หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 88-1 พญาบัวทองคำสู้ศึกจอมเทพ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 88-1 พญาบัวทองคำสู้ศึกจอมเทพ
ตอนพิเศษ 88-1 พญาบัวทองคำสู้ศึกจอมเทพ
หลังจากเดินหมากจบหนึ่งตา เจ้าตำหนักเมฆากลับตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เจ้าตำหนักเมฆาวางเม็ดหมากลงแล้วหัวเราะอย่างนึกสะท้อนใจ “เมื่อก่อนเจ้าแตะกระดานหมากหนใดเป็นต้องแพ้ ยามนี้ก้าวหน้าขึ้นมากทีเดียว”
หมิงซิวตอบว่า “มีเวลาว่างอยู่สองหมื่นปีย่อมต้องหาสิ่งใดมาฆ่าเวลากันบ้าง”
เจ้าตำหนักเมฆาลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปดูรั่วเอ๋อร์สักหน่อย”
หมิงซิวครางตอบในลำคอก่อนจะหันไปส่งสายตาให้มังกรมารน้อยที่อยู่ในห้อง มังกรมารน้อยวิ่งตุ้บตั้บออกมาแล้วกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
เจ้าตำหนักเมฆาเหลือบมองมังกรน้อยแล้วว่าอย่างแปลกใจ “ช่างเป็นมังกรที่ขี้เกียจจริงเชียว เจ้ากินเข้าไปตั้งนานขนาดนั้นแล้วยังสลายเม็ดเน่ยตันไม่เสร็จอีก” เขากล่าวจบก็ใช้ปลายนิ้วจิ้มที่จุดตันเถียนของมังกรน้อย เม็ดเน่ยตันของสัตว์น้ำโบราณครึ่งเม็ดสุดท้ายก็ถูกสลายและดูดกลืนอย่างสมบูรณ์
โอ๋!
มังกรมารน้อยส่ายหางเล็กๆ อย่างเบิกบานใจ
เจ้าตำหนักเมฆาอมยิ้มเดินเข้าไปในห้อง อวิ๋นเชียนรั่วนอนอยู่บนฟูกเตียงนุ่มนิ่ม ลมหายใจลื่นไหลผ่อนยาว คราแยกจากนางเพิ่งอายุเจ็ดแปดปี ยามหวนมาพบอีกหนกลับเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ปลายนิ้วของเจ้าตำหนักเมฆาลูบพวงแก้มของอวิ๋นเชียนรั่วเบาๆ
อวิ๋นเชียนรั่วผู้นอนหลับใหลไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อนางลืมตาตื่นขึ้นมาอีกหน นางก็จะลืมเลือนเขาไปอีกครั้ง
ดวงตาของเจ้าตำหนักเมฆาฉายแววเศร้าหมองวูบหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็เดินออกมาจากห้องของอวิ๋นเชียนรั่ว เจ้าตำหนักเมฆาเดินไปยังลานด้านหน้าที่พวกเขาทั้งหลายร่วงลงมา อวิ๋นเยี่ยนอนตะแคงอยู่บนผืนหญ้าเขียวชอุ่ม ร่างของเขาผอมบางเกินไป อาภรณ์จึงดูหลวมโพรกอยู่เล็กน้อย
สมัยยังเล็กเขากับเจ้าตำหนักเมฆาหน้าตาเหมือนกันมาก แต่เมื่อเติบใหญ่ก็เริ่มมีส่วนที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง
“เขาดูเหมือนจะรู้ว่าข้าคือผู้ใด” หมิงซิวเดินมาอยู่ด้านหลังเจ้าตำหนักเมฆาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
“เช่นนั้นหรือ” เจ้าตำหนักเมฆาพึมพำ
หมิงซิวพยักหน้า “เขาพูดจายั่วยุข้าอยู่ตลอด ถามว่าข้ายังจำเรื่องนี้ได้หรือไม่ ยังจำเรื่องนั้นได้หรือไม่ ยามนั้นข้าคิดว่าเขากำลังเหน็บแนมข้า แต่ยามนี้นึกทบทวนดู เขาคงหวังให้ข้ารู้สึกตัวว่าความจริงแล้วข้ามิใช่เจ้า”
เจ้าตำหนักเมฆาส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไร ข้าไม่เคยเอ่ยถึงเจ้ากับเขา บางที…เขาอาจจะบังเอิญเห็นเข้า”
