หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 100-2 น้องเฉียวผู้ห้าวหาญ
ตอนที่ 100-2 น้องเฉียวผู้ห้าวหาญ
แม่นมนึกหวาดกลัวย้อนหลัง เด็กอายุห้าขวบวิ่งไปวิ่งมาในสวนดอกไม้ ไม่ทันระวังแผล็บเดียวก็หายไปไร้ร่องรอย นางยังคิดว่ามุดเข้าไปในพุ่มดอกไม้เสียอีก จนนางตระหนักว่าไม่ปกติก็ออกตามหาทันที เหตุที่ลงมือกับเด็กคนนั้น ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะโมโห อีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะตกใจ นางกลัวว่าหากซื่อจื่อน้อยจะเป็นอันใดไปจริงๆ ชีวิตของนางจะไม่พอชดใช้
ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นกับเจาหวังเฟยในตอนนี้เช่นเดียวกัน เจาหวังเฟยกับเจาอ๋องเป็นสามีภรรยากันมาหลายปีแล้ว แต่มีธิดาด้วยกันเพียงคนเดียว ซื่อจื่อน้อยมิใช่เลือดเนื้อของนาง แต่นางอาศัยฐานะภรรยาเอกพาซื่อจื่อน้อยมาเลี้ยงดูในนามของตนก็เท่านั้น เด็กคนนี้มิใช่นางให้กำเนิดออกมาเอง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น นางคงแก้ตัวไม่ขึ้น
นางจิบชาคำหนึ่ง “กล่าวไปแล้วก็ล้วนเป็นเรื่องเล็ก เด็กบ้านนอกคอกนาไม่กี่คนไม่รู้กฎเกณฑ์ในวัง คิดว่าซื่อจื่อน้อยเป็นเพื่อนเล่น ข้าคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กทั้งสองคนคงไม่ดี แต่ผู้ใหญ่คนนั้นข่มขู่แม่นมของซื่อจื่อน้อยต่อหน้าเขา ซื่อจื่อน้อยคงตกใจกลัว….”
ซื่อจื่อน้อย ‘ผู้ตกใจกลัว’ กำลังพังพาบอยู่นโต๊ะหินกลางศาลา ขยับมืออันเงอะงะวาดรูป วาดจอมยุทธ์หญิงผู้เหาะลงมาจากฟ้าสั่งสอนคนเลวที่บังคับให้เขาท่องตำราทุกวันไม่ยอมให้เขานอน ข้างกายจอมยุทธ์หญิงมีสุนัขสีขาวตัวน้อยแสนน่ารัก พี่ชายตัวน้อยผู้ชาญฉลาดกับน้องสาวตัวน้อยผู้งดงาม
…
“ท่านแม่ ท่านแม่! ข้าจะอั้นไม่ไหวแล้ว!” มือน้อยของวั่งซูกุมก้นน้อยๆ เอาไว้ พลางตะโกนโวยวายอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวยอย่างร้อนรน
เฉียวเวยเองก็ร้อนรนเช่นเดียวกัน พระราชวังใหญ่โตเช่นนี้ ห้องสุขากลับน้อยนัก นางอุ้มบุตรสาวเดินมาหลายลี้แล้ว ยังไม่พบสุขาที่หัวหน้าชุยบอกเลย
“ท่านแม่ ท่านแม่ อั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ!” วั่งซูร้องลั่น
ในที่สุดเฉียวเวยก็เห็นห้องสุขาอยู่ด้านหลังระเบียงทางเดินที่ซ่อนอยู่ในป่าไผ่ผืนหนึ่ง นางนึกในใจว่าสมกับเป็นพระราชวัง สุขาห้องเดียวก็ยังสร้างเสียมีสุนทรียะเช่นนี้ ทำเอานางหาไม่พบอยู่ตั้งนาน เฉียวเวยรีบอุ้มบุตรสาวเดินไป ทว่าเดินรีบร้อนเกินไปจึงชนกับหญิงสาวสองนางที่เดินสวนมาจากระเบียงทางเดินอย่างจัง
“โอ้ย! ผู้ใดชนข้า” ตัวหลัวหมิงจูถูกชนจนเจ็บหน้าผาก เสียงหวานตวาด แต่ทันใดนั้นก็จ้องเขม็ง “เจ้าเองหรือ”
วั่งซูบิดร่างกายเล็กจ้อยลงมาจากอ้อมแขนของมารดา แล้วถกกระโปรงวิ่งปรู๊ดไปสุขาด้วยตนเอง
เฉียวเวยเอ่ยขออภัย “ขออภัยด้วย รีบร้อนเกินไปจึงชนพวกท่านเข้า”
ตัวหลัวหมิงจูยิ้มแย้มพลางส่ายหน้า “ไม่เป็นอันใดหรอก ข้าไม่เจ็บแล้ว จริงสิ ข้ามาร่วมงานเลี้ยง เจ้ามาทำอันใด”
เฉียวเวยคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ามาปรุงอาหารให้แก่แขกสูงศักดิ์ที่มาร่วมงานเลี้ยงเช่นพวกท่าน”
ตัวหลัวหมิงจูเลิกคิ้ว “อ๋อ เจ้าหลี่อวี้คนนั้นไปยุฝ่าบาทสำเร็จจริงหรือนี่!”
