หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 87 ศึกระหว่างท่านเทพ ความลับคูเมืองสวรรค์ (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 87 ศึกระหว่างท่านเทพ ความลับคูเมืองสวรรค์ (2)
ตอนพิเศษ 87 ศึกระหว่างท่านเทพ ความลับคูเมืองสวรรค์ (2)
บุรุษผู้นั้นมองหมิงซิวด้วยสายตาอบอุ่น “ตราพญาเทพ”
หมิงซิวตะลึงค้างไปตรงนั้น ต่อให้ใช้ชีวิตมาแล้วสองหมื่นปี ต่อให้ท่องมาแล้วทั่วหกแดน ก็ไม่คิดว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนต้องตกใจกับฐานะของตนเช่นนี้
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือเมื่อได้ยินสิ่งที่ออกจากปากอีกฝ่าย เขาถึงกับไม่นึกคลางแคลงใจเลยสักนิด
อวิ๋นเชียนรั่วตกใจมากเช่นกัน “พวกท่าน…พวกท่านพูดเรื่องอะไรกัน ใครเป็นพี่ใหญ่ของข้ากันแน่ ตราพญาเทพอะไรกัน”
เจ้าตำหนักเมฆายกมือที่เรียวยาวของตนขึ้นแยกตรงหว่างคิ้วของอวิ๋นเชียนรั่ว สองตาอวิ๋นเชียนรั่วพลันปิดลง สลบอยู่ในอ้อมแขนของหมิงซิว
หมิงซิวมือข้างหนึ่งอุ้มมารมังกรน้อยที่เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมลงเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งโอบประคองอวิ๋นเชียนรั่ว แล้วใช้ดวงจิตสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของนาง เขามองไปทางเจ้าตำหนักเมฆาขณะเอ่ยว่า “เจ้าลบความทรงจำของนางหรือ”
เจ้าตำหนักเมฆาหัวเราะเบาๆ
หมิงซิวมองอีกฝ่ายอย่างใช้ความคิด “เจ้า…”
เจ้าตำหนักเมฆายิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรหรอก นางไม่จำเป็นต้องจำข้าได้ จำเจ้าได้ก็พอแล้ว”
หมิงซิวตอบรับคำหนึ่งแล้วกล่อมมารมังกรน้อยให้พาอวิ๋นเชียนรั่วเข้าไปในห้อง
เมื่อภายในสวนดอกไม้ไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว เจ้าตำหนักเมฆาก็ชี้ไปยังกระดานหมากบนโต๊ะ “เล่นกันสักตาไหม ฝีมือการเดินหมากของเจ้าข้าเป็นคนสอนเองกับมือ ไม่รู้ว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ฝีมือเจ้าพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่”
หมิงซิวลงนั่งตรงข้ามเขา
หากผู้พิพากษาชุยอยู่ที่นี่คงต้องตกใจมากแน่ที่เห็นว่าต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ทุกกระถาง กระทั่งโต๊ะหิน เก้าอี้หิน กระดานหมากรวมถึงชุดน้ำชาข้างกระดานหมากทั้งหมด เหมือนกับที่หมิงซิวใช้ตอนอยู่ในยมโลกทุกชิ้น มีเพียงจุดเดียวที่ไม่เหมือนกันคือในยมโลกไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่ที่นี่ดูจะสว่างกว่าเล็กน้อย
“เจ้ายังจำที่นี่ได้หรือไม่”
หมิงซิวส่ายหน้า ตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ถึงจะจำไม่ได้แต่ที่พักของข้าในยมโลกมีการจัดวางเช่นนี้ทุกอย่าง”
“ที่แท้เจ้าก็ไปอยู่ที่ยมโลกนี่เอง… แต่ก็ใช่ เจ้าเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณเท่านั้น ไม่มีที่ใดจะเหมาะแก่การหลบซ่อนตัวเท่ายมโลกอีกแล้ว” เจ้าตำหนักเมฆาเก็บหมากออกจากกระดานจนหมดแล้วรินชาให้หมิงซิวถ้วยหนึ่ง “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องที่คาใจอยู่มาก เจ้าคงอยากถามข้าว่าเมื่อตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไปจากแดนเทพได้ เหตุใดความทรงจำของเจ้าถึงไม่ใช่เรื่องของตัวเจ้าเองแต่เป็นเรื่องของข้า และเหตุใดข้ากับเจ้าถึงได้หน้าตาเหมือนกัน”
หมิงซิวยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ กลิ่นหอมของชาที่คุ้นเคยค่อยๆ แผ่จากไรฟันกระจายไปทั่วปาก ในหัวของเขามีเสียงของเจ้าตำหนักเมฆากับเสียงเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้น
“รสชาติดีไหม”
“ไม่เห็นจะดีเลย! ข้าไม่กินอีกแล้ว!”
