้องหาทางรักษาแผลนางให้หายได้แน่!”
หมิงซิวพยักหน้าพร้อมสีหน้าขอบคุณ
“ข้าไปดูรั่วเอ๋อร์ก่อนนะ” เสวี่ยหลันอีเดินอมยิ้มจากไป
เฉียวเวยเวยกินบะหมี่หมดชามแล้ว นางไม่เหลือเลยแม้แต่น้ำแกงสักหยด
“อิ่มหรือยัง” หมิงซิวถาม
เฉียวเวยเวยลูบท้อง “ยังเฉยๆ นะ”
หมิงซิวหัวเราะเสียงเบา เรียกจู๋อีให้เข้ามายกของบนโต๊ะออกไป จากนั้นเขาก็พูดเรื่องเมื่อครู่กับเฉียวเวยเวย “…ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากไป แต่เจ้าก็อย่าได้โกรธเคืองนาง”
เฉียวเวยเวยเบ้ปากเอ่ยว่า “แต่ข้าไม่อยากเป็นสาวใช้ของนางนี่”
หมิงซิว “เช่นนั้นก็ไม่ต้องเป็น”
เฉียวเวยเวยจับโต๊ะแน่น “ข้าไม่ชอบที่นางถามข้าเช่นนี้”
หมิงซิวพยักหน้า “อื้อ หากคิดจากมุมของเจ้า คำถามของนางไม่ถูกนักจริงๆ”
เฉียวเวยเวยหันไปมองเขา “มีความนัยอยู่ในคำพูดเจ้า”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้ยินคำพูดราวกับเด็กแก่แดดออกจากปากนาง เขารู้สึกคล้ายว่าตนเป็นบิดาที่เห็นบุตรสาวของตนเติบโตขึ้นแล้ว ในใจจึงรู้สึกประหลาดใจระคนยินดีอยู่บ้าง
หมิงซิวหยิกแก้มตุ้ยๆ อมชมพูของนาง “เจ้ายังรู้ว่ามีความนัยด้วยหรือ ตอนนั้นที่เจ้าไปอยู่สำนักเชียนหลัน เจ้ายังเคยเป็นสาวใช้ของหลิงจือเลย”
หมิงซิวลดมือลง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ได้ชอบเป็นสาวใช้ของหลิงจือ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่ใช่สาวใช้ของนาง ในใจของหลิงจือเจ้าเป็นน้องสาวของนาง เรื่องนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนตลอดไป”
เฉียวเวยเวยพยักหน้าราวกับสับประเทียม “อื้มๆ ข้าชอบหลิงจือ หลิงจือก็ชอบข้า”
“เจ้าไม่ชอบเสวี่ยหลันอี?” หมิงซิวถาม
“เหตุใดข้าถึงต้องชอบนางด้วย” เฉียวเวยเวยถามกลับ
หมิงซิวเลยบอกว่า “จะไม่ชอบนางก็ได้ เพียงแต่อย่าได้เข้าใจความตั้งใจของนางผิด เมื่อครู่ของที่นางให้เจ้าเหล่านั้นมาจากความตั้งใจดีของนางจริงๆ นางไม่รู้ถึงตัวตนของเจ้าและมองร่างเดิมของเจ้าไม่ออก จึงคิดว่าเจ้าเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา ในเผ่าเทพกระทั่งไห่คงจื่อกับจู๋อีที่มีระดับการฝึกตนเช่นนั้นยังไม่คู่ควรจะมองประตูตำหนักของนางด้วยซ้ำ การที่ปุถุชนสามารถเป็นสาวใช้ข้างกายนางได้ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาที่ทำมาหลายภพชาติแล้ว”
เฉียวเวยเวยกอดอก เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “เช่นนั้นข้ายังต้องขอบคุณนางด้วยงั้นสิ!”
