หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 105-2 พาลูกกลับจวน
ตอนที่ 105-2 พาลูกกลับจวน
ประโยคแรกๆ ก็ฟังดูมีเหตุผลดี แต่ประโยคสุดท้ายกลับทำให้หัวหน้าชุยตกใจ “เหตุใดปริมาณมากขึ้นถึงราคาแพงขึ้นเล่า”
“ปริมาณมากเกินไป ข้าต้องขยายจำนวนการผลิตจนเกินกำลัง มันย่อมมีความเสี่ยง ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งไม่มีคำสั่งซื้อปริมาณมากเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นคนที่ข้าจ้าง สถานที่ที่ข้าเช่า คลังเก็บสินข้าที่ข้าซื้อก็ต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นทางที่ดีอย่าซื้อครั้งหนึ่งมากเช่นนั้นจะดีกว่า”
หัวหน้าชุยทำงานในกรมวังมาก็หลายปีแล้ว เขาเคยติดต่อกับพ่อค้าหลายราย ไม่ว่าผู้ใดยามได้ยินว่าทำการค้ากับวังหลวงต่างก็พยายามทำให้จำนวนสินค้าที่สั่งจองมากเข้าไว้ แต่หญิงแซ่เฉียวผู้นี้กลับตระหนักถึงการทำงานตามกำลังที่มี ทำให้อำนาจควบคุมอยู่ในมือของตน ช่างเป็นคนที่พบได้ยากจริงๆ
หัวหน้าชุยกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เดือนละหนึ่งหมื่นกับอีกหนึ่งฟอง เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เพิ่มขึ้นฟองหนึ่ง แต่ลดราคาได้ฟองละสิบอีแปะ ซื้อเช่นนี้ย่อมคุ้มค่ายิ่งนัก
ไข่เป็ดหนึ่งฟองราคาไม่ถึงสองอีแปะ หากซื้อในปริมาณมากยังซื้อได้ราคาถูกลงอีก ขายฟองละเจ็ดสิบอีแปะก็เป็นราคาที่สูงเสียดฟ้าแล้ว แถมยังขายได้ในปริมาณมากเช่นนี้ เฉียวเวยจึงไม่รังเกียจหากว่าตนเองจะได้กำไรน้อยลง
“เพียงแต่…” หัวหน้าชุยพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ลดราคาให้ถูกลงกว่านี้ได้หรือไม่ ไข่เยี่ยวม้าฟองละเจ็ดสิบอีแปะ ออกจะแพงไปอยู่บ้าง”
“หัวหน้าชุย ข้าขายข้างนอกฟองละสองร้อยอีแปะเชียวนะ”
แน่นอนว่าเขารู้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มาหานางถึงบ้าน “ไข่เป็ดเค็มยังราคาเพียงฟองละยี่สิบอีแปะเอง”
“ไข่เป็ดเค็มหาซื้อได้ทั่วทั้งแคว้น แต่ไข่เยี่ยวม้ามีเพียงที่บ้านข้าเท่านั้น ท่านก็เคยลิ้มลองรสชาติแล้ว รับรองว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง ข้ายังมีวิธีปรุงอาหารจากไข่เยี่ยวม้าอีกหลายอย่าง หากหัวหน้าชุยชอบ ข้าสามารถสอนท่านได้ทั้งหมด”
หัวหน้าชุยเริ่มหวั่นไหว
เฉียวเวยฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน “ท่านก็เห็นแล้ว ครอบครัวของข้ายากจนข้นแค้นเพียงใด แล้วข้ายังไม่มีสามี การหาเลี้ยงครอบครัวมิใช่เรื่องง่าย ท่านอย่าเห็นว่ามันเป็นแค่ไข่ วิธีการทำนั้นซับซ้อนกว่าไข่เค็มมาก ต้องจ้างคน ต้องสร้างโรงงาน เมื่อพิจารณาจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วราคานี้ไม่แพงเลย แต่หัวหน้าชุยดูแลข้าถึงเพียงนี้ ข้าเองก็มิใช่คนไม่รู้จักบุญคุณคน เอาเช่นนี้ ไข่เยี่ยวม้าแต่ละฟองที่ขายได้ ข้าจะแบ่งให้ท่านสิบอีแปะ ท่านคิดว่าดีหรือไม่เจ้าคะ”
การรับเงินใต้โต๊ะเป็นเรื่องธรรมดาของกรมวัง มิฉะนั้นคนในกรมวังจะอ้วนท้วนสมบูรณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
ไข่เยี่ยวม้าหนึ่งหมื่นฟอง ได้หักส่วนแบ่งฟองละสิบอีแปะ หนึ่งเดือนก็เท่ากับเงินหนึ่งร้อยตำลึง! นี่มันมิใช่จำนวนน้อยๆ!