เด็กผู้ชายคนที่เจ้าตำหนักเมฆาจูงออกมาจากตำหนักพญาเทพ…ก็คือเขา?!
สายตาอบอุ่นของเจ้าตำหนักเมฆาหยุดมองดวงหน้าหล่อเหลา “จำได้หรือยัง”
หมิงซิววางถ้วยชาลง “ยังจำอะไรได้ไม่มาก”
เจ้าตำหนักเมฆายื่นมือที่คล้ายจะเปล่งประกายได้ออกมาแตะบนหน้าผากหมิงซิวเบาๆ “ตอนนี้เล่า”
หมิงซิวส่ายหน้า “ในหัวยังไม่มีอะไรเลย”
เจ้าตำหนักเมฆาหันมองระลอกน้ำด้านนอกข่ายอาคม เขาเอ่ยอย่างไม่รู้สึกแปลกใจว่า “ความทรงจำของเจ้าติดอยู่กับดวงจิตตั้งต้นของเจ้า ไม่แปลกที่เจ้าจะจำไม่ได้ ไม่เป็นไร ข้าบอกเจ้าให้ก็เหมือนกัน เดิมทีเจ้าไม่ใช่ตราพญาเทพ แต่เป็นไอปราณที่ถือกำเนิดมาคู่กับความวุ่นวายก่อนที่พิภพและสวรรค์จะถือกำเนิดขึ้น เจ้าคือต้นกำเนิดของปราณทั้งปวง เจ้าปลุกผานกู่ต้าตี้ให้ตื่น ทำให้เขามีพละกำลังที่สามารถเปิดฟ้าแหวกพสุธาได้ หลังจากนั้นเจ้าก็ติดตามผานกู่ต้าตี้ไปเป็นเวลานานแสนนาน หรือบางที…อาจจะเป็นผานกู่ต้าตี้ที่ติดตามเจ้า ก่อนที่ผานกู่ต้าตี้จะดับขันธ์ เจ้ายังไม่เกิดปราณปัญญา เขาจึงฝากฝังเจ้าไว้กับเทพธิดาหนี่ว์วา เทพธิดาหนี่ว์วากับทายาทของนางจะคอยปกปักษ์รักษาเจ้าไว้ตลอดชั่วอายุคน แต่จวบจนกระทั่งเมื่อสองหมื่นปีก่อน เจ้าก็ยังไม่เกิดปราณปัญญา จนกระทั่ง…”
“จนกระทั่งอะไร” หมิงซิวถาม
เจ้าตำหนักเมฆาอมยิ้มเอ่ยว่า “จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งที่ข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าไม่กล้าให้ตำหนักเมฆารู้ จึงแอบเข้าไปในตำหนักพญาเทพเพื่อรักษาแผล เลือดของข้าหยดถูกกายของเจ้า เจ้าถึงได้เริ่มพูด”
หมิงซิวถามด้วยความสงสัย “ข้า…พูดว่าอะไร”
“เด็กจากไหนกันที่กล้าทำเลือดหยดใส่ลุงทวดของทวดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เช่นนี้ เจ้า อยากตายหรือ!”
