หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 102-2 ความเข้าใจผิดคลี่คลาย กองทัพซาลาเปาน้อย
ตอนที่ 102-2 ความเข้าใจผิดคลี่คลาย กองทัพซาลาเปาน้อย
เถ้าแก่หรงไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ศูนย์”
เฉียวเวยส่งซื่อจื่อน้อยให้เขา “อุ้มไว้หน่อย”
เถ้าแก่หรง ‘หน้าถอดสี’ “เฮ้ย! เสี่ยวเฉียว! เวลาสำคัญเจ้าอย่าโยนขี้ให้ข้าเช่นนี้!”
เฉียวเวยกลับมาถึงห้องบัญชีชองตนเอง องครักษ์ด้านล่างเริ่มตรวจค้นแต่ละซอกมุมแล้ว นางหยิบเสื้อผ้าของวั่งซูออกมาชุดหนึ่งอย่างว่องไวแล้วเปลี่ยนให้ซื่อจื่อน้อย ซื่อจื่อน้อยมิเข้าใจความแตกต่างระหว่างชายหญิง เมื่อได้ยินว่าเป็นเสื้อผ้าของน้องสาวตัวน้อยก็สวมอย่างเบิกบานใจยิ่งนัก
เฉียวเวยแต้มชาดแตะตรงกลางหว่างคิ้วเขาอีกเล็กน้อย ทาตรงปากอีกนิดหน่อย แต่เดิมเขาก็รูปงาม ยามนี้เมื่อแต่งเนื้อแต่งตัวเช่นนี้ยิ่งราวกับเทพธิดาน้อยที่ถูกแกะสลักจากหยกคนหนึ่ง
เฉียวเวยผูกผมแกละงดงามสองข้างให้ ‘เทพธิดาน้อย’
องครักษ์ของจวนเจาอ๋องค้นหาไล่มาเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าในห้องบัญชีโอ่โถงมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก้มหน้าก้มตาดีดลูกคิด สตรีเยาว์วัยคนหนึ่งถือพู่กันบันทึกสมุดบัญชี โต๊ะตรงกลางระหว่างทั้งสองคน มีเด็กหญิงตัวน้อยแก้มชมพูคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ มือซ้ายถือกล่องไม้ใบหนึ่ง (ของขวัญที่เจ้าซาลาเปาน้อยกับเสี่ยวไป๋มอบให้) มือขวาถือขนมหวานชิ้นหนึ่งกำลังเคี้ยวหงุบหงับน่ารักยิ่งนัก
เฉียวเวยหันมาอย่างนิ่งสงบแล้วยิ้มละไมถามว่า “นายท่านทั้งหลายมีธุระใดหรือ”
ทั้งห้าคนเดินเข้ามาโดยมิเปิดโอกาสให้โต้แย้ง หัวหน้าผู้มีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมเอ่ยว่า “จวนอ๋องทำลูกแมวขาวหาย เห็นบ้างหรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ” เฉียวเวยยิ้มตอบ
พวกเขาเข้ามาในห้อง ค้นหาทุกมุม ทุกตู้ แม้แต่ใต้โต๊ะกับใต้เตียงก็หาจนรอบ ทว่าไม่มีผู้ใดนึกสงสัย ‘เด็กหญิงตัวน้อย’ ที่นั่งแหมะอยู่บนโต๊ะแม้แต่น้อย
“แมวตัวนั้นตัวโตเท่าใด มีจุดเด่นอันใดหรือไม่ ข้าช่วยพวกท่านหาเป็นเช่นไร” เฉียวเวยเอ่ยอย่าง ‘ใส่ใจ’
หัวหน้าองครักษ์ตอบด้วยสีหน้าเฉยชา “มิจำเป็น พวกเราไป!”
“ขอรับ!”
