หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 102-1 ความเข้าใจผิดคลี่คลาย กองทัพซาลาเปาน้อย
ตอนที่ 102-1 ความเข้าใจผิดคลี่คลาย กองทัพซาลาเปาน้อย
“เอ๋ ทำไมตรงนี้มีเด็กคนหนึ่งได้เล่า” ป้าหลัวร้องเสียงหลง!
หลังจากเข้าวัง สารถีกวนก็รอคอยอยู่ใน ‘ลานจอดรถม้า’ ที่กำหนดไว้อย่างว่าง่าย สุขาก็ยังมิกล้าไปเข้า ย่อมไม่เคยเห็นซื่อจื่อน้อยที่เตร็ดเตร่ไปถึงห้องครัวจนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยขึ้นมา เขาจำได้ว่าตนเฝ้ารถม้าอยู่ตลอด มีเด็กเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อใด เหตุไฉนเขาจึงไม่รู้เล่า
ผีใช่หรือเปล่า เป็นผีแน่เลยใช่หรือไม่
เขาไม่ยอมรับหรอกว่าตนเองเผลองีบไปพักหนึ่ง…
สารถีกวนผู้ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน เห็นท่านอ๋องยังไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่กลับตกใจกลัวเพราะเด็กน้อยคนหนึ่ง
ซื่อจื่อน้อยลุกขึ้นมาจากพื้น เขาขยี้ดวงตาอันพร่ามัวแล้วเดินเหมือนตุ๊กตาล้มลุกเข้าไปหาเฉียวเวย จากนั้นเกาะต้นขานางเอาไว้
ซื่อจื่อน้อยเอ๋ยซื่อจื่อน้อย รู้หรือไม่ว่าข้าเพิ่งทะเลาะกับมารดาของท่านมา ตอนนี้ท่านมาโผล่อยู่ในรถม้าของข้า หากมารดาของท่านทราบเข้าจะคิดเช่นไร จะคิดว่าข้าจงใจลักพาตัวท่านมาหรือไม่
เฉียวเวยมองเขาอย่างฉุนเฉียว แล้วจิ้มศีรษะน้อยๆ ของเขา “เจ้าตัวน้อย ท่านขึ้นมาบนรถม้าของข้าได้เช่นไร”
ป้าหลัวตกตะลึง “เจ้ารู้จักเขาหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยกับสารถีกวน “สารถีกวน ดึกแล้ว ท่านกลับไปก่อนเถิด ระหว่างทางระวังด้วย”
สารถีกวนเข้าใจความนัย เขาจอดรถม้าอยู่ในพระราชวัง มีโอกาสแปดส่วนที่เด็กคนนี้จะมาจากในวัง แล้วยังแต่งตัวหรูหราเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นผู้สูงศักดิ์ตัวน้อยสักคน ตนรู้เรื่องให้น้อยหน่อยจะดีกว่า
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อน” สารถีกวนจากไปอย่าง ‘ใส่ใจ’ ยิ่ง
ป้าหลัวไม่ได้หวั่นกลัวเท่ากับเขา แต่เดิมนางก็พร้อมรุกถอยร่วมกับเฉียวเวย จึงถามเฉียวเวยว่า “เสี่ยวเวย นี่บุตรของบ้านผู้ใดหรือ มาอยู่บนรถม้าของเจ้าได้เช่นไร”
เฉียวเวยอุ้มเจ้าตัวน้อยที่เกาะขานางหลับจนแทบจะดึงกระโปรงนางหลุดขึ้นมา แล้วตอบตามจริง “เขาคือซื่อจื่อน้อยแห่งจวนเจาอ๋อง”