เฉียวเวยหงายไพ่มิตรภาพเป็นอย่างสุดท้าย “ขอบอกท่านตามตรงนะเจ้าคะ ข้าส่งไข่เยี่ยวม้าให้หรงจี้ฟองละหนึ่งร้อยอีแปะ หรงจี้ขายฟองละสองร้อยอีแปะ แต่ต้องแบ่งกำไรจากการขายให้ข้าเจ็ดในสิบส่วน ราคาที่ข้าขายให้ท่านถือว่าข้าใจดีจนมิอาจใจดีมากกว่านี้ได้แล้ว ผู้ใดให้ท่านช่วยเหลือข้าไว้มากตอนที่อยู่วังหลวงเล่า พวกเราเคยมีไมตรีต่อกันขนาดนี้ ถึงข้าจะโกงใครแต่ก็ไม่โกงท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
หัวหน้าชุยถูกเกลี้ยกล่อมจนใจอ่อน ตวัดมองนางแวบหนึ่ง “ปากเจ้านี่หนอ แม้แต่คนตายยังพูดให้ฟื้นได้! หากไม่ตกลง ข้าคงรู้สึกละอายใจแล้ว!”
เรื่องนี้จึงตกลงกันได้ด้วยประการฉะนี้ แต่เฉียวเวยยังต้องไปแจ้งเถ้าแก่หรงที่ชาหรงจี้สักคำ ถึงอย่างไรการค้าขายคราวนี้ก็ไม่ได้ทำผ่านหรงจี้
…
“เจ้าทิ้งข้า เจ้าทิ้งข้า เจ้าทิ้งข้า!” หลังจากฟังเฉียวเวยพูดจบ เถ้าแก่หรงก็ร้องโวยวาย
เฉียวเวยเกลี้ยกล่อมอย่างอดทน “ท่านอย่าโกรธเลย ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อกิจการของเหลาสุราเรา ท่านลองนึกดูสิ ข้าไม่ได้ขายข้างนอกเสียหน่อย แต่ขายเข้าวังหลวง หากคนในวังหลวงกินแล้วยังอยากซื้อกินอีกจะไปซื้อที่ใด มิใช่หรงจี้หรอกหรือ ข้าเพียงทำตามจำนวนที่เขาสั่งจองไว้ แต่ข้าไม่ขายปลีก ข้าได้กำไร ท่านก็ได้กำไร ต่างได้กำไรทั้งคู่ แบบนี้ไม่วินวินกันทั้งสองฝ่ายหรือ”
“เวยเวยหมายความว่าอันใด” เถ้าแก่หรงขมวดคิ้ว
เฉียวเวยจึงอธิบาย “ได้กำไรทั้งคู่”
เถ้าแก่หรงคิดอย่างรอบคอบ แล้วก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในวังหลวงมีคนมากมาย ทั้งนายทั้งบ่าว เมื่อขายให้กรมวังในปริมาณจำกัด หากอยากทานเพิ่มก็ต้องออกมาซื้อข้างนอก เรื่องเช่นนี้มันต้องเกิดขึ้นแน่
เถ้าแก่หรงเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ อยู่ๆ ก็ถามอีกครั้ง “ไข่เยี่ยวม้ามากมายขนาดนั้น เจ้าทำไหวหรือ”
ทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ โอกาสร่ำรวยเช่นนี้ ไม่รู้ว่าอนาคตจะยังมีอีกหรือไม่ ฉวยโอกาสตอนหัวหน้าชุยยังอยู่ในตำแหน่ง กอบโกยเงินได้เท่าใดก็เท่านั้น หากวันหนึ่งเขาลงจากตำแหน่งแล้ว รายได้ก้อนโตเช่นนี้อาจหายวับไปกับตาก็ได้