ขบวนคนห้าคนเดินไปยังห้องบัญชีของเฉียวเวยต่อ นอกจากค้นเจอเสื้อผ้าของเด็กน้อยหลายชุดก็หาสิ่งใดมิพบอีก ลองถามเสี่ยวเอ้อร์ดู พอทราบว่าเถ้าแก่รองของพวกเขามีลูกแฝดก็มิสนใจอีก
ด้วยเกรงว่าคนกลุ่มนั้นจะกลับมา เฉียวเวยจึงอุ้มซื่อจื่อน้อยออกทางประตูหลังของหรงจี้
หลังทั้งห้าคนออกจากหรงจี้ก็เริ่มฉุกใจคิดบางอย่างได้จริงๆ ยิ่งคิดเด็กคนนั้นก็ยิ่งคุ้นตา พวกเขาล้วนทำงานอยู่ที่จวนอ๋อง แน่นอนต้องเคยเห็นซื่อจื่อน้อยมาก่อน เพียงแต่มิได้รับใช้ใกล้ตัวจึงเคยเห็นไม่กี่ครั้ง หากเปลี่ยนเป็นแม่นม มองปราดเดียวต้องจำได้แน่
“พี่ใหญ่ท่าไม่ดีแล้ว นางมีลูกแฝด ถ้าเช่นนั้นบุตรชายของนางเล่า พวกเราหาทั้งเหลาสุราก็ไม่เห็นบุตรคนที่สองเลย” เสี่ยวอู่ผู้หัวไวเอ่ยขึ้นมา
พวกเขาย้อนกลับไปยังหรงจี้
เถ้าแก่หรงยิ้มตาหยีเข้ามาต้อนรับ “นายท่านทั้งหลายเหตุใดจึงย้อนกลับมาอีกล่า ท้องหิวใช่หรือไม่ เสี่ยวลิ่ว รีบไปยกอาหารจานเด็ดของร้านเรามาให้นายท่านทั้งหลายสักสองสามอย่าง!”
“ขอรับ!” เสี่ยวลิ่วตอบรับทันควัน
หัวหน้าองครักษ์ยกมือห้าม “ไม่ต้อง เรียกสตรีนางนั้นเมื่อครู่ออกมาซิ”
“สตรีคนใด” เถ้าแก่หรงแสร้งโง่
องครักษ์เอ่ยเสียงเข้ม “สตรีที่อยู่ด้วยกันกับเจ้าเมื่อครู่ เรียกนางกับลูกของนางออกมา!”
เถ้าแก่หรงอธิบาย “บังเอิญจริง นางพาลูกไปเดินเที่ยวตลาดแล้ว พวกท่านก็ทราบ เด็กน้อยน่ะ อยู่ในห้องเดี๋ยวเดียวก็ทนไม่ไหว…”
เสี่ยวอู่โพล่งออกมา “พี่ใหญ่! นางออกทางประตูหลังไปแล้ว!”
หัวหน้าองครักษ์โบกฝ่ามือใหญ่ “ตาม!”
…
เฉียวเวยรู้สึกว่าตนถูกเคราะห์ร้ายแปดชาติตามเล่นงานจึงต้องมาอุ้มเด็กน้อยหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ตามถนน
ซื่อจื่อน้อยมิทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เฉียวเวยอุ้มเขาวิ่งตึงตัง เขาก็คิดว่ากำลังเล่นเกมอยู่จึงกอดคอเฉียวเวยไว้แล้วหัวเราะเอิ้กอ้าก
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “ท่านยังหัวเราะอีก! ท่านรู้หรือไม่ท่านเกือบทำข้าตายแล้ว”
เจ้าเด็กคนนี้เมื่อวานกินลูกกวาดของบุตรสาวนางไม่กี่เม็ดก็ทำให้นางกับเจาหวังเฟยวิวาทกัน วันนี้ยังทำให้นางมีเรื่องกับเจาอ๋องอีก
เฉียวเวยจิ้มจมูกของเขา “ท่านหนาท่านเหตุใดมิอยู่ข้างกายมารดาท่านดีๆ มุดเข้ามาในรถม้าของข้าทำไม หากบุตรชายของข้ากล้าทิ้งข้าตามผู้อื่นกลับบ้าน ข้าจะหักขาของเขาเสีย!”