เมื่อได้ยินว่าเป็นซื่อจื่อแห่งจวนอ๋อง ป้าหลัวก็ตาค้าง นางอยู่มาครึ่งค่อนชีวิต แม้แต่บุตรของนายอำเภอก็ยังมิเคยพบ จู่ๆ กลับมีเชื้อพระวงศ์มาเยือน นางตกใจจนขาอ่อน
เฉียวเวยคิดในใจ ซื่อจื่อแล้วอย่างไร คนที่ลงมาทำงานในไร่บ้านเราเป็นถึงองค์ชายเจ็ดของฮ่องเต้รัชสมัยนี้เชียวนะ
เห็นป้าหลัวตกใจไม่เบา เฉียวเวยจึงตัดสินใจไม่ทำให้นางตกใจอีก แม้แต่ตอนป้าหลัวถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในพระราชวัง นางก็แจ้งแต่ข่าวดีมิบอกข่าวน่ากังวล “ราบรื่นทีเดียว นายท่านทั้งหลายกินอย่างเพลิดเพลิน ตกรางวัลให้ข้ามาจำนวนหนึ่ง”
ป้าหลัวดีใจแทนเฉียวเวยยิ่งนัก “เจ้าเด็กคนนี้ ช่างโชคดีเสียจริง! แล้วเจ้าตัวน้อยผู้นี้เล่า เขามาได้เช่นไร”
เฉียวเวยอธิบายว่า “ซื่อจื่อน้อยวิ่งมาถึงห้องครัวที่พวกเราทำอาหาร แล้วได้เล่นกับวั่งซูและจิ่งอวิ๋น บางทีอาจเล่นกันสนุกเกินไปจึงตัดใจมิลง แอบมุดเข้ามาในรถม้าของข้า”
“โอ๊ะ แล้วนี่จะทำเช่นไรดีเล่า บิดามารดาเขาหาเขามิพบคงร้อนใจแย่แล้ว” หลัวหย่งจื้อตอนยังเล็กชอบวิ่งมั่ว ป้าหลัวไม่ทันระวังแผล็บเดียว เขาก็มักจะหายตัวไปแล้ว ดังนั้นเรื่องเช่นนี้นางจึงเข้าอกเข้าใจดีอย่างยิ่ง
เฉียวเวยก็มิอยากให้บิดามารดาของผู้อื่นกังวลเช่นกัน แต่ดึกป่านนี้ นางไม่มีเรี่ยวแรงพาคนกลับไปส่งคืนเมืองหลวงจริงๆ ได้แต่รอฟ้าสว่างค่อยคิดหาวิธีแล้ว อีกอย่างหนึ่งต่อให้นางมีเรี่ยวแรงพอ สตรีผู้หนึ่งพาเด็กน้อยเดินทางตอนกลางคืนก็มิสะดวกนัก เพื่อเป็นการระวังไว้ก่อน รอผ่านคืนนี้ไปก่อนจะดีกว่า
เฉียวเวยอุ้มวั่งซูกับซื่อจื่อน้อยเข้าบ้านก่อน จากนั้นจึงหิ้วผ้าไหมแพรพรรณกับสมบัติที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เข้าบ้าน ป้าหลัวเห็นข้าวของกองเต็มโต๊ะก็ถาม “เจ้าซื้อของมาอีกแล้วหรือ”
สาวน้อยผู้นี้ออกไปข้างนอก อย่าคันไม้คันมือนักได้หรือไม่
เฉียวเวยยิ้ม “ข้ามิได้ซื้อ ของพระราชทานจากในวังต่างหาก”
สายตาของป้าหลัวกวาดมองหีบใบใหญ่หลายใบ ต่อให้ไม่เปิดดูก็สัมผัสได้ว่าของด้านในล้ำค่า “มากมายปานนี้…เป็นของพระราชทานทั้งหมดเลยหรือ”
“ใช่แล้ว” เฉียวเวยแย้มยิ้มพลางพยักหน้า “ข้าจะไปต้มน้ำ”