เฉียวเวยแววตาวูบไหว “หลี่อวี้หรือ ท่านหมายถึงคุณชายชุดแดงที่ทะเลากับท่านเมื่อครั้งก่อนหรือ”
ตัวหลัวหมิงจูเบ้ปากตอบว่า “เขามิใช่คุณชายอันใดเสียหน่อย เขาคือองค์ชายเก้าของรัชสมัยนี้ต่างหาก”
ที่แท้องค์ชายเก้าผู้เอ่ยถึงหรงจี้ต่อหน้าฮ่องเต้ก็คือเขานี่เอง ไม่รู้เลยจริงๆว่าฐานะของเขาจะสูงศักดิ์เช่นนี้ ยามหมิงซิวอยู่ด้วยกันกับเขา เขาเรียกหมิงซิวว่าพี่สี่อย่างสนิทสนม หรือว่าหมิงซิวจะเป็นองค์ชายสี่ ไม่ถูกๆ หมิงซิวบอกว่าบิดาของเขาเป็นขุนนางใหญ่ในหมู่เสนาบดี
เฉียวเวยยิ้มละไม “องค์ชายของพวกท่านมีหลายคนเสียจริง”
ตัวหลัวหมิงจูแค่นเสียงดัง เหอะ! “เขามิใช่องค์ชายเสียหน่อย! เขาเป็นบุตรชายขององค์หญิงคังหนิง”
เฉียวเวยมึนงงแล้ว “ถ้าเช่นนั้นไยพวกท่านเรียกเขาว่าองค์ชายเก้าเล่า”
ตัวหลัวหมิงจูถอนหายใจ “เฮ้อ เล่าแล้วก็ยากจะเล่าคำเดียวหมด สรุปก็คือฝ่าบาทโปรดปรานเขา จึงพระราชทานอนุญาตให้เขาได้รับการปฏิบัติเยี่ยงองค์ชาย”
ทำเช่นนี้ได้ด้วย คนเป็นฮ่องเต้ช่างทำตามอำเภอใจเสียจริง เฉียวเวยแววตาวูบไหว แล้วเอ่ยว่า “องค์หญิงคังหนิงมีบุตรชายกี่คนหรือ”
“มีเขาคนเดียวนี่แหละ!” ตัวหลัวหมิงจูตอบ
ดังนั้น ‘พี่สี่’ ที่เรียกนั่นก็ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดสินะ
คนผู้นั้นไม่โผล่หน้ามานานเช่นนี้ ตนเองยังจะคิดถึงเขาทำอันใด
เฉียวเวยเปลี่ยนประเด็น “พี่สาวของท่านไม่เป็นอันใดกระมัง”
ตัวหลัวจื่ออวี้ถูกชนเข้าอย่างจัง ศีรษะจึงมึนงงเล็กน้อย เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นอะไร”
ตัวหลัวหมิงจูจับมือเฉียวเวยแล้วเอ่ยว่า “พี่สาว ข้าจะแนะนำกับท่าน คนผู้นี้คือเถ้าแก่ของร้านกุ้งร้านนั้นที่ข้ากินบ่อยๆ คนที่ครั้งก่อนพวกเราไม่ทันระวังจับยัดเข้าคุกก็คือนาง แต่ความเข้าใจผิดคลี่คลายแล้ว พวกเราดีกันแล้ว!”