ตำหนักเมฆาก็ใหญ่เพียงเท่านี้ บ่าวรับใช้อาจแยกหมิงซิวกับอวิ๋นเยี่ยไม่ออก แต่ตัวอวิ๋นเยี่ยเองย่อมรู้ดี ขอเพียงอวิ๋นเยี่ยเคยบังเอิญพบหมิงซิวสักหน เขาย่อมมีเมล็ดแห่งความสงสัยฝังอยู่ในใจแล้ว
ในเมื่อหมิงซิวเคยเข้าออกตำหนักเมฆามาสองร้อยปี อวิ๋นเยี่ยย่อมมีเวลามากพอจะสืบหาความจริง เขารู้ทุกสิ่งอยู่แล้วแต่เขาไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
เขาต่อว่าหมิงซิวก็เพราะเขาคิดว่าเดิมทีแล้วพี่ใหญ่ของเขาไม่ต้องตายก็ได้ ในตอนที่ปิดผนึกคูเมืองสวรรค์ครั้งนั้น พลังของตราพญาเทพมีมากพอจะปิดผนึกอยู่แล้ว แต่หากทำเช่นนั้นหลังจากผนึกเสร็จ ตราพญาเทพก็คงใกล้ดับสูญ เพื่อมอบโอกาสรอดให้ตราพญาเทพ เจ้าตำหนักเมฆาจึงใช้จิตตั้งต้นของหมิงซิวเพียงครึ่งใหญ่เพื่อสร้างผนึกส่วนใหญ่ ก่อนจะใช้ร่างกายและจิตตั้งต้นของตนเองทดแทนจิตตั้งต้นอีกครึ่งเล็กที่เหลือ
หากรอดได้เพียงหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยย่อมหวังให้ผู้ที่รอดคือพี่ใหญ่ของตนเอง
เจ้าตำหนักเมฆาลูบหน้าผากของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ “เด็กโง่ เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่หรือ แต่ว่าข้ากำจัดจิตมารมิได้”
ดังนั้นจึงได้แต่ยอมให้ตราพญาเทพเป็นฝ่ายรอด
ปลายนิ้วของเจ้าตำหนักเมฆาแตะลงกลางหว่างคิ้วของอวิ๋นเยี่ย “ยามเจ้าลืมตาตื่น เจ้าจะลืมเลือนเรื่องเหล่านี้ เขาคือพี่ใหญ่ของเจ้า เป็นเขาเสมอมา”
เจ้าตำหนักเมฆาใช้พลังปราณเทพลบความทรงจำของอวิ๋นเยี่ยเสร็จ ร่างกายของเขาก็เริ่มเลือนรางจนเกือบจะโปร่งใส “ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปเก็บผนึกกลับคืน หลังจากเจ้าเก็บพลังของตนเองกลับไปแล้ว พลังของผานกู่ต้าตี้ที่ถูกสะกดไว้ ณ ก้นทะเลสาบก็จะปรากฏอีกครั้ง เจ้าจงใช้กระจกปี้คงนำมันจากไป กระจกปี้คงเป็นภาชนะที่ทนทานและแข็งแกร่งกว่าคูเมืองสวรรค์มาก อีกทั้งตัวมันเองก็มีพลังในการผนึกสิ่งต่างๆ อยู่ประมาณหนึ่ง เจ้าผนึกพลังของผานกู่ต้าตี้ไว้ในกระจกปี้คงย่อมง่ายกว่าผนึกไว้ในคูเมืองสวรรค์มาก”
หมิงซิวไม่ถามเจ้าตำหนักเมฆาว่าเขามองออกได้อย่างไรว่ามังกรมารน้อยพกกระจกปี้คงมาด้วย ทั้งที่มันถูกอำพรางอยู่แท้ๆ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าเล่า” หมิงซิวถาม “ข้าเก็บผนึกกลับมาแล้ว เจ้าก็จะหายไปหรือ”
เจ้าตำหนักเมฆาอมยิ้มพยักหน้า
ร่างกายของเขา จิตตั้งต้นของเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผนึกนานแล้ว สิ่งที่แตกต่างกันก็คือชีวิตของเขาได้หลั่งไหลหายไปหมดสิ้นแล้ว หลงเหลือเพียงดวงจิตเสี้ยวสุดท้ายที่เขาทิ้งเอาไว้ เมื่อผนึกหายไป ดวงจิตเสี้ยวนี้ก็ย่อมสลายไปด้วย
หมิงซิวเหลือบมองอวิ๋นเยี่ยที่นอนตะแคงหันหลังให้ทั้งสองคนอยู่ “อาเยี่ยต้องไม่รู้แน่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เขาคิดว่าเมื่อไร้ผนึกแล้ว เจ้าจะได้กลับบ้าน”