ซื่อจื่อน้อยมองเฉียวเวยเหมือนไม่เข้าใจ
ช่างเถิด เด็กตัวกระจิ๋วคนหนึ่งเท่านั้น จะเข้าใจอันใดได้เล่า จะโทษก็ได้แต่โทษผู้ใหญ่มิดูแลให้ดี
องครักษ์จวนอ๋องไล่ตามมา พลางตวาดดุดันใส่เฉียวเวย “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ผู้ใดจะหยุดให้โง่
เฉียวเวยอุ้มซื่อจื่อน้อยเลี้ยวเข้าไปในตรอกด้านข้าง
โชคดีที่มีพละกำลังเพิ่มมากขึ้นจึงอุ้มซื่อจื่อน้อยวิ่งได้ไวประหนึ่งเหาะ
องครักษ์ทั้งหลายคิดไม่ถึงว่าสตรีคนหนึ่งที่อุ้มเด็กน้อยอยู่จะวิ่งเร็วกว่าบุรุษอย่างพวกเขา
หัวหน้าองครักษ์ตะโกนสั่ง “พวกเจ้าสองคน อ้อมตรอกทางขวา พวกเจ้าสองคนอ้อมตรอกทางซ้าย เจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้”
ทุกคนขานรับ ตีวงล้อมจากสองเส้นทาง โอบล้อมเฉียวเวย
ด้านซ้ายของเฉียวเวยคือองครักษ์ ด้านขวาก็ด้วย ด้านหลังหัวหน้าคนนั้นกำลังไล่ตามมาดุจไฟลาม นางกระทืบเท้าพุ่งเข้าไปในตรอกด้านหน้า ส่วนพวกเขาแยกกันพุ่งไปทางตรอกสองฝั่ง รอเพียงถึงถนนใหญ่เส้นถัดไปก็จะขวางหน้าดักหลังนาง จับได้ในครั้งเดียว
ปีนี้ช่างดวงตกเสียจริงเชียว แม้คนกลุ่มนี้ไม่แน่ว่าจะสู้ชนะนาง แต่รู้วิชาตัวเบา
หัวหน้าองครักษ์ด้านหลังกำลังจะไล่ตามนางทันแล้ว ปากตรอกก็ถูกองครักษ์โอบล้อมปิดทางไว้ นางจะรุกหรือถอยล้วนยากลำบาก บังเอิญจังหวะนี้รถม้าคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจากปากตรอกพอดี นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วชนองครักษ์ผู้หนึ่งที่ขวางทางออก จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนรถม้า!
เพราะรีบร้อนเกินไป นางจึงมิทันมองใบหน้าของสารถีผู้นั้นชัด ที่แท้เขาก็คือเยี่ยนเฟยเจวี๋ยผู้เคยขับรถม้าให้อัครมหาเสนาบดีที่ประตูสำนักศึกษาหนานซาน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกมุมปากเล็กน้อย แล้วเหวี่ยงแส้ฟาดลงบนอาชาร่างกำยำดังเพี๊ยะสองหน อาชาวิ่งทะยานอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ ตัวรถก็เพิ่มความเร็วขึ้น เฉียวเวยผู้ยังมิทันตั้งหลักดีโผไปด้านหน้า โถมเข้าไปในอ้อมแขนของคนบางคน
ซี๊ด!