“ที่แท้ก็สหายของน้องสาวนี่เอง” ตัวหลัวจื่ออวี้มองเฉียวเวยอย่างอ่อนโยน แต่เมื่อเห็นใบหน้านั่น แววตากลับเคร่งเครียดขึ้นมาในพริบตา เหตุใดเป็นนาง!
“ท่านแม่! ข้าปล่อยกลิ่นตุๆ ออกไปแล้ว!” เสียงอ้อแอ้ของวั่งซูดังมาจากด้านใน
เฉียวเวยยิ้มละไม “ลูกสาวข้าเรียกข้าแล้ว ขอตัวก่อน”
ลูกสาวหรือ เด็กคนนั้นเมื่อครู่คือลูกสาวของนางหรือ นางมีลูกสาวแล้วหรือ
ตัวหลัวจื่ออวี้ฝืนกดความตกตะลึงในหัวใจ แล้วลากน้องสาวเข้าไปในป่าใกล้ๆ
นางเดินไวนัก ตัวหลัวหมิงจูเกือบหกล้ม “พี่ใหญ่ท่านทำอันใด งานเลี้ยงอยู่ด้านนั้นนะ! ท่านเดินผิดทางแล้ว!”
ตัวหลัวจื่ออวี้มองรอบด้าน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดจึงเอ่ยกับน้องสาวว่า “หมิงจู นางคือผู้ใด เจ้ารู้จักนางได้อย่างไร”
“ข้ากับนางรู้จักกันได้อย่างไร พวกท่านก็รู้กันหมดแล้วมิใช่หรือ ข้าคิดว่าพี่รองบาดเจ็บเพราะนาง จึงวิ่งไปที่คุกหมายจะสั่งสอนนางสักยก! ผู้ใดจะรู้ว่ากลับถูกนางสั่งสอนแทน!” ตัวหลัวหมิงจูเอ่ยถึงเรื่องวันนั้น ก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย แต่นางมิได้โกรธเฉียวเวย เพียงรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์เกินไป เป็นถึงคุณหนูจวนแม่ทัพ แต่กลับสู้แพ้หญิงชาวบ้านนางหนึ่ง “แต่ก็โชคดีที่ข้าสู้นางมิได้ เพราะความจริงพวกเราต่างหากที่เกือบชนถูกลูกของนาง หากยังข่มเหงนางอีก ถ้าเช่นนั้นจวนแม่ทัพของพวกเราจะกลายเป็นคนเช่นไรกัน ท่านว่าจริงหรือไม่พี่ใหญ่”
ตัวหลัวจื่ออวี้ฟังไม่ชัดสักนิดว่านางกำลังเอ่ยสิ่งใด “หมิงจู นางอาศัยอยู่ที่ใด เจ้ารู้หรือไม่”
“เอ…นางอาศัยอยู่ในตัวเมืองกระมัง” นางไปกินอะไรที่หรงจี้ทุกครั้งก็ล้วนพบนาง ก็น่าจะอาศัยอยู่ใกล้ๆ กระมัง
แพขนตาของตัวหลัวจื่ออวี้สั่นระริก “ถ้าเช่นนั้นเจ้า…ทราบนามของนางหรือไม่”
ตัวหลัวหมิงจูขมวดคิ้ว ตอบว่า “ข้าไม่สะดวกถามชื่อ ข้าทราบเพียงว่านางแซ่เฉียว”
แซ่เฉียว ถ้าเช่นนั้นตนก็น่าจะจำไม่ผิด อีกฝ่ายคือคุณหนูใหญ่เฉียวแห่งจวนเอินปั๋ว หัวใจตัวหลัวจื่ออวี้เหมือนถูกสิ่งใดบีบไว้อย่างฉับพลัน สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย
ตัวหลัวหมิงจูเห็นสีหน้าของนางก็ถามอย่างกังวล “พี่ใหญ่ เมื่อครู่ท่านถูกชนจนบาดเจ็บใช่หรือไม่ เอาเช่นนี้พวกเรามิต้องไปร่วงงานเลี้ยงแล้ว ข้าพาท่านกลับบ้านดีกว่า ท่านอย่าโกรธนางเลย นางมิได้ตั้งใจ”
“ข้าไม่เป็นอันใด” สมองของตัวหลัวจื่ออวี้สับสนเล็กน้อย
นางกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวเดิมทีไม่เคยไปมาหาสู่ แต่เมื่อห้าปีก่อนระหว่างเที่ยวชมทะเลสาบครั้งหนึ่งนางบังเอิญเห็นสตรีนางหนึ่งลอบพบกับยิ่นอ๋อง ยิ่นอ๋องเอ่ยนามของสตรีนางนั้น นางจึงทราบว่าอีกฝ่ายคือคุณหนูใหญ่เฉียวแห่งจวนเอินปั๋ว คุณหนูใหญ่เฉียววิงวอนให้ยิ่นอ๋องพานางหนี แต่ยิ่นอ๋องมิยินยอม คุณหนูใหญ่เฉียวจึงจะกระโดดทะเลสาบ แต่ยิ่นอ๋องช่วยนางไว้ได้
ผ่านไปห้าปีแล้ว ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องในคืนนั้น ใบหน้าดั่งดอกสาลี่อาบฝนดวงนั้นของคุณหนูใหญ่เฉียวก็ยังปรากฏขึ้นในสมองของนางอย่างชัดเจน
การลอบพบกันครั้งนั้นผ่านไปไม่นานนักก็มีข่าวลือว่าคุณหนูใหญ่เฉียวร่วมราตรีกับยิ่นอ๋อง ยิ่นอ๋องโกรธจนแทงนางหนึ่งกระบี่ จวนเอินปั๋วอับอายจึงขับไล่นางออกจากตระกูล
การแต่งงานระหว่างนางกับยิ่นอ๋องกำหนดขึ้นเมื่อสองปีก่อน นางไม่คิดว่าตนแทรกเข้ามาระหว่างคุณหนูใหญ่เฉียวกับยิ่นอ๋อง แต่…คุณหนูใหญ่เฉียวกลับมีบุตรแล้ว
เด็กคนนั้นดูจากรูปร่างน่าจะอายุราวห้าขวบ คำนวณจากเวลาแล้ว บังเอิญเป็นของยิ่นอ๋องพอดี
การคาดเดาครั้งนี้ทำให้ตัวหลัวจื่ออวี้รู้สึกไร้เรี่ยวแรงทั้งร่าง “น้องเล็ก สามีของสหายเจ้าเป็นคนที่ใด”
“ท่านถามเรื่องนี้ทำไม” ตัวหลัวหมิงจูตอบงึมงำ
ตัวหลัวจื่ออวี้เอ่ยเสียงเบา “ลองถามดู”
ตัวหลัวหมิงจูครุ่นคิด “นางเหมือนจะไม่มีสามีนะ สามีของนางอาจจะ…ตายแล้วกระมัง”
ตัวหลัวจื่ออวี้เผยสีหน้าเหมือนคิดบางอย่าง
…
อาหารของพ่อครัวสามัญชนทั้งหลายถูกยกไปแล้ว
เพราะเป็นงานเลี้ยงในครอบครัวจึงไม่เคร่งกฎเกณฑ์ระหว่างนายกับขุนนาง ฮ่องเต้กับบรรดาลูกหลานนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ด้านซ้ายเป็นรัชทายาท ด้านขวาเป็นซื่อจื่อน้อย รัชทายาทถือกำเนิดมาจากฮองเฮา นับตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้ก็มิเคยแต่งตั้งฮองเฮาพระองค์ใหม่อีก นี่เป็นเรื่องที่ไม่ปกติยิ่งนักในราชวงศ์ แต่โชคยังดีที่ฮ่องเต้มีพระโอรสมากจึงมีเหตุผลเพียงพอ
รัชทายาทร่างกายอ่อนแอตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา รักษามาหลายปีในที่สุดก็ไม่ต่างจากคนธรรมดา แต่อาหารการกินยังต้องคัดสรรเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นฮ่องเต้คงไม่ใช้จ่ายเงินทองอย่างไม่เสียดายเชื้อเชิญพ่อครัวสามัญชนมา
แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็มิคาดหวังว่าพ่อครัวสามัญชนจะทำอาหารดีเด่นออกมาได้ นี่ก็เป็นเพียงน้ำใจเท่านั้น พระโอรสเข้าใจที่พระองค์ให้ความสำคัญมาตลอดก็เพียงพอแล้ว
“ฝ่าบาท แกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทียกน้ำแกงมาถวายหน้าฮ่องเต้กับองค์รัชทายาท