หนึ่งหมื่นหนึ่งฟอง ทำวันละสามร้อยก็เพียงพอแล้ว ส่วนที่หรงจี้ก็ขายวันละห้าสิบฟองไม่เปลี่ยน เมื่อคำนวณโดยเฉลี่ยแล้ว วันหนึ่งก็ตกไม่เกินสี่ร้อยฟอง ลำบากไปบ้างแต่ก็ทำไหว หากไม่ไหวก็สามารถจ้างคนมาช่วยได้ ไม่นับเป็นงานที่หนักหนาอะไร
หลังจากตัดสินใจแล้ว เฉียวเวยก็กลับไปที่หมู่บ้าน เล่าเรื่องการซื้อขายครั้งใหญ่ที่นางเพิ่งตกลงให้ป้าหลัวทราบ
ป้าหลัวตกใจมาก “โอ้โฮ หนึ่งหมื่น…นี่…นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยนะ!”
นี่เป็นจำนวนสำหรับ ‘การทดลองซื้อขาย’ เท่านั้น นางแน่ใจว่าหากผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในวังกินแล้วติดใจ หัวหน้าชุยต้องเพิ่มคำสั่งซื้ออีก
เฉียวเวยยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ได้จะส่งสินค้าตอนนี้ ไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ ค่อยๆ ทำก็ได้” นางหารือกับหัวหน้าชุยไว้ว่ากำหนดส่งสินค้าคือสองเดือนถัดจากนี้ ไข่เยี่ยวม้าจะหมักได้ที่ในเวลาหนึ่งเดือน นางต้องรีบทำให้เสร็จภายในหนึ่งเดือน เมื่อถึงวันส่งสินค้าไข่เยี่ยวม้าทั้งหมดก็จะหมักได้ที่ “ต่อไปกิจการจะใหญ่โตขึ้น ต้องจ้างคนมากมาย วิธีทำคงรั่วไหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ จะขายราคานี้ก็คงทำไม่ได้แล้ว”
ป้าหลัวรู้สึกว่านางต้อง ‘ตกใจ’ เกือบทุกวันหลังจากได้อาศัยอยู่กับแม่หนูคนนี้ นางสงบจิตสงบใจ แล้วถามว่า “ตอนนี้เจ้าต้องจ้างกี่คน”
เฉียวเวยคิดครู่หนึ่ง “ถ้าเป็นมือใหม่ก็ประมาณสามสี่คนก็พอแล้ว”
ป้าหลัวโบกไม้โบกมือ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องจ้าง พวกเราทำกันเองได้”
เฉียวเวยมองการณ์ไกล “ตอนนี้ทำได้ แต่ต่อไปเมื่อกิจการขยายตัวใหญ่ขึ้น อาศัยแค่พวกเราไม่กี่คนคงทำไม่ไหว ทางที่ดีต้องฝึกฝนคนงานใหม่ ถึงเวลานั้นจะได้ไม่ต้องจับแพะชนแกะจนขายของไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปเมืองหลวงดูสักหน่อย หาซื้อคนรับใช้ที่ดูเฉลียวฉลาดกลับมาสักสองสามคน”
ป้าหลัวตกใจ “ซื้อหรือ”