มีแต่กล้ามเนื้อทั้งตัว แข็งประหนึ่งก้อนหิน ศีรษะนางกระแทกจนเจ็บไปหมด
เฉียวเวยลูบหน้าผากที่เจ็บปวดพร้อมกับอุ้มซื่อจื่อน้อยลุกขึ้นนั่ง ปากก็ไม่ลืมขออภัย “ขออภัยด้วย คุณชาย ข้ามิได้ตั้งใจ เหตุการณ์เร่งด่วน ล่วงเกินแล้ว! ข้าหลบประเดี๋ยวเดียวก็จะไป จริงสิ ข้ามิได้ชนท่านบาดเจ็บใช่หรือไม่”
ระหว่างที่กล่าว สายตาของนางก็เลื่อนไปจับใบหน้าของอีกฝาย เมื่อนางเห็นหน้ากากหยกขาวนั่นก็ตะลึงในชั่วพริบตา “หมิงซิวหรือ”
จีหมิงซิวปัดอกเสื้อตรงที่ถูกนางชนจนยับเบาๆ สีหน้าเฉยชาประหนึ่งมิได้ยินถ้อยคำที่นางเอ่ย
มาพบเขาที่นี่ช่างโชคร้ายนักเชียว อุตส่าห์สร้างภาพลักษณ์ให้ดีขึ้นมาได้หน่อยแล้ว สุดท้ายก็กลับมาสภาพน่าอเนจอนาถอีก
เฉียวเวยรู้สึกอับอาย ในตอนนี้นางยังไม่ทันสังเกตความเย็นชาในดวงตาของเขา นางอุ้มซื่อจื่อน้อยในอ้อมแขนแล้วถามว่า “หลายวันนี้ท่านไปที่ใดหรือ ไม่บอกกล่าวสักคำ ข้าคิดว่าท่านเกิดเรื่องเสียแล้ว”
จีหมิงซิวไม่เอ่ยวาจาและไม่มองนาง
ในที่สุดเฉียวเวยก็สังเกตเห็นความผิดปกติ นางหันมามองเขา “ท่านเป็นอันใดไป เหตุใดมิพูดกับข้าเล่า”
จีหมิงซิวยังไร้ปฏิกิริยา แต่ดวงตาเบิ่งโตขึ้นเล็กน้อยแล้วจ้องม่านมุกบุปผาเขม็ง เสมือนว่ามิสนใจทั้งสิ้น ไม่ว่าข้างกายมีผู้ใดเพิ่มขึ้นมาหรือเกิดเรื่องอันใดขึ้น
ไม่พบหน้ากันหลายวัน แต่พอได้พบหน้ากลับมีท่าทางเช่นนี้ เฉียวเวยจับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างแท้จริง
ซื่อจื่อน้อยมองเฉียวเวย แล้วมองอัครมหาเสนาบดีผู้มีสีหน้าเย็นชา มือน้อยกอดคอเฉียวเวยแน่น
เฉียวเวยก้มตัวเปิดผ้าม่านแล้วก้าวออกมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรีบเตือน “ออกมาทำอันใด รีบกลับไปนั่งเร็วเข้า ระวังร่วงลงไป!” รถม้าวิ่งเร็วมากอยู่นะ!
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเบา “รบกวนท่านจอดรถม้าสักครู่ ข้าจะลง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขมวดคิ้ว “มีคนไล่ตามเจ้าอยู่! ลงไปทำอันใด ถึงเมืองหลวงค่อยลง!”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “เขาไม่สนใจข้า”
เอ่อ…ความโกรธครั้งนี้ของนายน้อยนานพอสมควรทีเดียว นานแล้วที่ไม่ได้เห็นนายน้อยเป็นเช่นนี้ ดูท่าเขาจะใส่ใจหญิงสาวผู้นี้จริง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตบที่นั่งข้างตัว “หากไม่รังเกียจ นั่งกับข้าตรงนี้เถิด”
แม้ที่นั่งด้านนอกจะไม่นุ่มนิ่มเท่าด้านใน แต่ได้ตากลมก็ดียิ่งนัก เฉียวเวยอุ้มซื่อจื่อน้อยนั่งลง “ข้าอุ้มเด็กด้วยมิเป็นอันใดใช่หรือไม่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิดว่านางเป็นห่วงเด็กน้อยจึงบอกว่า “อากาศร้อนนัก นางโดนลมมิเป็นอันใดหรอก”
“ ‘นาง’ คือซื่อจื่อน้อยของจวนเจาอ๋อง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมือสั่น เกือบจะขับรถม้าตกแม่น้ำ!