“ข้าทำเองๆ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบนั่งพักสักหน่อยเถิด” ป้าหลัววางจิ่งอวิ๋นไว้ข้างเจ้าซาลาเปาน้อยอีกสองคน แล้วดันเฉียวเวยไปนั่งบนเก้าอี้ หลังจากนั้นจึงไปต้มน้ำร้อนในห้องครัวยกมาให้เด็กทั้งสามคนอาบน้ำ “น้ำร้อนของเจ้าข้าเตรียมเรียบร้อยแล้ว อยู่ในห้องข้า เจ้าไปอาบน้ำสักหน่อย”
เฉียวเวยคิดไม่ถึงว่าป้าหลัวจะช่วยเตรียมน้ำร้อนของนางไว้ให้ด้วย หัวใจพลันรู้สึกอบอุ่น กอดเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนเดินเข้าไป
ป้าหลัวเช็ดตัวให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก่อน จิ่งอวิ๋นถูกเช็ดตัวก็ตื่นทันที ป้าหลัวต้องบอกประโยคหนึ่งว่า “แม่เจ้าอยู่ห้องข้างๆ” เขาจึงหลับตาลงนอนหลับไปอีกหน
สุดท้ายจึงเช็ดตัวให้ซื่อจื่อน้อย
อาภรณ์ที่ซื่อจื่อน้อยสวมใส่เห็นชัดว่ามิใช่ระดับเดียวกับคู่แฝด เนื้อสัมผัสดังผิวน้ำ บางเบาเย็นสบายแต่อ่อนนุ่ม ป้าหลัวถอดชุดอย่างเบามือด้วยกลัวว่าจะทำเสียหาย “เพียงเสื้อตัวนี้ตัวเดียวก็คงมีค่าหลายตำลึงแล้วกระมัง”
เนื้อผ้าชนิดนั้นก็คือผ้าไหมน้ำแข็งที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นาง เฉียวเวยเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นพลางเดินเข้ามา นางเปิดหีบหยิบผ้าไหมน้ำแข็งสีเหลืองอ่อนพับหนึ่งออกมา “แม่บุญธรรม ผ้าชนิดนี้สวมใส่ติดกายสบายยิ่งนัก ท่านนำไปตัดเย็บเป็นอาภรณ์ตัวในให้ตนเองกับพ่อบุญธรรมสักสองชุดเถิด”
ป้าหลัวลูบผ้าผืนนั้น เหมือนกับบนร่างซื่อจื่อน้อยทุกประการ นางตกใจจนติดอ่างทันใด “นี่ นี่เอามาจากที่ใดกัน”
“ก็ของที่ในวังพระราชทานให้อย่างไรเล่า!” เฉียวเวยยิ้มแย้มตอบ “มีตั้งหลายพับ ท่านกับลุงหลัวพับหนึ่ง พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้พับหนึ่ง ของหย่งจื้อข้าก็เก็บไว้ให้เขาแล้ว”
“โอย ของล้ำค่าเช่นนี้ เอามาใช้ไม่ได้ๆ!” ป้าหลัวปฏิเสธไม่รับสิ่งใดทั้งสิ้น ชาวสวนชาวไร่ใส่เสื้อป่านก็พอแล้ว แต่งตัวเหมือนคนในเมืองเข้าจริงๆ กลับจะไม่สบายใจ
เฉียวเวยทราบความคิดของป้าหลัวจึงกล่อมว่า “ท่านอย่ากังวลว่าจะใส่แล้วเสียหาย เสียข้าค่อยซื้อให้ท่านอีก บ้านเราตอนนี้มิได้ขาดแคลนเงินเท่านี้”
ป้าหลัวถลึงตาใส่นาง “ถึงอย่างนั้นก็จะใช้สิ้นเปลืองมิได้ เครื่องเรือนยังซื้อไม่ครบเลยนะ! วันหน้าเจ้าทำกิจการใหญ่โต ตรงนั้นตรงนี้ล้วนต้องใช้เงิน ลูกๆ โตขึ้น แต่งงานหาลูกสะใภ้ล้วนต้องใช้เงิน!”