ป้าหลัวเป็นชาวไร่ชาวนาผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย นางไม่เคยซื้อทาส แต่มีคนในหมู่บ้านที่ทนความยากจนไม่ไหว ขายลูกเพื่อเงิน อย่างก่อนหน้านี้น้าหลิวก็เข้าเมืองหลวงไป ‘ขาย’ ลูกสาวของนางให้เป็นสาวใช้ของฮูหยินตระกูลใหญ่ ได้ยินมาว่าฮูหยินคนนั้นตั้งครรภ์อยู่ ไม่สะดวกที่จะปรนนิบัติสามี กลัวว่าอนุเรือนหลังจะชิงความโปรดปรานไปจึงซื้อเด็กสาวมาปรนนิบัติสามีแทนตนเอง น่าสงสารแม่นางสกุลหลิว นางเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ แต่ต้องไปเป็นเมียอุ่นเตียงให้กับผู้ชายแก่คราวพ่อ ได้ยินมาว่าหากโชคดีจะได้เป็นอนุภรรยาที่ออกหน้าออกตาได้ หากโชคไม่ดีก็ต้องรับชะตากรรมเลวร้ายไป
นางมองเฉียวเวย “ครอบครัวของเรา…จะทำเรื่องเช่นนั้นไม่ได้นะ”
เฉียวเวยรู้ดีว่าป้าหลัวเป็นคนใจอ่อน แต่สภาพแวดล้อมยุคนี้เป็นเช่นนี้ ถึงนางไม่ซื้อบ่าวรับใช้ คนอื่นก็ซื้ออยู่ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายของทางการ คนที่ถูกซื้อมาไว้ใจได้มากกว่าคนที่ถูกจ้างมาระยะสั้น ในอนาคตนางยังจะทำกิจการไว้หาเงินอีกไม่น้อย มีคนสนิทของตนเองจะเหมาะสมกว่า
วันรุ่งขึ้นนางออกเดินทางไปเมืองหลวง พอได้ยินว่านางกำลังจะไปเมืองหลวง เด็กสองคนก็เกาะแกะอยากไปด้วย ต่างคนต่างก็เกาะขานางคนละข้าง
นางพูดขำๆ ว่า “แม่ไม่ได้ไปเที่ยว”
“พวกเราก็ไม่ได้ไปเที่ยวนะเจ้าคะ!” วั่งซูพูดทันควัน
ไม่ใช่สิแปลก ผู้ใดไม่รู้ความคิดน้อยๆ นั่นของเจ้า
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่!” วั่งซูพยายามกระโดดให้เฉียวเวยอุ้ม
เฉียวเวยอดใจอ่อนกับท่าทางน่ารักนี้ไม่ได้ จึงไปขอลาหยุดกับซิวไฉเฒ่า
ซิ่วไฉเฒ่าที่ถูกฤทธิ์ยาระบายอ่อนๆ ของเห็ดสนเล่นงานจนทนไม่ไหวกำลังพักผ่อนอยู่พอดี จึงตกลงโดยไม่พูดอะไร
ตามปกติแล้วจะต้องนั่งรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อเข้าไปในเมืองก่อน แล้วจึงจ้างรถม้าจากร้านเช่ารถม้าพาเข้าเมืองหลวง
คนขับรถม้าคือสารถีกวนเช่นเคย
ซาลาเปาน้อยทั้งสองจำเขาได้ วั่งซูที่กำลังอุ้มเสี่ยวไป๋อยู่ร้องเรียกเสียงหวาน “ท่านปู่กวน” สารถีกวนหยิบถั่วลิสงทอดหนึ่งกำมือให้นางอย่างมีความสุข
วั่งซูกะพริบตาแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านปู่กวน แต่แม่ของข้าบอกว่าฟันหัก ข้าเลยกินขนมมิได้เจ้าค่ะ”
อันที่จริงนางไม่ชอบถั่วลิสง!