“เหตุใดเจ้าไปลักพาตัวซื่อจื่อน้อยจวนเจาอ๋องมา” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำหน้าราวกับถูกสายฟ้าฟาด
เฉียวเวยอยากร้องไห้แต่ร้องมิออก แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างนางกับเจาหวังเฟยยังบอกว่านางลักพาตัวซื่อจื่อน้อยเลย นางกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างมลทินมิออกจริงๆ แล้ว…
ซื่อจื่อน้อยหัวเราะคิกคัก ซุกในอ้อมแขนของเฉียวเวยแล้วหลับไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมิได้เข้าเมืองหลวง แต่ขับรถม้าไปยังจวนอีกหลังหนึ่งของจีหมิงซิวที่อยู่นอกเมือง จวนอยู่ตีนเขา ตั้งอยู่โดดเดี่ยวหลังเดียว สะอาดสะอ้านเรียบง่าย ลานด้านหน้าปลูกต้นไผ่สีเขียวไว้หลายต้น แล้วยังมีสวนดอกไม้น้อยที่ปลูกกล้วยไม้สีขาว สุดปลายสวนดอกไม้คือเรือนหลังหนึ่ง ยกสูงจากพื้นดินครึ่งฉื่อ มีบันไดหินหนึ่งขั้น
จีหมิงซิวก้าวขึ้นบันไดหินแล้วถอดรองเท้า ถุงเท้าสีขาวเหยียบบนพื้นไม้สะอาดที่ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดบนเรือน
เฉียวเวยมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยักคิ้วหลิ่วตาให้ ตามไปสิ!
เฉียวเวยไม่ตาม นางอุ้มซื่อจื่อน้อยทำท่าจะผละจากไป เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรั้งนางไว้ “จะไปแล้วหรือ”
เฉียวเวยพึมพำ “ไม่เห็นหรือเขาหน้าบูดปานนั้น ข้าอยู่ต่อก็หาเรื่องให้ตัวเองลำบาก! จะทำไปทำไมเล่า”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทราบความสัมพันธ์ระหว่างนางกับนายท่านของตน จะดีจะร้ายเขาก็แอบอยู่มุมกำแพงคอยฟังมาตั้งหลายครั้งมิใช่หรือ ติดตามนายน้อยมาก็หลายปี มิเคยเห็นนายน้อยสนใจสตรีนางใดเช่นนี้ แล้วยังใช้มีดฆ่าโคเชือดไก่ เรียกองครักษ์เงาอย่างเขาให้ทำโถที่ปิดสนิทอากาศมิลอดผ่านอะไรนั่นให้แม่หนูคนนี้ทั้งคืนอีก
เริ่มแรกเขามิเข้าใจว่านายน้อยบาดเจ็บได้เช่นไร ต่อมาเมื่อบีบไห่สือซานจนได้ทราบว่าแม่หนูคือคุณหนูใหญ่เฉียวแห่งจวนเอินปั๋ว เขาก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปทั้งหมดแล้ว ยิ่นอ๋องสารเลวคนนั้นจะต้องกล่าววาจาเหลวไหลยั่วโมโมนายน้อยต่อหน้าแน่นอน
กล่าวไปแล้วยิ่นอ๋องก็มิใช่เพิ่งจะปากพล่อยเพียงวันสองวัน นายน้อยมิเคยถือเป็นอารมณ์ แม้แต่ห้าปีก่อนตอนยิ่นอ๋องทำเรื่องเช่นนั้น นายน้อยก็เพียงหัวเราะหยันเพียงครั้งเดียว
ผู้ใดจะรู้ว่าเวลาผ่านไปห้าปี สองคนนี้กลับได้พบกันแล้วเกิดเป็นวาสนารักที่จบด้วยโศกนาฏกรรม
“นายน้อยบาดเจ็บเพราะเจ้า จะไม่ให้เขาโกรธเจ้าสักสองวันเลยหรือไร” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรักนายน้อยของตนเสมือนหนึ่งรักบุตรของตนเอง คนนอกล้วนกล่าวว่านายน้อยมีชีวิตที่น่าอิจฉา แต่มีเพียงพวกเขาเจ็ดคนที่รู้ว่ากว่านายน้อยจะมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ต้องทนทุกข์ทรมานมิรู้เท่าใด และความทุกข์ทรมานนี้ก็ยังไม่สิ้นสุด ยังต้องอดทนตลอดไป
“เขาบาดเจ็บหรือ” หัวใจของเฉียวเวยบีบรัดเบาๆ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ “เรื่องบางอย่างข้ามิสะดวกเอ่ยออกมา เจ้าไปถามเขาดูเองเถิด”
เฉียวเวยเบ้ปาก “ท่าทางเขาดูเหมือนอยากพูดกับข้าหรือ ท่านบอกข้าสักหน่อยจะเป็นอันใด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดไม่ออก มิทราบว่าสมควรจะอธิบายกับนางเช่นไร ผ่านไปครู่หนึ่งจึงงึมงำตอบว่า “เล่าคำเดียวไม่จบ สรุปก็คือเป็นเพราะเจ้า!”