รัชทายาทชิมอาหารจากพ่อครัวสามัญชนมาหลายอย่างแล้วก็ไม่เห็นว่าจะอร่อยกว่าห้องเครื่องหลวง ย่อมหมดความสนใจอาหารจานนี้ไม่มากก็น้อย จึงทิ้งช้อนไม่คิดดื่ม
กล้าทำหน้าบึ้งใส่ฮ่องเต้เช่นนี้ ทั้งพระราชวังคงมีเพียงรัชทายาทเท่านั้นที่กล้าทำ
ฮ่องเต้กลับไม่พิโรธ ตนเองชิมก่อนคำหนึ่ง รสชาติอ่อนแต่แฝงรสเปรี้ยวเล็กน้อย สดชื่นยิ่งนัก พระองค์จึงยกช้อนที่ถูกรัชทายาทโยนไว้ด้านข้างขึ้นมา สื่อเป็นนัยให้รัชทายาทลองชิม
รัชทายาทหยิบช้อนขึ้นมาอย่างเฉยชา แล้วลองชิมคำหนึ่ง จากนั้นก็ชิมอีกคำ คำแล้วคำเล่า ฮ่องเต้สรวลอย่างรักใคร่ ส่งถ้วยของพระองค์เองให้เขาด้วย
ยิ่นอ๋องนั่งอยู่ด้านล่าง มองความใส่พระทัยที่ฮ่องเต้มอบให้รัชทายาทด้วยสายตาเย็นชา รัชทายาทเป็นพระโอรสลำดับที่แปด แม้ประสูติจากฮองเฮา แต่ครอบครัวฝั่งท่านตาก็มีคนเก่งเพียงน้อยนิด ตระกูลก้าวเข้าสู่ความเสื่อมถอยแล้ว ทั้งหมดล้วนอาศัยจีหมิงซิวค้ำจุน หากมิใช่เพราะเจ้าก้อนหินน่ารังเกียจจีหมิงซิว ตนก็คงลากรัชทายาทลงมาได้ตั้งนานแล้ว!
แต่อำนาจของจีหมิงซิวแผ่ท่วมฟ้าอีกเท่าใดก็มิอาจใช้มือปิดฟ้าได้ ในราชสำนักเขาพูดคำเดียวเป็นเด็ดขาด แต่ชายแดนมิใช่สนามรบของเขา รอตนแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลตัวหลัวเสียก่อน อำนาจทหารแสนนายย่อมเป็นของในกระเป๋าตน
ยามนั้น ต่อให้จีหมิงซิวคุมราชสำนักไว้ ก็มิใช่คู่ต่อกรของตนอีกต่อไป
ยิ่นอ๋องส่งห่านย่างเคล้าน้ำผึ้งที่เพิ่งยกมาให้แก่ขันทีหลิว “มอบให้คุณหนูตัวหลัว”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหลิวยกอาหารไปยังงานเลี้ยงของฝั่งสตรีที่อยู่หลังฉากกั้น
เจาหวังเฟยก็อยู่ในงานเลี้ยงของฝั่งสตรีด้วย เพราะซื่อจื่อน้อย ฐานะของนางจึงสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแซงหน้าพระชายาขององค์ชายใหญ่ ได้นั่งอยู่อันดับแรกถัดจากกุ้ยเฟย นางลิ้มรสอาหารโอชาบนโต๊ะไปพลาง ก็คิดว่าจะสั่งสอนแม่ครัวที่ข่มขู่แม่นมกับซื่อจื่อน้อยคนนั้นเช่นไรไปด้วย
เมื่อเห็นขันทีหลิวยกอาหารมามอบให้คุณหนูตระกูลตัวหลัว มุมปากนางก็เบะออก เกาะจวนแม่ทัพได้แล้วอย่างไร ลืมแล้วหรือว่าครานั้นอดีตฮองเฮาถูกผู้ใดทำร้ายจนตาย หากฮ่องเต้ยังระลึกถึงความดีของอดีตฮองเฮาวันหนึ่ง พระองค์ก็ไม่มีทางให้อภัยอานเฟยวันหนึ่ง และยิ่งไม่มีทางยอมรับยิ่นอ๋อง
ซื่อจื่อน้อยของนางต่างหากที่ได้ดีกว่า รัชทายาทไร้ทายาท หนทางภายภาคหน้าของซื่อจื่อน้อยย่อมมิอาจประมาณ
เมื่อคิดเช่นนี้เจาหวังเฟยก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องลากคนที่ทำให้ซื่อจื่อน้อยตกใจกลัวออกไปสั่งสอนสักยก!