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเพิ่งอายุเท่าไร คิดถึงเรื่องแต่งงานหาภรรยาแล้วหรือ นางมิอยากให้เจ้าตัวน้อยของนางโตเร็วปานนั้นหรอก
เฉียวเวยหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ท่านวางใจเถิด เงินเหล่านั้นค่อยๆ สะสมได้ อย่างไรก็ต้องหามาได้ หากแม้แต่เสื้อผ้าดีๆ สักชุดข้ายังซื้อให้ท่านมิได้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว!”
ป้าหลัวลูบผ้าบนร่างของซื่อจื่อน้อย ลูบเพียงนิดเดียวก็รั้งมือกลับ เนื้อผ้านุ่มสบายจริงแท้ แต่รู้สึกราวกับว่าอยู่สูงจนเอื้อมมิถึง
เฉียวเวยขยับยิ้ม ลูบเพิ่มสักหลายครั้ง ลองลูบดูสักหลายวัน พอคุ้นก็กล้าสวมแล้ว
ห้องที่เฉียวเวยกับเด็กๆ พักเป็นห้องเก่าของหลัวหย่งจื้อ เตียงไม่เล็กแต่ก็ไม่นับว่าใหญ่ ผู้ใหญ่หนึ่งคน เด็กสองคนกับลูกเพียงพอนหนึ่งตัวนอนได้พอดี
ป้าหลัวมิสะดวกมานอนเบียดกับพวกเฉียวเวยจึงอุ้มซื่อจื่อน้อยไปที่เตียงของตนเอง
เพียงคิดว่าซื่อจื่อน้อยคนหนึ่งนอนอยู่ด้านข้าง ป้าหลัวก็ไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย นางกังวลจนนอนไม่หลับอยู่ค่อนคืน กว่าจะหลับก็ครึ่งคืนหลัง ซื่อจื่อน้อยปีนลงจากเตียงไปตอนไหนนางก็ไม่รู้
ซื่อจื่อน้อยคลำทางในความมืด เดินมาจนถึงห้องของเฉียวเวย ขาน้อยๆ ตะกายปีนขึ้นเตียงของเฉียวเวย
เฉียวเวยสะลึมสะลือคิดว่าวั่งซูนอนท่าประหลาดอีกแล้ว จึงคว้าตัวขึ้นมาแล้วโยนเข้าไปด้านใน พอดีโยนไปถูกท้องของจิ่งอวิ๋นพอดี
จิ่งอวิ๋นลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ อาศัยแสงจันทร์สลัวมองเห็นซื่อจื่อน้อยก็งุนงงอยู่ชั่วครู่ แต่ยังคิดไม่ทันว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้นก็เข้าสู่ห้วงฝันไปอีกครั้ง
เด็กสามคนนอนก่ายกันไปมาอยู่บนเตียง ซื่อจื่อน้อยกับวั่งซูท่านอนพิสดารกันทั้งคู่ ดึกดื่นเที่ยงคืน ‘ออกหมัดออกเท้าเป็นพัลวัน’ น่าสงสารจิ่งอวิ๋นผู้อยู่ตรงกลางต้องรับเคราะห์ ตลอดทั้งคืนฝันเห็นตนเองถูกผู้อื่นรุมซ้อม…
มิตรภาพของเด็กน้อยเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเสมอ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเจ้าซาลาเปาน้อยตื่นจากฝัน เมื่อพบว่าบนเตียงมีสหายน้อยเพิ่มมาคนหนึ่งก็ร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น
วั่งซูสวมรองท้าแตะที่เฉียวเวยสานให้แล้ววิ่งตึงตังเข้าไปในห้องครัว “ท่านแม่ๆ! ท่านเดาว่าผู้ใดมาบ้านเรา”
เฉียวเวยตักน้ำหนึ่งกระบวยใส่ลงในกระทะ เตรียมตัวต้มบะหมี่ เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาวก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ “ผู้ใดหรือ”
“พี่ชายตัวน้อยคนเมื่อวาน!” วั่งซูยิ้มจนตาหยีวิ่งกลับเข้าไปในห้อง
ภายในห้องจิ่งอวิ๋นกำลังสอบสวนซื่อจื่อน้อยอย่างเป็นจริงเป็นจัง “เหตุใดเจ้ามาบ้านพวกเราได้ แม่นมของเจ้ามิต่อว่าเจ้าหรือ พ่อแม่ของเจ้าเล่า พวกเขาอนุญาตแล้วหรือไม่”
เป็นผู้ปกครองตัวน้อยชัดๆ!