นางหรือ นางมิได้ทำอันใดเลยนะ เฉียวเวยเค้นสมองคิด “ข้ามิได้ทำสิ่งใดสักหน่อย หรือว่าเป็นเพราะยิ่นอ๋อง”
แม่หนูผู้นี้นับว่ามิโง่นัก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงตอบว่า “ล้วนต้องโทษเจ้าที่โกหก!”
เฉียวเวยคิดว่ายิ่นอ๋องหาใครสักคนไปลอบสังหารหมิงซิวเสียอีก เหตุใดจึงโยงมาถึงนางโกหกได้
“ข้าโกหกอันใด” นางมีสีหน้ามึนงง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “เจ้ารู้จักกับยิ่นอ๋องมาก่อน เหตุใดจึงปิดบังนายน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่านายน้อยกับยิ่นอ๋องเป็นคู่อาฆาตกัน”
เฉียวเวยรู้สึกว่าถูกใส่ร้าย “ข้าไม่รู้จักยิ่นอ๋องเสียหน่อย! ผู้ใดรู้จักกับยิ่นอ๋องมาก่อน…ประเดี๋ยวก่อนข้ารู้จักยิ่นอ๋องหรือ ‘ข้า’ รู้จักยิ่นอ๋องหรือ”
เฉียวเวยชี้ตนเอง หรือว่ายิ่นอ๋องกับเจ้าของร่างคนเดิมจะ…
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยท่องยุทธภพมานานปี ความสามารถในการมองผู้คนย่อมมีอยู่บ้าง สีหน้าของแม่หนูไม่เหมือนกำลังโกหก ครั้งนี้จึงผลัดถึงตาเขาสับสน “เจ้ามิรู้จักยิ่นอ๋องจริงหรือ”
เฉียวเวยส่งซื่อจื่อน้อยให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแล้วผลักประตูเข้าไปในเรือน
จีหมิงซิวนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ถือหนังสือที่เฉียวเวยอ่านไม่เข้าใจเล่มหนึ่ง พลิกเปิดทีละหน้าๆ แสงตะวันรำไรทอดลงบนอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ของเขา สะท้อนเป็นประกายแสงดูละมุนตา
เฉียวเวยยืนนิ่งเบื้องหน้าเขา สีหน้าจริงจัง “ท่านบาดเจ็บเป็นเช่นไรบ้าง”
ไม่ผิดจากที่คาด เขาไม่ตอบสักคำ
เฉียวเวยเอ่ยต่อว่า “ขอบอกไว้ก่อน ข้ามิได้อธิบายสิ่งเหล่านี้กับท่านเพื่อตัวข้าเอง แต่ข้าไม่ต้องการเห็นแผนการชั่วช้าของคนถ่อยเช่นยิ่นอ๋องสำเร็จ ข้ามิสนใจว่ายิ่นอ๋องกล่าวอันใดกับท่าน แต่ท่านจงอย่าได้เชื่อคำพูดของเขา หากท่านมีข้อสงสัยก็ถามข้ามาตรงๆ
วันนั้นที่ท่านผิดนัด ยิ่นอ๋องเดินทางมาหรงจี้ ข้ามิทราบว่าเขาล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่านได้เช่นไร แต่เขาดูเหมือนรู้จักท่านดียิ่งนัก ทราบว่าท่านเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เขาหลอกข้าว่าท่านเสนอตัวลงไปจัดการน้ำท่วมที่เจียงหนาน ไม่ถึงสามเดือนห้าเดือนไม่มีทางกลับมา แล้วย้อนถามข้าว่าเหตุใดท่านต้องทำเช่นนั้น ท่านรีบร้อนออกจากเมืองหลวงเช่นนี้ เพราะต้องการหลบคนผู้ใดหรือไม่ ‘คนผู้ใด’ ในคำกล่าวของเขาก็คงหมายถึงข้า”