เจ้าตำหนักเมฆาคลี่ยิ้ม
อวิ๋นเยี่ยกำนิ้วมือใต้แขนเสื้อกว้างแน่น ปลายหางตามีน้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงมา
…
บนชายฝั่งโล่งเตียนริมคูเมืองสวรรค์ หนีฉางกับเทพเป่ยไห่นำกองทัพนับหมื่นมาตั้งทัพจับจ้องอย่างมาดร้าย พวกหมิงซิวถูกกวาดลงไปก้นทะเลสาบเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว เหตุไฉนจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด
“พวกเขาตายแล้วหรือ” หนีฉางถาม
“ข้าก็หวังว่าเขาจะตายแล้ว แต่ระดับการฝึกตนของเขามิได้ถูกสะกดไว้…” ดวงตาของเทพเป่ยไห่ฉายประกายเย็นยะเยือก จวบจนวันนี้เทพเป่ยไห่ก็ไม่ทราบเรื่องระหว่างตราพญาเทพกับเจ้าตำหนักเมฆา เขากับทุกคนในแดนเทพต่างคิดว่าสิ่งที่ถูกผนึกอยู่เบื้องล่างนี้คือสัตว์น้ำโบราณ ทว่าสัตว์น้ำโบราณถูกมังกรน้อยสังหารไปแล้ว เช่นนั้นน้ำแข็งใต้พิภพแผ่นเมื่อครู่เป็นฝีมือของผู้ใดอีก
“จอมเทพ…เคยบอกท่านหรือไม่ว่าด้านล่างผนึกสัตว์น้ำโบราณไว้กี่ตัว” หนีฉางรู้สึกตงิดเหมือนจอมเทพมีความลับใดปิดบังพวกเขาอยู่
เทพเป่ยไห่ก็รู้สึกว่าพี่ใหญ่ของตนมีบางอย่างปกปิดอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่รักเขามาก ทว่าตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบที่เขานิสัยแปลกไป แน่นอนถึงในใจเขาจะรู้สึกเช่นนี้ แต่อยู่ต่อหน้าผู้อื่นเขาย่อมไม่สะดวกจะวิจารณ์พี่ใหญ่ของตนเอง
เขาเอ่ยว่า “คูเมืองสวรรค์แห่งนี้จะดีจะเลวก็อยู่มาหมื่นๆ ปีแล้ว ข้างใต้มีสิ่งร้ายกาจซ่อนอยู่มากมายเท่าใด ผู้ใดจะบอกได้เล่า”
หนีฉางกล่าวอีกว่า “แต่สัตว์น้ำโบราณตายแล้ว เหตุใดจอมเทพจึงไม่คลายผนึกที่คูเมืองสวรรค์เสียเล่า”
ตามหลักแล้ว จอมเทพเป็นผู้สร้างผนึกที่คูเมืองสวรรค์เพื่อผนึกสัตว์น้ำโบราณที่จอมเทพมิอาจสังหารตัวนั้น ยามนี้สัตว์น้ำโบราณถูกกำจัดแล้วก็สมควรจะเก็บตราผนึกกลับไปจริงๆ แต่จอมเทพกลับชักช้าไม่เคลื่อนไหวสักที
เทพเป่ยไห่กลับไม่ประหลาดใจเรื่องที่จอมเทพยังไม่คลายผนึก ไม่ว่าอย่างไรคูเมืองสวรรค์ก็เชื่อมกับหอคอยผนึกปีศาจ การมีผนึกที่สะกดพลังการฝึกตนได้เช่นนี้อยู่ ณ ที่นี้ย่อมรับประกันความปลอดภัยของหอคอยผนึกปีศาจได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่เทพเป่ยไห่ประหลาดใจคืออีกเรื่องหนึ่ง ในเมื่อแม้แต่จอมเทพก็สังหารสัตว์น้ำโบราณตัวนั้นไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นมันถูกมังกรน้อยขย้ำตายได้เช่นไร เห็นชัดๆ ว่ามังกรน้อยสู้จอมเทพไม่ได้…
เขารู้สึกว่าคูเมืองสวรรค์มีบางสิ่งแปลกๆ
ขณะที่เขากำลังสงสัย หนีฉางก็ตั้งคำถามออกมาอีกว่า “ประเดี๋ยวนะ น้ำแข็งใต้พิภพเป็นอาวุธของจอมเทพมิใช่หรือ”
เทพเป่ยไห่มองนางอย่างเย็นชา “อะไร เจ้าสงสัยว่าจอมเทพซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำแล้วช่วยเหลือพวกเขาหรือ เจ้าอย่าลืมว่าเมื่อครู่ผู้ที่ลงมือก็คือจอมเทพ!”
