หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 76 ทำร้ายธิดาเทพ มารมังกรน้อยภูมิใจ (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 76 ทำร้ายธิดาเทพ มารมังกรน้อยภูมิใจ (2)
ตอนพิเศษ 76 ทำร้ายธิดาเทพ มารมังกรน้อยภูมิใจ (2)
หมิงซิวทั้งขู่ทั้งปลอบสารพัด ในที่สุดก็ทำให้มารมังกรน้อยหายงอแงเสียที มารมังกรน้อยหลับตาและเริ่มหลอมเม็ดเน่ยตันแต่โดยดี
เม็ดเน่ยตันของสัตว์น้ำวิเศษโบราณมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก มารมังกรน้อยจำเป็นต้องใช้พละกำลังของตนในการฉีกมันออกให้เป็นรูก่อน แล้วค่อยทำเหมือนปั่นไหมออกจากดักแด้ ค่อยๆ ดึงพลังปราณเทพที่อยู่ข้างในออกมา แล้วดูดไปใส่เม็ดเน่ยตันของมารมังกรน้อย
ขั้นตอนนี้จะว่ายากก็ยากจะว่าง่ายก็ง่าย มีเพียงข้อเดียวที่หากเร่งร้อนเกินไป ดึงพลังออกมาทีเดียวมากเกินไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เม็ดเน่ยตันของมังกรน้อยเสียหาย
หมิงซิวนั่งอยู่ข้างมารมังกรน้อย คอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ทุกครั้งที่รู้สึกว่าใจร้อนเกินไปก็จะส่งพลังปราณเข้าไปกดพลังของมารมังกรน้อยเอาไว้
มารมังกรน้อยค่อยๆ เข้าสู่สภาวะที่ดีเลิศ
หมิงซิวรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าไอปราณของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมหาศาล เมื่อครั้งเข้ามาในแดนเทพใหม่ๆ บนตัวนางสัมผัสไม่ได้ถึงพลังที่สามารถต่อกรกับเผ่าเทพได้เลย แต่เวลานี้นางสามารถแผ่พลังปราณเทพอันหนาแน่นออกมาได้แล้ว
มารมังกรน้อยลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ผ่านไปแล้วสิบวัน เม็ดเน่ยตันของสัตว์น้ำวิเศษหลอมไปได้เกือบหมดแล้ว บางแผลของนางหายสนิทแล้ว ระดับการฝึกก็รุดหน้าจนเกิดเทพทางการทุกคนไปแล้ว หากนางหลอมเอาเม็ดเน่ยตันที่เหลือจนหมด บางทีนางอาจกลายเป็นพญาเทพแห่งเผ่ามังกรเลยก็ได้
แต่เห็นได้ชัดว่ามารมังกรน้อยไม่อยากฝึกต่อแล้ว หางน้อยๆ ป่ายปัด นอนแผ่หลาลงบนฟูกที่อ่อนนุ่ม
หมิงซิวทุ่มหน้าท้องที่ขาวเป็นชั้นของนาง “เหลืออีกแค่นิดเดียวแล้ว ข้าคอยช่วยเจ้าเฝ้าอยู่ อย่างมากไม่เกินสามวันก็หลอมเสร็จแล้ว”
มารมังกรน้อยพลิกตัวหนี ใช้หางกางผ้าห่มเอาคลุมศีรษะตนเอง
หมิงซิวบอกว่า “รู้จักเอาคลุมหน้าเสียด้วย เชื่อหรือไม่เดี๋ยวข้าจะตัดหางเจ้าทิ้งเสีย”
มารมังกรน้อยรีบเก็บหางทันที
หมิงซิวทั้งฉิวทั้งขัน “เหลืออีกแค่นิดเดียวแล้วจริงๆ ไว้หลอมเสร็จข้าจะพาเจ้าไปหาของกินที่ตลาด มีทั้งถังหูลู่ ขนมไส้กุหลาบ ขนมซิ่งเหริน…. เจ้าเลือกได้เลย”
สัตว์น้ำวิเศษยังย่อยไม่หมดเลย มังกรน้อยทำท่าว่าตนไม่หิวสักนิด!