จีหมิงซิวแววตาวูบไหว
“ไม่ว่าท่านจะหลบข้าจริงหรือไม่ ข้าล้วนมิเชื่อคำพูดของเขา” นางไม่มีทางยอมรับว่าตนไปสืบมาแล้วว่าผู้ที่ลงใต้ไปเจียงหนานคืออัครมหาเสนาบดี นางจึงไม่เชื่อ “เขามาเสี้ยมข้าได้ ไยเขาจะเสี้ยมท่านมิได้ เขาบอกว่าข้ารู้จักเขา ข้าก็ต้องรู้จักเขาจริงๆ หรือไร เขายังวิ่งมาปลอมเป็นบิดาของลูกข้าด้วยซ้ำ! แล้วข้าเชื่อหรือ”
ทันใดนั้นฝ่ามือใหญ่ของจีหมิงซิวก็กำแน่น
เฉียวเวยมองเขา แล้วเอ่ยเหมือนไม่ได้รับความยุติธรรม “ข้ายังไม่เชื่อเขา เหตุใดท่านจึงเชื่อ”
จีหมิงซิวโยนเอกสารตั้งหนึ่งลงบนโต๊ะ
เฉียวเวยหยิบขึ้นมาดู ทั้งหมดล้วนเป็นข้อมูลสำมะโนครัว แต่ละหน้าเขียนไว้ว่าหมู่บ้านลี่ชุนเมืองเตียนตู ตั้งแต่แผ่นแรกจรดแผ่นสุดท้ายไม่มีสักบ้านแซ่เฉียว
เฉียวเวยหน้าแดงแปร๊ดในทันใด “…ก็ได้ ข้าปลอมประวัติ แต่เรื่องนี้ข้าหลอกทางการ มิได้หลอกท่าน ท่านมิเคยถามว่าข้ามาจากที่ใด”
“เจ้ามาจากที่ใด” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยลูบจมูก จะบอกความจริงกับเขาหรือ หากบอกว่าตนเองเป็นวิญญาณเร่ร่อนดวงหนึ่งจากต่างโลก จับพลัดจับผลูเข้ามาสิงในร่างของเจ้าของร่าง เขาจะจับตนข้อหาเป็นภูตผีปีศาจหรือเปล่า เขาจะคิดว่าตนกุเรื่องขึ้นมาส่งเดชอีกหรือไม่
“ต้องการความจริงหรือ ความจริงอาจจะดูน่าเหลือเชื่อสักนิด ข้ากลัวท่านไม่เชื่อ” นางกะพริบตาปริบๆ
จีหมิงซิวมองนางอย่างนิ่งเฉย
เฉียวเวยเม้มปาก แล้วเล่าออกมาเสียงเบา “ข้าจำเรื่องราวก่อนหน้านี้มิได้ ดังนั้นหากท่านถามว่าข้ามาจากที่ใด ในครอบครัวมีผู้ใดบ้าง ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าตื่นขึ้นมาในกระท่อมพังๆ หลังนั้นบนภูเขา ข้างตัวมีเด็กน้อยผอมแห้งดุจไม้ฟืนสองคน ข้านอนอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ บนตัวมีฟางแห้งกองหนึ่งกับเสื้อผ้าของพวกเด็กๆ เด็กผู้ชายยัดเนื้อไก่เย็นชืดเข้ามาในปากข้า เด็กผู้หญิงมองข้ากินทั้งที่ท้องยังหิว พวกเขาตัวเล็กจนเหมือนลิงผอมโซสองตัว…”
โชคยังดีวันนี้ชีวิตไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องกินอยู่แล้ว แต่เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนวันนั้น นึกขึ้นมาว่าลูกน้อยทั้งสองคนเกือบหิวตายหรือแข็งตายอยู่ที่นั่น นางก็ยังรู้สึกยากจะทานทน