ซื่อจื่อน้อยไม่พูดจา มองเขาอย่างมึนงงอยู่อย่างนั้น
วั่งซูไม่สนว่าพี่ชายตัวน้อยมาได้เช่นไร กว่านางจะได้มีสหายคนใหม่ที่รูปงามสะอาดสะอ้านเช่นนี้สักคนหนึ่งไม่ง่าย ถึงสหายน้อยในหมู่บ้านจะดี แต่ทุกคนล้วนลงไปกลิ้งกับโคลนจนสกปรก นางดูเหมือนจะลืมแล้วว่านางเป็นผู้ริเริ่มลงไปกลิ้งกับโคลนเอง…
มีสหายคนใหม่มา นางต้องแต่งตัวให้สวยสิ!
วั่งซูเปิดประตูตู้ เลือกอยู่นานว่าสมควรจะสวมชุดใด สุดท้ายก็หอบทั้งหมดออกมาโยนไว้บนเตียง!
“ท่านพี่ๆ!” นางกระโดดอย่างตื่นเต้น
จิ่งอวิ๋นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เริ่มช่วยน้องสาวเปลี่ยนเสื้อผ้า พี่ชายเสมือนหนึ่งบิดา เมื่อท่านแม่มิอยู่ในห้อง หน้าที่สำคัญในการดูแลน้องสาวย่อมตกมาอยู่กับเขา เขาถอดเสื้อให้น้องสาวจนล้อนจ้อน ซื่อจื่อน้อยตกใจจนอ้าปากหวอ
เขาปิดตาของซื่อจื่อน้อยทันที “ห้ามมอง”
ซื่อจื่อน้อยหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง
วั่งซูหันไปมองซื่อจื่อน้อย ซื่อจื่อน้อยมิได้สวมอาภรณ์
จิ่งอวิ๋นปิดตาของน้องสาวด้วย “เจ้าก็ห้ามมอง”
จิ่งอวิ๋นสวมอาภรณ์ให้น้องสาวจนเสร็จ “รองเท้าสวมเอง สวมเสร็จแล้วก็ไปแปรงฟันเสีย”
วั่งซูกระโดดลงจากเตียง “สวมรองเท้า ข้าทำเป็น!”
สวมกลับด้านแล้ว
ซื่อจื่อน้อยรอคนมาปรนนิบัติเขา แต่รออยู่นานก็ไม่มีผู้ใดมาจึงได้แต่หยิบเสื้อผ้าบนเตียงขึ้นมาอย่างเงอะงะด้วยตนเอง เพราะเสื้อผ้าของเขาถูกเฉียวเวยนำไปซักแล้ว ส่วนเสื้อผ้าของจิ่งอวิ๋น เจ้าตัวก็เก็บจนเรียบร้อย เสื้อผ้าที่กองระเกะระกะอยู่บนเตียงทั้งหมดจึงเป็นสารพัดเสื้อเด็กผู้หญิงของวั่งซู
ซื่อจื่อน้อยหยิบขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วทาบบนร่างตนเอง…
เฉียวเวยยกบะหมี่ออกมา เมื่อเห็นซื่อจื่อน้อยสวมชุดเอี๊ยมสีชมพูเดินเล่นไปทั่วก็เกือบทำบะหมี่หก!
