หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 107-2 พี่ซิวช่วยลูก
ตอนที่ 107-2 พี่ซิวช่วยลูก
ขณะที่อามั่วกำลังจะปิดม่านลง ทันใดนั้นอาวุธลับชิ้นหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาจากความมืดมิดของห้วงราตรีแล้วพุ่งเข้าหาเขา!
เขาตัดสินใจอย่างฉับไว ชักกระบี่ขึ้นขวางอาวุธลับที่พุ่งเข้ามา!
เงาดำหลายร่างเหินมาจากบนฟ้าดั่งค้างคาวในคืนอันมืดมิด กระบี่เหล็กนิลในมือของพวกเขาสีดำสนิทเหมือนความมืดยามราตรี กระทั่งพวกเขาเข้ามาประชิดตัวแล้ว อามั่วถึงเพิ่งสังเกตว่ามีอาวุธอยู่ในมือของพวกเขา
อามั่วรวมถึงองครักษ์ชิงอีเว่ยทุกคนถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว!
เงาดำทั้งเจ็ดเตะองครักษ์ชิงอีเว่ยจนกระเด็น จากนั้นเข้ามาอยู่แทนที่ตำแหน่งขององครักษ์ชิงอีเว่ย คอยปกป้องรถม้าที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นหนา
ผู้คุ้มกันทุกนายล้วนมีรอยสักรูปดาบบนหลังมือ กอปรกับกระบี่เหล็กนิลในมือ ทำให้ยิ่นอ๋องทราบตัวตนของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย “คนของสมาคมกระบี่หรือ”
สมาคมกระบี่เป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ ในสถานที่บางแห่งที่อำนาจของราชสำนักไม่สามารถแผ่ไปถึง การดำรงอยู่ของสมาคมกระบี่เปรียบได้กับฮ่องเต้ประจำท้องถิ่นที่เป็นผู้สั่งการทั่วทุกพื้นที่ แต่ศูนย์กลางอำนาจของสมาคมกระบี่อยู่แถวสู่ตี้[1] ไยจึงมาที่เมืองหลวงได้
เดี๋ยวก่อน ใบหน้าเหล่านี้ดูคุ้นเคย เหมือนเขาจะเคยพบที่ไหนสักแห่งมาก่อน
ที่ไหนนะ
…หรงจี้!
ใช่แล้ว ที่หรงจี้!
ในเวลานั้นเขาก็คิดอยู่ว่าคนเหล่านี้ไม่ธรรมดา แต่ประการแรกพวกเขาไม่ได้เผยกระบี่ ประการที่สอง พวกเขาสวมถุงมือปกปิดรอยสักของสมาคมกระบี่ไว้ ทำให้เขาระบุที่มาของคนเหล่านี้ไม่ได้ในทันที
“นายท่านหก ท่านช่างซ่อนตัวเก่งจริงๆ!” เขากล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ฮ่าๆ ถูกท่านอ๋องพบเข้าเสียแล้ว!” ร่างอ้วนท้วมของนายท่านหกเดินออกมาจากตรอกอย่างสบายๆ
ยิ่นอ๋องกล่าวอย่างเย็นชา “นายท่านหกทำให้ข้าหาตัวท่านอย่างยากลำบากนัก!”