สารถีกวนรู้สึกขบขัน แล้วหันไปถามจิ่งอวิ๋นอีกคน จิ่งอวิ๋นก็ไม่ชอบถั่วลิสงเหมือนกัน แต่เสี่ยวไป๋กลับชอบ อุ้งเท้าเล็กๆ ของมันหยิบถั่วลิสงขึ้นมากินเสียงดังกร้วมๆ
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากเมืองเล็ก ควบปุเลงๆ ไปตามถนนเส้นหลักอันกว้างขวาง แลเห็นบ้านเรือนสองฝั่งแถวกับต้นไป๋ฮว่าเคลื่อนถอยหลังอย่างรวดเร็ว ดวงตาของวั่งซูเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ พวกเราไปเมืองหลวงจะเจอท่านลุงหมิงหรือไม่เจ้าคะ ข้าไม่เจอเขามานานแล้ว!”
เฉียวเวยลูบศีรษะเล็กๆ ของนางแผ่วเบา “ท่านลุงหมิงไปเจียงหนานแล้ว อีกสักพักถึงจะกลับ”
“อ๋อ” วั่งซูรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “นานเพียงใดเจ้าคะ”
“ลุงหมิงของเจ้าไม่ได้บอกไว้” เฉียวเวยกล่าว
“สามวันพอหรือไม่” วั่งซูชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว
“แม่ก็ไม่รู้สิ”
วั่งซูชูนิ้วขึ้นทั้งห้านิ้ว “ถ้าอย่างนั้นก็ ห้าวัน”
ครั้นเห็นท่าทางกระตือรือร้นของนาง เฉียวเวยก็อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าชอบลุงหมิงมากหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ!” วั่งซูพูดโดยไม่ลังเล
“เหตุใดเล่า” เฉียวเวยถามอย่างสงสัย
“เพราะว่า…ก็เพราะว่าชอบอย่างไรเล่าเจ้าคะ!” วั่งซูยิ้มอย่างสดใส นางชอบให้ลุงหมิงแต่งตัวให้นาง ชอบให้ลุงหมิงเช็ดผมให้ ยามมือลุงหมิงสัมผัสรู้สึกสบายนัก แล้วนางก็ชอบให้ลุงหมิงอุ้มนาง มันเหมือนกับ…เหมือนถูกบิดาอุ้ม
นางไม่มีพ่อ แต่ถ้ามี นางก็หวังว่าจะเป็นเหมือนลุงหมิง
…
สถานที่สำหรับซื้อขายคนของราชวงศ์ต้าเหลียงนั้นมีชื่อเรียกที่น่าตลกมาก มันมีชื่อว่าร้านคนโปรด มีร้านคนโปรดอยู่ในทุกพื้นที่ของเมืองหลวง แต่ที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
ทางทิศตะวันตกของเมืองถือเป็น ‘เขตสลัม’ ของเมืองหลวง อาจเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ร้านคนโปรดมีจำนวนสินค้ามากที่สุด ทั้งยังมีคุณภาพดีที่สุด แถมราคายังไม่แพงนัก เมื่อเทียบกับร้านคนโปรดในเขตอื่น
สารถีกวนกล่าวว่า “ขุนนางหลายคนมักจะมาซื้อสาวใช้กับเด็กรับใช้ที่นี่ ส่วนมากจะตั้งราคาไว้สูง เจ้าต่อรองสักครึ่งหนึ่งก็ยังได้”
ร้านคนโปรดอยู่ในตรอกเล็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยรถม้าของขุนนางที่มาคัดเลือกคนใช้ รถม้าของสารถีกวนไม่สามารถขับเข้าไปได้ ดังนั้นเฉียวเวยจึงต้องลงจากรถแล้วเดินไปแทน
เฉียวเวยจับมือลูกสองคนและเดินเข้าไปข้างใน
ตามคำบอกเล่าของสารถีกวน บ่าวในร้านคนโปรดมิใช่คนดีทั้งหมด บ้างก็เป็นบ่าวที่มีความผิด บ้างก็เป็นโจรขโมย ยังมีเด็กชายกับเด็กหญิงที่ถูกลักพาตัวมาขายไม่รู้กี่ทอดต่อกี่ทอด ตอนที่นางเลือกคนจะต้องถามถึงที่มาของอีกฝ่ายให้ละเอียดถี่ถ้วน ถ้าเกิดพาตัวหายนะกลับไปก็คงจะสายเกินกว่าจะแก้ไข
ไม่ว่าจะเป็นตัวหายนะหรือไม่ใช่ เฉียวเวยล้วนยังไม่ทันเจอ ตอนนี้ก็กลับมาเจอดาวหายนะของจริงเข้าก่อน
เฉียวเวยหมุนตัวหันหลังกลับ!