หมิงซิวนึกขันกับท่าทางงอนตุ๊บป่องของนาง จึงยกมือขึ้นดีดหน้าผากอีกฝ่าย “เจ้าไม่ต้องขอบคุณนางหรอก ข้าขอบคุณแทนเจ้าไปแล้ว”
“นางมาขอบคุณข้าแทนเจ้า เจ้าก็ยังมาขอบคุณนางแทนข้าอีก…” สมองน้อยๆ ของเฉียวเวยเวยหมุนติ้ว “ข้าจะไม่ขอบคุณเจ้าแทนนางหรอกนะ!”
หมิงซิวหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง “เจ้าไม่ได้เป็นอะไรกับนางเสียหน่อย เหตุใดต้องของคุณข้าแทนนางด้วย”
“อืม” เฉียวเวยเวยพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่ข้าก็ยังไม่อยากให้เจ้าไปขอบคุณนางอยู่ดี ข้าไม่ได้เอาของอะไรนางมาเสียหน่อย จริงหรือไม่”
หมิงซิวหัวเราะอย่างเอ็นดู “ได้ ไม่ขอบคุณนางแล้ว”
เฉียวเวยเวยมีจู๋อีพากลับห้องไปอาบน้ำ พอเสร็จก็นอนลงบนที่นอนที่อ่อนนุ่ม
หมิงซิวไปที่ห้องของอวิ๋นเชียนรั่ว อวิ๋นเชียนรั่วเข้านอนไปแล้ว ตอนเขาเดินผ่านประตูห้องของเฉียวเวยเวย เฉียวเวยเวยกำลังม้วนผ้าปูที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงพอดี
เขาเดินเข้ามาถามว่า “เหตุใดจึงยังไม่นอน”
“ข้านอนไม่หลับ” เฉียวเวยเวยจับหัวใจดวงน้อยของตน ทำหน้าจริงจังเอ่ยว่า “ข้ากำลังเสียขวัญ”
หมิงซิวเอ่ยอย่างเห็นขันว่า “พอได้แล้ว เสวี่ยหลันอีไม่ได้ทำอะไรเจ้าเสียหน่อย”
เฉียวเวยเวยเลยเบ้ปาก
โชคดีที่เลี้ยงดูนางมานาน ใจนางคิดอะไร ท่านเทพเข้าใจเป็นอย่างดี
หมิงซิวควักตัวนางออกจากผ้าห่มที่ม้วนเป็น “ดักแด้” ให้นางนอนลงดีๆ แล้วห่มผ้าให้นาง “ข้าจะบำเพ็ญตนอยู่ที่หน้าประตูนะ”
เฉียวเวยเวยบอกว่า “เช่นนั้นเจ้าอย่าปิดประตู”
“อื้อ” หมิงซิวเหน็บริมผ้าห่มให้นางอย่างดี โบกแขนเสื้อดับตะเกียง เดินไปตรงชายคาที่รอบด้านมีแต่ความมืดมิดแล้วลงนั่งขัดสมาธิ
เขากางข่ายอาคมที่ไร้รูปเพื่อกันลมเย็นไม่ให้พัดเข้าไปในห้อง
แสงจันทร์ส่องลงมายังท่าทางที่สง่างามของเขา จนมีแสงสีเงินกระจายออกมาทั่วตัว
เฉียวเวยเวยมองแผ่นหลังที่ทั้งกว้างและแข็งแรงนั้น ก่อนจะหลับตาไปด้วยความสบายใจ
ภายในห้องฝั่งตรงข้ามที่อยู่เยื้องๆ กัน เสวี่ยหลันอียืนอยู่ข้างหน้าต่างเงียบๆ มองผ่านเงาไม้ที่เป็นรูปต่างๆ ไป จับจ้องไปยังหมิงซิวที่นั่งอยู่หน้าประตูห้องเฉียวเวยเวยไม่วางตา
นางไม่อาจทำใจกะพริบตาได้ลง
เสวี่ยหลันอีมองรูปโฉมที่หล่อเหลา รูปร่างที่สูงใหญ่ของเขาแล้วนึกถึงกลิ่นอายบุรุษอ่อนๆ จากตัวเขา ในใจนางคล้ายมีกรงเล็บแมวน้อยกางข่วนข้างในจิตใจนางไม่หยุด จนนางแทบอยากจะโผเข้าไปหาอ้อมกอดของเขา
เหตุใดถึงไม่เป็นที่หน้าประตูห้องนาง
เหตุใดถึงไปเฝ้าหน้าห้องให้สตรีนางอื่น
เหตุใดถึงเป็นสตรีนางอื่น… ที่อยู่ใกล้เขาได้มากขนาดนี้…
ในหัวเสวี่ยหลันอีพลันมีบางอย่างระเบิดออก ในหัวนางมีเสียงดังวิ้ง ก่อนจะกลายเป็นความว่างเปล่าไปอย่างรวดเร็ว
“ธิดาเทพ ธิดาเทพ ธิดาเทพ!”