“ความทรงจำของข้าเริ่มตั้งแต่วันนั้น เรื่องราวหลังจากนั้น ท่านก็รู้เกือบทั้งหมด เรื่องราวก่อนหน้านั้น ต่อให้ท่านถามข้า ข้าก็จดจำสิ่งมิได้ หากท่านถือสาที่ข้าปิดบังอดีตระหว่างข้ากับใครบางคน ข้ามิได้ตั้งใจ หากท่านถือสาที่ข้ากับยิ่นอ๋อง…ตอนนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่าข้ามีอดีตอันคลุมเครืออันใดกับเขาจริงหรือไม่ แต่ในเมื่อพวกท่านบอกว่ามี ถ้าเช่นนั้นก็คงมีกระมัง หากท่านถือสาเรื่องนั้น ถ้าเช่นนั้นข้าก็มิมีคำใดจะกล่าว ข้ามิอาจเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้”
กล่าวจบ เฉียวเวยก็หันหลังเดินออกมาจากเรือน
เรือนร่างอ้อนแอ้นถูกแสงตะวันส่องจนเกิดเงาทอดยาวบนพื้นที่สะอาดวาวววับดุจของใหม่
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมิเคยอุ้มเด็ก เขามิทราบว่าควรจับซื่อจื่อน้อยเช่นไร ทั้งรังเกียจ ทั้งทำอันใดมิถูก แขนสองข้างยื่นเหยียดตรงออกมาด้านหน้า ใช้สองแขนประคองไว้ เมื่อเห็นเฉียวเวยเดินออกมาก็รู้สึกประหนึ่งเห็นทางรอด “เร็ว รีบมาเอาเจ้าตัวน้อยไป!”
เฉียวเวยอุ้มซื่อจื่อน้อยผู้หลับสนิทมาจากมืออันแข็งทื่อของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย จากนั้นก้าวลงบันไดหิน แล้วสวมรองเท้าเดินลงมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยงุนงง “เอ๋ จะไปแล้วหรือ คุยกันเป็นเช่นไรบ้าง คุยกันเข้าใจแล้วหรือไม่”
คุยจนหมดสิ้นแล้ว แต่ใครคนนั้นไม่เชื่อ นางจะทำอันใดได้อีกเล่า
อยากให้นางร่ำไห้วิงวอนขอให้เขาเชื่อหรือ
นางทำไม่ได้
หากเป็นชาติก่อนของนางเพียงเรื่องเท่านี้ย่อมไม่ถึงกับหาแฟนหนุ่มสักคนไม่ได้
มีอะไรหนักหนานักเชียว ก็แค่หนุ่มหล่อคนหนึ่งมิใช่หรือ
หนุ่มหล่อยุคโบราณมีมากมายไป ครั้งก่อนพ่อหนุ่มชุดแดงคนนั้นก็ไม่เลว ผู้อื่นยังเป็นถึงองค์ชายเก้าผู้ที่ฮ่องเต้โปรดปรานอีกด้วย
เจ้าหมอนี่จะหยิ่งอะไรนัก
คิดว่าตนเองเป็นอัครมหาเสนาบดีจริงๆ หรือไร
นางจะไปแล้ว
ไปจริงๆ แล้ว
จะไปจริงๆ แล้วนะ
ต่อให้เรียกนางก็ไม่หันกลับไปหาแล้ว!
“ไม่ได้ตั้งใจผิดนัดเจ้า แต่มีธุระกะทันหัน” ทันใดนั้นเสียงของจีหมิงซิวก็ดังออกมาจากในห้อง “เป็นเรื่องที่ข้ามิอาจควบคุมได้ จึงไม่มีหนทางบอกกล่าวเจ้า”
เฉียวเวยมึนงง นี่คือกำลังอธิบายให้นางฟังอยู่ใช่หรือไม่