ดวงตาของยิ่นอ๋องถมึงทึง “หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ท่านบอกให้ข้าหยุด ข้าก็ต้องหยุดอย่างนั้นหรือ ท่านเป็นผู้ใดกัน” เฉียวเวยแค่นเสียงอย่างดูถูกเหยียดหยาม แล้วพาเด็กๆ เดินเลี่ยงไปทางอื่น
ยิ่นอ๋องส่งสายตาให้ขันทีหลิว ขันทีหลิวรีบไล่ตามไปขวางทางเฉียวเวยทันที จากนั้นพูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ฮูหยิน ท่านอ๋องเชิญแล้ว ท่านไปหาเถิด”
เจ้าซาลาเปาน้อยมองเขาอย่างไร้เดียงสา จากนั้นก็หันไปมองมารดา ไม่เข้าใจว่าคำว่า ‘ท่านอ๋อง’ หมายความว่าอะไร คนผู้นั้นคือคุณชายหลี่มิใช่หรอกหรือ หรือว่าท่านอ๋องคือชื่อเล่นของเขา
เฉียวเวยไม่ไป
ยิ่นอ๋องจึงเดินมาด้วยตัวเอง เพราะเห็นแก่เด็กแฝด เขาจึงไม่ลงมือกับนาง ยอมโอนอ่อนผ่อนผันให้สักครั้ง
ยามที่มองไปยังเด็กน้อยน่ารักทั้งสอง ใบหน้าที่เย็นชาและแข็งกระด้างของยิ่นอ๋องพลันแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มนวล “จิ่งอวิ๋น วั่งซู”
แววตาของจิ่งอวิ๋นฉายแววระมัดระวัง
ส่วนวั่งซูเรียกอย่างสุภาพว่า “ท่านลุงหลี่”
ยิ่นอ๋องยกมือขึ้นลูบผมของนาง “ข้าไม่ใช่ท่านลุงของพวกเจ้า ข้าเป็นพ่อของพวกเจ้า”
“ยิ่นอ๋อง!” เฉียวเวยขัดจังหวะเขาเสียงดัง “อย่าพูดเหลวไหลต่อหน้าลูกของข้า! ก่อนหน้านี้ท่านรับปากอะไรไว้กับข้า”
“ที่ข้ารับปากกับเจ้าก่อนหน้านี้คือจะเก็บความลับไว้ก่อนชั่วคราว แต่ตอนนี้ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” ยิ่นอ๋องเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองร้านคนโปรดที่อยู่ไม่ไกล “ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า ที่ข้ามาในวันนี้ เพราะต้องการมาเลือกบ่าวมารับใช้ลูกทั้งสองคน วันนี้ข้าจะพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกลับจวน”
“ท่านกล้าหรือ” เฉียวเวยจับมือของเด็กสองคนแน่น เสี่ยวไป๋ก็เตรียมพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่ ดวงตาทั้งคู่ฉายแววดุร้ายเหมือนสัตว์ร้ายที่นอนจำศีลตัวหนึ่ง
ยิ่นอ๋องแค่นเสียงอย่างเย้ยหยัน “จื่ออวี้หวังดีมารับพวกเจ้าแม่ลูกกลับจวน แต่เจ้ากลับไม่เห็นค่า ขับไล่นางออกไป ในเมื่อเจ้าไม่เห็นพระชายาของข้าอยู่ในสายตา เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว…
…เด็กข้าจะรับกลับ ส่วนเจ้า ข้าไม่ต้องการ”
ดวงตาของเฉียวเวยเย็นชาราวกับน้ำแข็งบนยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ “ผู้ใดจะสน คิดแตะต้องลูกของข้าอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง!”