สภาพของซื่อจื่อน้อยบาดตาเกินไปแล้วจริงๆ เฉียวเวยจึงเปลี่ยนชุดเด็กผู้ชายให้เขา
ป้าหลัวออกไปที่นาแล้ว หลัวหย่งจื้อก็ตระเวนรับซื้อกุ้ง ส่วนชุ่ยอวิ๋นพาทารกน้อยไปห้องครัวที่ลานก่อสร้าง บนโต๊ะอาหารมีเพียงเฉียวเวยกับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามคน
อาหารเช้าคือบะหมี่สามสหาย หมั่นโถวข้าวโพดกับข้าวต้มขาว
เฉียวเวยกับลูกทั้งสองคนกินอย่างเพลิดเพลิน แม้แต่เสี่ยวไป๋ก็จับหมั่นโถวลูกใหญ่กว่าหัวของตัวเองขึ้นมาแทะดัง กร้วม! กร้วม! ซื่อจื่อน้อยมองเฉียวเวย มองสหายตัวน้อยทั้งสองคน จากนั้นมองชามบะหมี่ตรงหน้า แล้วถือตะเกียบขึ้นมาอย่างเงอะงะ คิดจะคีบบะหมี่ขึ้นมา แต่เส้นบะหมี่ลื่นยิ่งนัก ไหลพรืดกลับลงไปในชาม
เขาวางตะเกียบลง แล้วหันไปมองเฉียวเวย “ป้อน”
“ข้าไม่ป้อนท่านหรอก อยากกินก็กินเอง” เฉียวเวยดันชามข้าวต้มมาตรงหน้าเขา แล้วส่งช้อนให้ “กินข้าวต้ม หรือไม่ก็กินหมั่นโถว”
ซื่อจื่อน้องมองบะหมี่เนื้อวัวกลิ่นหอมชุยชามนั้นอย่างอาลัย แล้วกินข้าวต้มสีขาวในชามอย่างน่าสงสาร
ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เฉียวเวยก็ส่งวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไปยังสำนักศึกษา ซื่อจื่อน้อยจะตามไปด้วย แต่เฉียวเวยหิ้วเขาเอาไว้ “ท่านไปไม่ได้”
“เหตุใดเล่า” วั่งซูถาม นางอยากให้พี่ชายตัวน้อยไปเรียนด้วยกันยิ่งนัก
เฉียวเวยลูบศีรษะของบุตรสาวแล้วบอกว่า “พี่ชายตัวน้อยของเจ้ามาเป็นแขกที่บ้านเราเพียงคืนเดียว สมควรกลับบ้านได้แล้ว มิเช่นนั้นบิดามารดาของพี่ชายตัวน้อยจะร้อนใจ”
“เช่นนี้เอง” วั่งซูคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แต่จิตใต้สำนึกของนางรู้ว่าทุกวันตนต้องกลับบ้านไปพบท่านแม่
ซื่อจื่อน้อยล้วงกระดาษสีขาวที่พับอยู่แผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้วั่งซู
วั่งซูกางออกดู มันเป็นภาพวาดภาพหนึ่ง ในภาพมีท่านแม่กำลังสั่งสอนคนเลว มีนาง มีท่านพี่ มีเสี่ยวไป๋
“สวยจริงเชียว!” วั่งซูเอ่ยอย่างอิจฉา
ซื่อจื่อน้อยยิ้มจนตาหยีโค้ง
“ข้าก็มีของมอบให้ท่าน!” วั่งซูเก็บภาพวาดไว้อย่างดี แล้วจูงซื่อจื่อน้อยเข้าไปในห้อง หยิบลูกคิดน้อยสีทองอร่ามรางหนึ่งออกมาจากในหีบร้อยสมบัติของตนเอง “นี่เป็นรางวัลที่ข้าได้มา!”