หนีฉางหันกลับมาถลึงตาใส่เขาบ้าง “ข้าจึงแปลกใจอย่างไรเล่า”
เทพเป่ยไห่ข่มเพลิงโทสะ “เรื่องนี้มิมีสิ่งใดแปลก อาวุธชิ้นนั้นหายไปนานแล้ว”
ความจริงมันถูกมอบให้เจ้าตำหนักเมฆาต่างหาก พูดไปแล้วก็น่าโมโหนัก เขาต่างหากที่เป็นน้องชายแท้ๆ ของจอมเทพ ทว่าตั้งแต่ก่อนหน้านี้จอมเทพก็รักเจ้าตำหนักเมฆามากกว่า แล้วยังยกน้ำแข็งใต้พิภพที่เขาปรารถนาจนน้ำลายยืดให้อีกฝ่ายด้วย เขาโกรธจอมเทพเพราะเรื่องนี้นานถึงสองร้อยปี
ยังดีที่เจ้าตำหนักเมฆาไม่เอาไหน เขาดันขโมยตราพญาเทพไปจนแตกคอกับพี่ใหญ่ของตน สมน้ำหน้า!
แต่จะว่าไปแล้ว คนที่ลงมือเมื่อครู่ก็ดูเหมือนจะมิใช่เจ้าตำหนักเมฆา
เทพเป่ยไห่คิดไม่ตก เขาจึงตัดสินใจเลิกคิดแล้วหันมาตั้งใจจับจ้องผิวทะเลสาบ หากเป็นผู้อื่นก็ช่างเถิด แต่ท่านเทพที่มิได้ถูกสะกดพลังกับมังกรน้อยที่เขมือบสัตว์น้ำโบราณได้คงไม่มีทางตายอยู่ในคูเมืองสวรรค์ง่ายๆ เช่นนี้แน่
ตอนนั้นเองหนีฉางก็โพล่งขึ้นมา “รีบดูนั่นเร็ว! ผิวน้ำแหวกออกแล้ว”
เทพเป่ยไห่มองตามไปก็เห็นผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแยกออกทีละนิดอย่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่ลูกธนูที่ถูกแช่แข็งกลางอากาศเหล่านั้นจู่ๆ ก็ละลายแล้วร่วงลงมาดอกแล้วดอกเล่า จากนั้นบนผิวน้ำพลันมีแสงสีทองอ่อนฉายออกมา
หนีฉางถามอย่างไม่เข้าใจ “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เทพเป่ยไห่แผ่จิตสัมผัสออกไปตรวจสอบเสร็จก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ผนึกที่คูเมืองสวรรค์หายไปแล้ว”
หนีฉางยิ้มแย้มยินดีปรีดา “ท่านจอมเทพคล้ายผนึกแล้วสินะ”
“หากเป็นจอมเทพก็คงดี…” สายตาของเทพเป่ยไห่จับจ้องวังน้ำวนขนาดใหญ่ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางผิวน้ำ พลังงานสีทองไหลวนเป็นเกลียวเข้าไปในวังน้ำวน “มีคนกำลังดูดซับพลังของผนึกอยู่…”