ยิ่นอ๋องตวาด “เรื่องนี้มิได้ขึ้นอยู่กับเจ้า”
ว่าแล้วเขาก็ส่งสัญญาณมือ หน่วยองครักษ์ชิงอีเว่ยหลายนายทยอยเหาะลงมาจากฟ้า ล้อมเฉียวเวยกับเด็กทั้งสองคนเอาไว้
เจตนาสังหารปรากฏชัดในแววตาของทั้งสองฝ่าย ท่ามกลางอากาศร้อนในคิมหันตฤดู ดูเหมือนจะมีลมหนาวพัดมาอย่างกะทันหัน ทำให้แผ่นหลังของทุกคนเย็นวาบ
เฉียวเวยกล่าวด้วยดวงตาลุกโชนเหมือนคบไฟ “ไม่ใช่ลูกของท่าน ทำไมท่านต้องมาแย่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านเป็นท่านอ๋อง ไม่ขาดผู้หญิง ต้องการมีลูกเท่าใดก็มีได้เท่านั้น ท่านก็ให้คุณหนูตัวหลัวตั้งท้องให้ท่าน! ให้อนุที่อยู่ในจวนของท่านตั้งท้องให้สิ! เหตุใดต้องมาแย่งข้าด้วย”
ยิ่นอ๋องกล่าวด้วยความยโสโอหังเป็นอย่างยิ่ง “ข้าต้องมีลูกเยอะแน่ แต่ข้าจะไม่ยอมให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูระเหเร่ร่อนอยู่กับชาวบ้าน”
“ท่านแม่!” วั่งซูกอดเอวเฉียวเวยแน่น
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เด็กดี เสด็จพ่อจะพาเจ้ากลับจวนนะ”
“ข้าไม่ไป!” วั่งซูฝังศีรษะไว้ในอ้อมแขนของเฉียวเวย
ยิ่นอ๋องมองจิ่งอวิ๋นอีกครั้ง “จิ่งอวิ๋น พาน้องสาวเจ้ากลับจวนกับเสด็จพ่อ”
จิ่งอวิ๋นไม่ขยับ เพียงมองเขาอย่างระแวง
ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง ยิ่นอ๋องจึงไม่โกรธ แต่โน้มตัวลงเล็กน้อย มองจิ่งอวิ๋นอย่างอ่อนโยน “ฟังเสด็จพ่อนะ กลับจวนกับเสด็จพ่อ เสด็จพ่อเป็นท่านอ๋อง เจ้าเป็นคุณชายน้อยของจวนอ๋อง น้องสาวของเจ้าเป็นคุณหนูน้อยของจวนอ๋อง พวกเจ้าสูงศักดิ์กว่าชาวบ้านที่ต่ำต้อยเหล่านั้นร้อยเท่า เมื่อกลับถึงจวนอ๋อง เจ้าจะมีเรือนหลังใหญ่ให้อยู่อาศัย มีคนใช้คอยปรนนิบัติรับใช้พวกเจ้า แล้วยังได้ทานอาหารที่อร่อยที่สุด ได้สวมอาภรณ์ที่ดีที่สุด พวกเจ้าอยากซื้อสิ่งใด เสด็จพ่อก็จะซื้อให้พวกเจ้า อยากไปเที่ยวเล่นที่ใด เสด็จพ่อก็จะให้พวกเจ้าไป”
จิ่งอวิ๋นไม่หวั่นไหว
เฉียวเวยดึงตัวลูกชายไปไว้ด้านหลัง “ข้ายอมรับว่าพวกเขาเป็นลูกของท่านแล้วอย่างนั้นหรือ เรียกตัวเองว่าเสด็จพ่อได้เต็มปากเต็มคำ หน้าด้านจริงๆ!”