ซื่อจื่อน้อยผู้คิดว่านางจะมอบให้ตนเอื้อมมือออกมา
“ให้ท่านลูบ” วั่งซูบอก
ซื่อจื่อน้อยจึง…ลูบสองสามที
วั่งซูล้วงห่อกระดาษห่อหนึ่งออกมาจากใต้หมอนต่อ “นี่คือลูกกวาดดอกกุ้ยฮวา ข้าเก็บไว้ตั้งนานตัดใจกินไม่ลง ให้ท่าน”
ลูกกวาดดอกกุ้ยฮวารสเปรี้ยวนิดๆ (แน่ใจหรือว่ามิใช่เสียแล้ว) ซื่อจื่อน้อยมิเคยกินมาก่อน ที่บ้านของเขาล้วนทำรสหวานจัด ซื่อจื่อน้อยรับมาอย่างดีอกดีใจ
น้องสาวมอบของให้สหายตัวน้อยแล้ว จิ่งอวิ๋นย่อมไม่ยอมแพ้ จิ่งอวิ๋นคุ้ยมุกราตรีเม็ดเล็กเม็ดหนึ่งออกมาจาก ‘คลังสมบัติ’ น้อยของตนเอง แล้วส่งให้ซื่อจื่อน้อย มุกราตรีน้อยเม็ดนี้เขาได้มาจากการแต่งบทกวีให้ผู้อื่น แต่เดิมเขาคิดจะมอบให้มารดา ตอนนี้เปลี่ยนใจมอบให้น้องชายตัวน้อย รอหลังจากนี้มีสมบัติที่ดีกว่านี้ค่อยมอบให้มารดาก็แล้วกัน
ซื่อจื่อน้อยไม่เคยเห็นมุกราตรีที่เล็กยิ่งกว่าเล็บมือมาก่อน ของที่บ้านเขาล้วนใหญ่มากกว่ากำปั้น ซื่อจื่อน้อยรับมาอย่างเบิกบานใจ!
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองมอบของขวัญแล้ว เสี่ยวไป๋ย่อมมิยอมน้อยหน้า มันก็มีคลังสมบัติอยู่เหมือนกัน!
เสี่ยวไป๋ปีนขึ้นไปด้านบนของมุ้งกันยุง แล้วลากงูหางกระดิ่งที่กำลังแลบลิ้นอยู่สองตัวลงมาจากด้านบน จากนั้นยัดเข้าไปในอ้อมแขนของซื่อจื่อน้อยอย่างใจกว้าง
ซื่อจื่อน้อย “…”
จิ่งอวิ๋น “…”
วั่งซู “…”
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น เสียงร้องโหยหวนของเสี่ยวไป๋ก็ดังลั่นห้อง
“แอ้ แอ้ แอ้! แอ้ แอ้ แอ้ แอ้ แอ้!”
พอถูกสั่งสอน เสี่ยวไป๋ก็เริ่มพ่นภาษาต่างเผ่าออกมา
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง! โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!”
ภาษาต่างเผ่าของเผ่าเดียวยังไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็สอง
“เหมียว เหมียว เหมียว! เหมียว เหมียว เหมียว เหมียว เหมียว!”
เฉียวเวยตวาดดั่งนางสิงห์คำราม “เจ้าร้องงี้ดง้าดไปก็ไร้ประโยชน์! กล้าเอางูมาซ่อนอยู่บนมุ้ง นี่ทุกคืนข้านอนอยู่กับงูเช่นนั้นสิ เจ้ามานี่เดี๋ยวนี้! ข้ารับรองว่าจะตีเจ้าไม่ตาย! เจ้าหลบ! เจ้ายังกล้าหลบอีกหรือ! ลงมาเดี๋ยวนี้! คอยดูข้าจะถลกหนังเจ้า!”