หมิงซิวเอ่ยด้วยความจนใจ “เช่นนั้นเจ้าอยากได้อะไร”
มารมังกรน้อยโผล่เขามังกรอันจิ๋วที่งดงามออกมา รวมถึงสองตาโตดำขลับที่ส่องประกายด้วย
“อะไรก็ได้เลยหรือ”
หมิงซิวพยักหน้า “อื้อ อะไรก็ได้เลย”
มารมังกรน้อยยกหาขึ้นปิดหน้าด้วยท่าทางขัดเขิน
อยากได้จุ๊บ
หมิงซิวนึกขันกับท่าทางเอียงอายของนาง จังหวะนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก ประคองร่างที่เย็นจัดของนาง โน้มตัวลงไปจะจุมพิตหน้าผากที่งดงามของคนบนเตียง
แต่ในขณะที่กลีบปากเขากำลังจะแตะเข้ากับเกล็ดมังกรที่มีตราบัวน้ำแข็งทอประกายอยู่นั้น มังกรน้อยในอ้อมแขนก็พลันหายวับไป ที่เข้ามาแทนคือเรือนร่างอันอ่อนนุ่มของเด็กสาว
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
เขานิ่งอึ้งมองดวงหน้าที่อยู่ใกล้เพียงคืบ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเขาก็รีบปล่อยมือออก ทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน “เจ้าไม่ได้กินอะไรมาตั้งนานแล้ว คงจะหิวแย่ ข้าไปหาของกินจากห้องครัวมาให้เจ้าก่อนนะ”
พูดจบเขาออกรีบออกไปด้วยท่าทางลนลาน
จู๋อีถือส้มที่เพิ่งเด็ดใหม่เข้ามา “แม่นางอวิ๋นเด็ดมา นางบอกว่าเจ้าชอบกินเลยให้ข้าเอามาให้”
เฉียวเวยเวยไม่กิน นางอารมณ์ไม่แจ่มใส่นัก
จู๋อีรู้ว่านางกำลังอารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไร เมื่อครู่จู๋อีเห็นหมดแล้ว แต่จู๋อีไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร
“จู๋อี” เฉียวเวยเวยหันไปมองนาง “ข้าไม่สวยหรือ”
จู๋อีตอบโดยไม่ต้องคิด “สวยสิ เจ้าต้องสวยแน่ ข้ามีชีวิตอยู่มานานเพียงนี้ นอกจากธิดาเทพเสวี่ยซานแล้ว ข้าไม่เคยพบเห็นผู้ใดที่สวยกว่าเจ้ามาก่อน”
“เช่นนั้นข้าสวยหรือว่ามนุษย์นกนั่นสวย” เฉียวเวยเวยซักต่อ
มนุษย์นก อะแฮ่ม!