ยิ่นอ๋องกล่าวน้ำเสียงเฉียบขาด “เฉียวเวย ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับก็ดี ไม่ยอมรับก็ช่าง ถึงอย่างไรพวกเขาต่างก็เป็นลูกของข้า”
เฉียวเวยยิ้มอย่างประชดประชัน “ท่านก็ทราบตั้งแต่แรกว่าพวกเขาเป็นลูกของท่านมิใช่หรือ แต่ท่านบอกกับข้าว่าอย่างไร ‘อย่าคิดว่าเสแสร้งทำท่าไม่ใส่ใจแล้วข้าจะไม่รู้ความคิดสกปรกเหล่านั้นของเจ้า เล่ห์เพทุบายของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้า! ข้าจะบอกเจ้าให้กระจ่างแจ้ง ไม่ว่าเจ้าจะใช้เล่ห์กลเท่าใด ถึงจะให้กำเนิดเลือดเนื้อของข้าออกมา ข้าก็ไม่ชายตาแลเจ้าเป็นอันขาด!’ ตอนที่ท่านกล่าวเช่นนี้กับข้า เคยคิดจะรับพวกเขาเป็นลูกหรือไม่ ท่านไม่เคย! จากนั้นท่านก็เดินจากไป ทำราวกับกลัวว่าข้าจะเข้าไปก่อกวนท่านไม่ยอมปล่อย! ท่านไม่ได้มารับพวกเขากลับเพราะเห็นแก่ความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขด้วยซ้ำ ท่านก็แค่ต้องการใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือประจบเอาใจฮ่องเต้เท่านั้น!”
ยิ่นอ๋องตกตะลึงเมื่อถูกมองขาด ใบหน้าของเขาประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดงสลับกันอยู่อย่างนั้น
ใช่แล้ว เขาตัดสินใจรับลูกสองคนกลับจวนด้วยเหตุนี้จริง ขนาดคนโง่อย่างซื่อจื่อน้อยยังทำให้เสด็จพ่อคลั่งไคล้ได้ แล้วจิ่งอวิ๋นฉลาดมากขนาดนี้ เขาต้องครอบครองพระทัยทั้งดวงของเสด็จพ่อได้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้น น้ำขึ้น เรือย่อมขึ้นสูงตาม จวนยิ่นอ๋องไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้หน้าไปด้วย
แต่เลือดข้นกว่าน้ำ และเขาก็เอ็นดูเด็กสองคนนี้จากใจจริงอยู่ส่วนหนึ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิ่งอวิ๋นกตัญญูต่อเขาขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ชอบก็แปลกแล้ว
เฉียวเวยพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าจะไม่ให้ท่านพาพวกเขากลับไปเป็นลิงกังไว้แสดงอวด ท่านเลิกหวังเสียเถอะ”
ยิ่นอ๋องตวัดตามองอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าเจ้าหยุดข้าได้หรือ เฉียวเวย เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า นับประสาอะไรกับองครักษ์ของข้าที่มีอยู่มากมาย คมกระบี่ไร้ตา ถ้าระหว่างการต่อสู้พลาดไปทำร้ายถูกเด็กเข้า คนเป็นแม่อย่างเจ้าคงปวดใจกระมัง”