ในหัวเจ้าตำหนักเมฆามีเสียงข่มขู่ของเด็กน้อยดังขึ้น นัยน์ตาปรากฏแววหยอกเย้า “อา ลืมไปแล้วหรือ”
หมิงซิวมองอีกฝ่ายอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เจ้าตำหนักเมฆาเม้มปาก พยายามกลั้นขำเอาไว้
หมิงซิวรู้สึกว่าเจ้าคนนี้หัวเราะได้น่าซัดดีเหลือเกิน! หมิงซิวเอ่ยถามเสียงเยือกเย็น “ที่บนตัวข้ามีกลิ่นไอของเจ้า เกี่ยวกับที่เจ้าใช้ไออุ่นจากเลือดเลี้ยงดูข้าหรือไม่”
เจ้าตำหนักเมฆาอมยิ้มพยักหน้า “ข้าให้ความอบอุ่นเจ้าไม่เท่าไร เจ้าก็ฝึกจนแปลงร่างเป็นคนได้แล้ว ตอนนั้นเจ้าเคยเห็นเพียงข้า จึงแปลงร่างเป็นอย่างข้า บางครั้งเจ้าวิ่งออกไปข้างนอก เจ้ากับอาเยี่ยอายุไล่เลี่ยกัน อาเยี่ยกับข้าหน้าตาคล้ายกัน คนในจวนพอเห็นเจ้าจึงคิดว่าเจ้าเป็นอาเยี่ย เจ้าไม่เคยถูกใครจับได้มาก่อน เพียงแต่…”
เจ้าตำหนักเมฆาเอ่ยถึงตรงนี้สีหน้าก็ดูเศร้างลงทันที
“เพียงแต่อะไร” หมิงซิวถาม
“สุดท้ายเจ้าก็ถูกคนจับได้”
“เสวี่ยหลันอี?”
“นางนั่นแหละ”
ใช้หัวแม่เท้าคิดก็เดาได้ว่าเป็นนาง นอกจากนางแล้วยังจะมีใครที่สนิทสนมกับเจ้าตำหนักเมฆาพอที่รู้ความลับของตำหนักพญาเทพอีก
เจ้าตำหนักเมฆาก็รู้ว่าหมิงซิวรู้เรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อหมิงซิวเดาถูก เขาจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
หมิงซิวถามเสียงเรียบ “นางเอาเรื่องข้าไปพูดหรือ”
“นาง…” เจ้าตำหนักเมฆาชะงักไป ทำท่าคล้ายอยากเอ่ยบางอย่าง
หมิงซิวรู้สึกว่าเขาข้ามเรื่องบางอย่างที่สำคัญที่สุดไป แต่นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ในเมื่อเขาไม่อยากบอก หมิงซิวก็ไม่คิดจะเค้นถามให้ได้ความ
เจ้าตำหนักเมฆาเล่าต่อว่า “คืนก่อนที่ข้ากับนางนัดแนะว่าจะหนีไปด้วยกันนั้น นางถูกจอมเทพดึงเอาความทรงจำไป จอมเทพเลยได้รู้เรื่องของเจ้า ก่อนหน้านี้ที่จอมเทพไม่หมายใจในเจ้าก็เพราะเขาเข้าไปยังตำหนักพญาเทพไม่ได้ แต่ในเมื่อเจ้าแปลงร่างได้แล้ว เขาก็สามารถล่อเจ้าออกมาได้ จอมเทพจับตัวข้าไว้ บังคับให้เจ้าเอาตัวเองเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน เจ้าก็ยอมไป เดิมทีเจ้าคิดจะสังหารจอมเทพทิ้งเสีย แต่ก็จนใจที่คนผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก ในขณะที่เจ้ากำลังจะพุ่งการโจมตีใส่เขา จู่ๆ เขาก็ผละออกจากร่างต้นของจอมเทพ ซ้ำยังดูดพลังปราณส่วนหนึ่งของเจ้าไปด้วย”
หมิงซิวไม่เข้าใจ “ช้าก่อน ออกจากร่างต้นของจอมเทพ?”