จู๋อีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าสวยสิ”
พูดจบนางก็รีบเปลี่ยนคำพูด “แต่ว่าความงามไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด”
“เช่นนั้นคืออะไรหรือ” เฉียวเวยเวยถาม
“เรื่องนี้…” จู๋อีเค้นสมองใช้ความคิด “เจ้าแต่งกลอนเป็นหรือไม่”
เฉียวเวยเวยส่ายหน้า
“เจ้าดีดฉินเป็นหรือไม่”
เฉียวเวยเวยส่ายหน้าอีกครั้ง
“เช่นนั้น… หมากรุกน่าจะเล่นเป็นกระมัง”
เฉียวเวยเวยยังคงส่ายหน้า
จู๋อีเดาะลิ้น “แม่คุณทูนหัว เหตุใดเจ้าไม่เป็นอะไรเลยเล่า”
เฉียวเวยเวยเอ่ยด้วยความข้องใจ “เหตุใดข้าต้องเป็นด้วย”
“…” จู๋อีพูดไม่ออก
จู๋อีพยักหน้า “ก็จริง ทำไมเจ้าต้องเป็นด้วย เป็นไปก็ไม่มีประโยชน์ ขอเพียงในใจท่านเทพยังมีสตรีนางนั้นอยู่ ก็คงไม่สนิทชิดเชื้อกับเจ้า”
เฉียวเวยเวยถามด้วยความฉงน “สตรีนางนั้นอะไรหรือ”
จู๋อีมองเฉียวเวยเวยด้วยความเห็นใจทีหนึ่ง “เจ้าไม่รู้จริงๆ ด้วย ช่างเถิดๆ ก็ไม่ใช่ความลับอะไร ช้าเร็วอย่างไรเจ้าก็ต้องได้ยินอยู่ดี เรื่องของท่านเทพกับธิดาเทพ”
ครั้นได้เอ่ยถึงธิดาเทพอีกครั้ง ในสายตาของนางไม่มีแววเลื่อมใสยำเกรงอย่างในคราแรกอีก นางหันไปมองเรือนที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าแล้วถอนหายใจด้วยความจนใจ “ท่านเทพกับธิดาเทพเคยถูกตาต้องใจกัน เวลานั้นท่านเทพยังเป็นคุณชายใหญ่แห่งตำหนักเมฆา แต่เสวี่ยหลันอีก็ไม่ใช่ธิดาเทพแห่งสำนักเทพเสวี่ยซาน นางเป็นเพียงคุณหนูจากเผ่าเล็กๆ แต่เพราะความสามารถที่เป็นเลิศเลยได้รับเลือกให้มาอยู่ในศาลเทพ เจ้าตำหนักเมฆาเลยได้รู้จักนางจากตอนนั้น ทั้งสองเพียงพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน ไม่เท่าไรก็ตกลงจะมีอนาคตร่วมกัน แต่น่าเสียดายที่ตำหนักเมฆาไม่ยอมรับ การแต่งงานครั้งนี้จึงไม่อาจดำเนินต่อไปได้ สุดท้ายไม่รู้อย่างไร เจ้าตำหนักเมฆาก็ตัดสินใจที่จะพานางหนี แต่คืนก่อนหน้าวันที่ทั้งสองนัดแนะกันจะหนี ตราพญาเทพก็มาลอยหายไป
ตราพญาเทพเป็นสิ่งที่ตำหนักเมฆาปกปักรักษามารุ่นต่อรุ่น เป็นของที่เสกขึ้นจากจิตใต้สำนึกของพญาเทพรุ่นที่หนึ่งของเผ่าเทพ ได้ยินว่ามันเก็บซ่อนความลับทั้งหมดของเผ่าเทพเอาไว้ และบันทึกวิชาเวทย์ที่ทรงอานุภาพที่สุดของเผ่าเทพไว้เช่นกัน น่าเสียดายที่ไม่มีคนสามารถบรรลุมันได้ ตำหนักเมฆาถึงแม้จะแบกภาระหน้าที่ในการปกปักรักษามันไว้ แต่กลับไม่อาจฝึกวิชานี้เป็นการส่วนตัวได้ มีคนบอกว่า เจ้าตำหนักเมฆาที่ลักเอาตราพญาเทพไปก็เพราะความลับกับวิชาเวทย์ที่อยู่ภายใน ครานั้นหากไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ท่านเทพกับธิดาเทพคงหนีไปด้วยกันได้แล้ว”