ตอนเสวี่ยหลันอีหลุดจากภวังค์จากเสียงเรียกของสาวใช้นั้น นางพบว่าตนมายืนอยู่หน้าประตูห้องตนเอง
สาวใช้กางสองแขนขวางนางไว้ “ธิดาเทพ ท่านตื่นก่อน!”
เสวี่ยหลันอีสติกลับเข้าร่าง ตรงขยับมีเหงื่อเม็ดใหญ่ขนาดเท่าเม็ดถั่วผุดขึ้นมา
สาวใช้เอ่ยเตือนว่า “ธิดาเทพควรกลับห้องไปพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหลันอีหันไปมองหมิงซิวที่อยู่ใต้ชายคาแล้วเดินเหม่อกลับเข้าห้องไป
ตัวนางเข้าห้องไปแล้ว ก่อนจะมีเสียงทอดถอนใจอย่างอ้างว้างลอยออกมา “ข้ารอมาสองหมื่นปี…”
…
เช้าตรู่วันต่อมา ทุกคนตื่นกันหมดแล้ว เฉียวเวยเวยอยู่ในห้องกำลังวุ่นวายอยู่กับสายมัดเสื้ออยู่ นางทำขาดไปสามเส้นแล้ว มัดอย่างไรก็มัดไม่ได้สักที
อวิ๋นเชียนรั่วเดินเข้ามาอย่างไม่ยินดี “ข้ามาขอโทษเจ้า พี่หญิงเสวี่ยสั่งสอนข้าแล้ว บอกว่าเรื่องเมื่อวานข้าทำไม่ถูก ข้าไม่ควรอาละวาดใส่เจ้า ข้าขอเก็บคำพูดของข้าเมื่อวานคืน เจ้าพักอยู่ที่นี่เถิด จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ ข้าจะต้อนรับเจ้าเป็นอย่างดี”
เฉียวเวยเวยก้มหน้าก้มตามัดเสื้ออยู่
อวิ๋นเชียนรั่วงึมงำบ่นว่า “โง่จริงเชียว!”
“ข้าทำให้แล้วกัน”
พอเสียงอบอุ่นอ่อนหวานนั้นดังขึ้นก็มีมือเรียวยาวของเสวี่ยหลันอียื่นเข้ามา นางจับสายเสื้อเฉียวเวยเวยขึ้นมาอย่างเบามือแล้วมัดเป็นเงื่อนอย่างลื่นไหลสวยงาม
หมิงซิวนั่งอยู่ข้างนอกมาหนึ่งคืน ตอนเช้าตรู่เฉียวเวยเวยตื่นแล้วเขาถึงได้กลับไปอาบน้ำที่ห้อง เวลานี้พอเดินข้ามาพร้อมไอเทพที่สดชื่นก็เห็นเสวี่ยหลันอีกับอวิ๋นเชียนรั่วมาร่วมกันอยู่ในห้องของเฉียวเวยเวย
อาจเพราะเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจอะไรผิดเลยอธิบายเสียงหวานว่า “ข้าพารั่วเอ๋อร์มาขอโทษเวยเวยน่ะ”