เจ้าตำหนักเมฆาตีหน้าผากตัวเองทีหนึ่ง “อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไป จอมเทพที่เจ้าเห็นในทุกวันนี้ไม่ใช่จอมเทพที่แท้จริง จอมเทพที่แท้จริงตายไปนานแล้ว เวลานี้ที่เจ้าเห็นคือจิตมารของจอมเทพ จิตมารดูดเอาพละกำลังของจอมเทพไป ยึดแย่งเอาร่างต้นของจอมเทพ และสุดท้ายก็ยังให้จอมเทพตายด้วยน้ำมือของเจ้า”
หมิงซิวเลิกคิ้ว “หากกล่าวเช่นนี้ก็เป็นข้าที่สังหารจอมเทพน่ะสิ”
เจ้าตำหนักเมฆาถอนหายใจ “เรื่องนี้จะโทษเจ้าได้อย่างไร เป็นพวกเราทุกคนที่หลงกลจิตมาร จิตมารพาเอาพลังปราณที่สูบไปจากตัวเจ้าออกตามหาพลังของผานกู่ต้าตี้ ไม่รู้เขาใช้วิชาอะไรถึงได้เรียกใช้ขุมพลังนั้นได้ ขุมพลังนั้นถูกไอมารของเขาแพร่เชื้อใส่จึงกลายเป็นพลังที่บ้าระห่ำและเลือดเย็น เขาคิดจะสังหารข้า สังหารเจ้า หากเขาทำสำเร็จก็จะไม่มีใครอีกแล้วที่ล่วงรู้ความลับของเขา พลังฝึกตนของข้าไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเขา จึงจำต้องขอยืมใช้ดวงจิตตั้งต้นของเจ้า จัดการผนึกพลังของผานกู่ต้าตี้เอาไว้ในคูเมืองสวรรค์… แต่จิตมารยังอยู่ ข้าไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับตำหนักเมฆา ข้าจึงเหลือเพียงดวงวิญญาณเร่ร่อนให้กับเจ้า และหวังว่าเจ้าจะหนีออกไปจากแดนเทพ”
หมิงซิวเอาสองมือกอดอก “บรรลุตามที่ต้องการ”
เจ้าตำหนักเมฆา “ขอเพียงเจ้ายังมีชีวิตอยู่ คนของตำหนักเมฆาก็จะไม่มีประโยชน์เอาไว้ข่มขู่เจ้า และพวกเขาก็จะได้อยู่รอดไปด้วย”
หมิงซิวไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดในหัวข้าถึงมีแต่ความทรงจำของเจ้าเล่า”
บนหน้าเจ้าตำหนักเมฆามีแววรู้สึกผิด “หลังจากเจ้าใช้ดวงจิตตั้งต้นผนึกคูเมืองสวรรค์เอาไว้ก็จำอะไรไม่ได้อีก ข้าเป็นกังวลว่าเจ้า…”
หมิงซิวยิ้มเย็นพลางเอ่ยขัดเขา “กังวลว่าข้าจะไปแล้วไปลับ เลยแบ่งความทรงจำส่วนหนึ่งมาให้ข้า ให้ข้าเข้าใจว่าข้าก็คือเจ้าตำหนักเมฆา ให้ข้าห่วงหาถึงน้องชายและน้องสาวของข้า ขอเพียงข้ายังนึกถึงพวกเขา ก็ต้องมีสักวันที่ข้ากลับมาช่วยพวกเขา”
เจ้าตำหนักเมฆาถอนหายใจเบาๆ “ขอโทษด้วย ข้าเองที่เห็นแก่ตัวเกินไป”
หมิงซิวมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าซับซ้อน “เจ้าเห็นแก่ตัวมากจริงๆ สองหมื่นปีมาแล้วที่ข้าเฝ้าห่วงหาน้องชายน้องสาว ข้าเป็นห่วงตำหนักเมฆาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่แท้จริงแล้วทั้งหมดนั่นไม่ใช่ของข้า ไม่มีเรื่องใดที่น่าขันกว่านี้อีกแล้ว”