จู๋อีตบหลังมือเฉียวเวยเวย “เจ้าไม่ต้องเป็นทุกข์ไป ถึงอย่างไรก็ผ่านไปสองหมื่นปีแล้ว ความรู้สึกต่อให้ล้ำลึกเพียงใดก็คงสลายไปหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น… ในเผ่าเทพมีข่าวลือบอกว่า ธิดาเทพกับเทพเป่ยไห่มีความสัมพันธ์ที่ไม่กระจ่างชัดต่อกัน เจ้าตำหนักเมฆาเจ็บปวดและโกรธแค้นที่นางทรยศหักหลังตน ไม่ว่าอย่างไรคงไม่กลับไปสานต่อวาสนาเก่ากับนางอีกแล้ว เจ้าอดทนรออีกหน่อยเถิด ไว้รอให้ท่านเทพลืมนางจนหมดสิ้นก่อน เขาต้องมาอยู่ข้างกายเจ้าแน่”
…
ท่านเทพสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องครัวพักหนึ่ง แล้วจึงยกเกี๊ยวที่ต้มเสร็จแล้วกลับเข้าไปในห้อง
เฉียวเวยเวยกลับไม่อยู่ในห้องแล้ว
“เวยเวย” หมิงซิวเรียกหานาง วางเกี๊ยวลงบนโต๊ะ เดินไปด้านหลังม่านโปร่งสีเขียว เขาไม่เห็นเงาของเฉียวเวยเวย จึงไปดูที่ห้องด้านข้าง ห้องด้านข้างก็ไม่มี เขาคิดว่าบางทีนางอาจจะไปที่ห้องทำธุระส่วนตัว จึงนั่งรออยู่ในห้องอย่างใจเย็น
แต่เขารออยู่ครึ่งชั่วยามก็แล้ว นางก็ไม่กลับห้องมาเสียที เขาเลยไปที่ห้องของอวิ๋นเชียนรั่ว
“มังกรน้อยไม่ได้มานี่” อวิ๋นเชียนรั่วบอก “เมื่อครู่ข้าไปเด็ดส้มมา นางมาที่นี่แต่ข้าไม่รู้หรือไม่”
เคยหรือไม่เคยไม่สำคัญ ที่สำคัญคือตอนนี้นางไปอยู่ที่ไหน
อวิ๋นเชียนรั่วพูดต่อว่า “ใช่เพราะพี่เอาแต่บังคับให้นางบำเพ็ญวิชาหรือไม่ นางไม่พอใจท่านก็เลยไปหลบเสีย ท่านแผ่ดวงจิตออกไปหานางสิ!”
หากส่งดวงจิตไปแล้วได้ผล การเลี้ยงเจ้ามังกรน้อยตัวนั้นก็คงไม่เหนื่อยเพียงนี้แล้ว
ในใจคิดเช่นนี้ แต่หมิงซิวก็ยังแผ่ดวงจิตออกไป แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ดวงจิตของเขาจับหาไอปราณของเฉียวเวยเวยไม่ได้เลย
หมิงซิวส่งทุกคนออกตามหาไปทุกซอกทุกมุม ก็ไม่พบร่องรอยของเฉียวเวยเวยสักนิด
ก่อนหน้านี้เคยเป็นความสามารถที่เขาชอบที่สุด แต่เวลานี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของเขาไปแล้ว
แต่ที่น่าประหลาดก็คือ นางซุกซนก็จริง แต่นางจะไม่ออกห่างจากเขาง่ายๆ นางทิ้งเขาออกจากดินแดนลึกลับไปคนเดียวได้อย่างไร
จู๋อีก้มหน้างุด
สายตาแข็งกระด้างของหมิงซิวหยุดมองที่จู๋อี “เจ้าไปพูดอะไรกับนางอีกแล้วใช่หรือไม่”
จู๋อีเอ่ยด้วยความละอายใจ “ข้า…ข้าไม่ได้พูดอะไรนะ… ข้าเพียงแค่บอกว่าความรู้สึกที่ท่านมีต่อธิดาเทพจืดจางไปแล้ว อีกไม่นานก็จะลืมธิดาเทพได้อย่างสนิทใจ…”
หมิงซิวสายตาดุดันจนสามารถสังหารสัตว์วิเศษได้เลยทีเดียว!