“ข้าได้ยินว่ามีแม่ครัวสามัญชนมาด้วยคนหนึ่ง จานไหนเป็นอาหารที่นางปรุงหรือ” เจาหวังเฟยถามนางกำนัลที่รอปรนนิบัติอยู่ด้านหลัง
นางกำนัลชี้แกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ดถ้วยน้อยที่อยู่ตรงหน้านาง “ทูลเจาหวังเฟย ถ้วยนี้เพคะ”
หน้าตาก็ดูดีอยู่
เจาหวังเฟยแค่นเสียงหยัน แล้วหยิบหินกลมก้อนน้อยที่สะอาดสะอ้านก้อนหนึ่งโยนลงไปในน้ำแกง หลังจากนั้นจึงแสร้งยกช้อนทำท่าตัก “โอ๊ะ! ในน้ำแกงนี่มีก้อนหินอยู่ได้เช่นไร”
กินถูกก้อนหินในน้ำแกงย่อมเป็นเรื่องใหญ่ หากตรวจสอบพบว่าผู้ใดเป็นผู้ปรุงน้ำแกง อย่างเบาก็โบยสามสิบไม้ อย่างหนักก็ถูกส่งไปกรมอาญาวัง นางกำนัลหางตาชี้จำได้ว่านี่มิใช่น้ำแกงที่ห้องเครื่องหลวงปรุง “ครัวสามัญชนเป็นผู้ปรุงนี่เพคะ”
หัวหน้าชุยผู้เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินคำนี้พลันคิดในใจว่าแย่แล้ว เขาเร่งรีบมุ่งไปห้องครัว แต่คนข้างกายฮ่องเต้ย่อมมิได้กินผักหญ้า เขาเพิ่งจะเหยียบเท้าแรกถึง ผู้อื่นก็ตามติดเท้าหลังมาแล้ว
ฝูกงกงกวาดสายตามองผู้คนในห้อง “ผู้ใดปรุงแกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ด”
เฉียวเวยเพิ่งกล่อมลูกทั้งสองคนหลับ นางส่งเด็กน้อยให้เถ้าแก่หรงกับเหยาชิง แล้วก้าวออกมาตอบ “ข้าปรุงเอง”
ฝูกงกงเอ่ยนิ่งๆ “ในน้ำแกงมีก้อนหิน นี่มีโทษถึงตาย!”
งานเลี้ยงฉลองของรัชทายาท โทษเพิ่มหนึ่งขั้น โบยให้ตายก็ไม่มากเกินไป
ทุกคนตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง
เฉียวเวยขมวดคิ้วอธิบาย “ในน้ำแกงของข้าไม่มีก้อนหิน ข้าตรวจสอบทีละถ้วยจนครบ”
ปรุงอาหารให้ฮ่องเต้ นางจะกล้าเลินเล่อได้เช่นไร
ชุยกงกงรีบเอ่ยว่า “พี่ชาย เรื่องนี้บางทีอาจเป็นการเข้าใจผิด ท่านให้โอกาสนางสักครั้ง”