พูดจบเขาก็ยิ้มเยาะให้ตนเอง หัวใจของเขาไม่ใช่ก้อนหิน เขายังรู้สึกดีใจ ยังรู้สึกเสียใจ ตั้งแต่แวบแรกที่เขาได้พบบุรุษผู้นี้ เขาก็รู้ว่าตนชอบอีกฝ่ายเหมือนที่ตนชอบอาเยี่ยกับอวิ๋นเชียนรั่ว แต่คนที่ทำกับเขาได้อย่างเลือดเย็นเช่นนี้…ก็คือเขาคนนี้เช่นกัน
หมิงซิวหันไปมองมังกรน้อยที่นั่งอยู่ในห้อง แต่คอยชะเง้อแอบมองมาที่เขาเป็นระยะๆ… สุดท้ายแล้วสิ่งเดียวที่เขามีก็คือนางเพียงผู้เดียว
แต่หากไม่ใช่เพราะตนได้แปลงร่าง น่ากลัวว่าคงไม่มีโอกาสแม้จะได้พบหน้า
เมื่อคิดเช่นนี้หมิงซิวก็ยังรู้สึกว่าตนต้องขอบคุณเจ้าตำหนักเมฆา
หากจะบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องแลกมาเพื่อให้ได้พบนาง เช่นนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่สำคัญเลยสักนิด
มารมังกรน้อยเห็นว่าหมิงซิวรู้แล้วว่าตนแอบมอง เลยหดศีรษะกลับไป เหลือไว้เพียงหางเล็กๆ ที่ปัดป่ายไปมาอยู่บนพื้นอย่างตั้งใจ
นัยน์ตาหมิงซิวฉายแววขบขันที่แม้แต่ตนเองก็ยังไม่รู้สึกตัว เขาดึงสายตาที่มองไปทางมังกรน้อยกลับมา “เจ้าไม่ต้องขอโทษข้าหรอก ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะได้มาโดยไม่ต้องออกแรง สิ่งที่ข้าได้มาล้ำค่าเกินไป ทุกสิ่งที่ต้องแบกรับก็ย่อมต้องหนักหน่วงเป็นธรรมดา”
เจ้าตำหนักเมฆามีหรือจะไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร เจ้าตำหนักเมฆาอมยิ้มมองหางมังกรน้อยที่ป่ายปัดไปมา “เจ้าตัวเล็กนี่กินสัตว์เฝ้าประตูของข้าไปแล้วยังกล้าเข้ามาในตำหนักข้าอีก ไม่กลัวข้าตัดหางนางทิ้งหรือ”
มารมังกรน้อยรีบกอดหางตัวเองด้วยความกลัว
“เจ้ากล้าหรือ” หมิงซิวขู่กลับ
เจ้าตำหนักเมฆาหัวเราะเบาๆ
เรื่องที่ผ่านไปแล้วหมิงซิวไม่อยากซักไซ้ สถานการณ์ในเวลานี้ต่างหากที่สำคัญที่สุด “ผนึกในกายอาเยี่ยเจ้าเป็นคนใส่ไว้?”
เจ้าตำหนักเมฆาบอกว่า “ข้าเป็นคนขอให้เจ้าผนึกไว้เอง ข้ากลัวว่าพลังฝึกตนของอาเยี่ยจะถูกจิตมารของจอมเทพดูดไป เลยขอให้เจ้าช่วยผนึกมันเอาไว้ชั่วคราว”
หมิงซิวไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดข้าถึงคลายออกไม่ได้”
เจ้าตำหนักเมฆาแหงนมองประกายน้ำที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือศีรษะ “ผนึกของอาเยี่ยอยู่คู่กับผนึกของคูเมืองสวรรค์ เมื่อเจ้าเก็บพลังผนึกกลับไป ผนึกของเขาก็จะคลายออกเอง เจ้ายังมีอะไรอยากถามหรือไม่”
หมิงซิวนิ่งมองใบหน้าอีกฝ่าย “เจ้าตายไปตั้งแต่เมื่อไร”