…
หลังจากจัดการเสี่ยวไป๋ตัวดีเสร็จแล้ว เฉียวเวยจึงพาซื่อจื่อน้อยขึ้นรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อ ซื่อจื่อน้อยขนาดตัวเท่าๆ กับจิ่งอวิ๋น เมื่อสวมอาภรณ์ของจิ่งอวิ๋นแล้วซุกศีรษะอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวย ตาเฒ่าซวนจื่อก็คิดว่าเขาเป็นจิ่งอวิ๋น ยังถามเฉียวเวยว่าไปเดินตลาดเหตุใดมิพาวั่งซูไปด้วย
เฉียวเวยหัวเราะ
ตาเฒ่าซวนจื่อพาเฉียวเวยไปส่งหรงจี้อย่างเคย
เฉียวเวยอุ้มซื่อจื่อน้อยลงจากรถม้า
เมื่อเข้ามาในห้องบัญชีของเถ้าแก่หรงก็ปิดประตูห้องดังปังแล้วลงกลอน
เถ้าแก่หรงเห็นนาง ตอนแรกก็รู้สึกแปลกใจ แต่จากนั้นก็พูดจ้อเปิดประเด็นทันที “นี่ๆ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าซื่อจื่อน้อยจวนเจาอ๋องหายตัวไป ทางการสงสัยว่าพ่อครัวสามัญชนที่มาปรุงอาหารให้รัชทายาทเมื่อวานลักพาตัวซื่อจื่อน้อยออกมา กำลังสอบสวนกันอย่างเข้มงวด เจ้ากับเจาหวังเฟยยัง…เอ๋…”
เถ้าแก่หรงกล่าวได้ครึ่งเดียว ศีรษะน้อยกลมดิกก็หันมา เขามองเห็นใบหน้าดวงนั้นชัดก็ร้องเสียงหลง “เหตุใดมาอยู่กับเจ้าได้ เจ้าลักพาตัวซื่อจื่อน้อยจริงหรือ วิธีแก้แค้นของเจ้าจะรุนแรงเกินไปแล้ว!”
เฉียวเวยหน้าทะมึน “ข้าไม่ได้ลักพาตัว เจ้าตัวน้อยคนนี้มุดเข้ามาในรถม้าของข้าเอง”
“ข้าไม่เชื่อ!” เถ้าแก่หรงเอ่ยอย่างไม่เสียเวลาคิด
ดูเอาเถอะ แม้แต่เถ้าแก่หรงยังไม่เชื่อว่านางบริสุทธิ์ หากเปลี่ยนเป็นคนของจวนเจาอ๋องจะคิดเช่นไร ฮ่องเต้ชมเชยพระราชทานรางวัลให้นางก็จริง แต่หากนางลักพาตัวหลานชายสุดที่รักของเขามา เขาคงไม่ละเว้นนางหรอกกระมัง
ซื่อจื่อน้อยเอ๋ยซื่อจื่อน้อย ท่านทำร้ายข้าแล้วจริงๆ!
ซื่อจื่อน้อยมิทราบว่าเฉียวเวยเหตุใดจึงมองตนเอง ดวงตาดำขลับระยิบระยับคู่นั้นเบิกโต แล้วยิ้มหวานจ๋อยให้เฉียวเวย
เฉียวเวยโกรธไม่ลงแล้ว
ซื่อจื่อหายตัวไปเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อคืนวานผู้ที่พบว่าซื่อจื่อหายตัวไปเป็นคนแรกคือสาวใช้อายุน้อยที่คอยติดตามรับใช้คนหนึ่งของจวนเจาอ๋อง เวลานั้นเจาอ๋องกำลังร่ำสุราเป็นเพื่อนรัชทายาทอยู่ในตำหนัก เจาหวังเฟยผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อยู่ที่ห้องด้านข้างพร้อมกับบ่นเฉียวเวยให้แม่นมฟังว่าคนต่ำช้าผู้นี้ข่มเหงนางเช่นไรบ้าง คนที่เหลือล้วนไปรับใช้เจาหวังเฟยชำระร่างกายผลัดอาภรณ์ ซื่อจื่อน้อยนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง หลังจากเห็นผู้ใหญ่กำลังยุ่ง เขาจึงเดินออกไปเดินเล่นด้านนอกด้วยความเบื่อหน่าย
ผู้ใหญ่สี่ห้าคนในห้อง ไม่สังเกตว่าเด็กน้อยหายไปแล้ว….
เด็กคนนี้ความจริงเก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่!
เมื่อสาวใช้ยกอ่างน้ำเข้ามา ถามว่าซื่อจื่อน้อยเล่า ทุกคนจึงเพิ่งรู้ตัวว่าแย่แล้ว
เจาหวังเฟยทำงานเลี้ยงของรัชทายาทล่