“โอ้ ระยะนี้ข้ายุ่งมาก ไม่มีเวลามาสนใจเมืองหลวง เกิดอะไรขึ้น ท่านอ๋องตามหาข้าอยู่กระนั้นหรือ” นายท่านหกแสร้งทำเป็นโง่เขลา
“ไม่ต้องแกล้งโง่ต่อหน้าข้าแล้ว!” ดวงตาของยิ่นอ๋องกวาดสายตามองบรรดาลูกศิษย์ของสมาคมกระบี่ “คิดไม่ถึงว่านายท่านหกจะเป็นคนของสมาคมกระบี่จริงๆ มิน่าเล่าถึงได้กล้าปล่อยให้ข้ารอเก้อ”
นายท่านหกยิ้มอย่างนอบน้อม “มิกล้าๆ ข้าไม่ได้ปล่อยท่านอ๋องรอเก้อ ข้าแค่…จู่ๆ ก็ไม่อยากร่วมมือกับท่านอ๋อง ประการแรกเราไม่ได้ทำข้อตกลง ประการที่สองไม่มีคำสาบาน ข้าทำเช่นนี้คงไม่นับว่ามากเกินไปกระมัง อ้อ ยังมีอีกเรื่อง ข้ามิใช่คนของสมาคมกระบี่ ข้าเพียง…มีความสัมพันธ์กับสมาคมกระบี่เล็กน้อยเท่านั้น”
น้ำเสียงของยิ่นอ๋องประหนึ่งบึงอันเย็นยะเยือก “ข้าไม่สนใจว่าท่านมีความสัมพันธ์อันใดกับสมาคมกระบี่ เรื่องการค้าขายข้าจะไม่ถือสาหาความ ให้คนของท่านออกไปเดี๋ยวนี้แล้วข้าจะทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น”
นายท่านหกเกาหู “โอ้ ทำเช่นนั้นมิได้หรอก คนที่ท่านอ๋องต้องการจับกุมคือผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตท่านแม่ข้า ถ้าข้ามอบนางให้กับท่าน ข้าคงจะถูกฟ้าผ่า”
ยิ่นอ๋องเหลือบมองที่รถม้า “ข้าไม่จับนางก็ได้ ข้าต้องการแค่เด็กสองคน”
“ท่านอย่าหวัง!” เฉียวเวยตะโกนแทรกออกมาจากรถม้าอย่างไม่เกรงใจ
นายท่านหกกางมือ “ได้ยินหรือไม่ท่านอ๋อง ผู้มีพระคุณของข้าไม่เห็นด้วย”
ยิ่นอ๋องเตือนว่า “นายท่านหก การค้าขายเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับความยินยอมของท่านและข้า ข้าไม่มีสิ่งใดจะต่อว่า แม้ตกลงการค้าไม่สำเร็จก็ยังคงความเป็นมิตรต่อกันได้ ข้าจะไม่ตอแยท่าน แต่ถ้าขืนท่านมาขวางไม่ให้ข้าพาลูกของข้ากลับ เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านตั้งตนเป็นปรปักษ์กับข้า! ท่านแน่ใจหรือว่าต้องการทำเช่นนี้”
“เอ่อ…” นายท่านหกเกาศีรษะ
ยิ่นอ๋องกล่าวอีกว่า “แม้ว่าท่านจะได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังในยุทธภพ แต่อย่าลืมว่าแผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินของเสด็จพ่อข้า ราชสำนักเรามีกองทัพนับล้าน การจะทำลายสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งในยุทธภพเป็นเรื่องง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ วันนี้ท่านพาตัวลูกหลานสกุลหลี่ไป วันหน้าทหารกล้าของสกุลหลี่นับล้านจะทำลายสำนักของท่านจนสิ้น!”
“ท่านอ๋องกล่าวน่ากลัวเหลือเกิน ทำอย่างไรดี ข้าจะหัวใจจะวายอยู่แล้ว” นายท่านหกเอามือกุมอก ก้มตัวลงด้วยสีหน้าเจ็บปวด หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ลงมือ!”
แววตาของยิ่นอ๋องเหี้ยมเกรียม “พวกอันธพาลในยุทธภพ กล้าต่อสู้กับราชวงศ์ของแคว้นกระนั้นหรือ ข้าว่าท่านคงมิอยากมีชีวิตอยู่แล้ว! ฆ่าเดี๋ยวนี้! ฆ่าให้หมด!”
ทันทีที่คำสั่งประหารเปล่งออกมา อามั่วจึงนำองครักษ์ชิงอีเว่ยคนอื่นๆ และองครักษ์อีกสี่นายเข้าปะทะทันที ทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อสู้อย่างรวดเร็ว เสียงการต่อสู้สะท้อนก้องถนนอันว่างเปล่า ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหวาดกลัวจนต้องหลีกห่าง ผู้อยู่อาศัยที่ยังไม่หลับ พอได้ยินเสียงเอะอะก็ผลักหน้าต่างออกมาดู ครั้นเห็นเงาดาบคมกระบี่เต็มไปหมดก็รีบกลับไปขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความหวาดกลัว!
เห็นได้ชัดว่าองครักษ์ชิงอีเว่ยมิใช่คู่ต่อสู้ของลูกศิษย์สมาคมกระบี่ แม้นับรวมองครักษ์ทั่วไปอีกแปดนายแล้ว ความได้เปรียบของจำนวนคนก็มิอาจชดเชยช่องว่างของฝีมือได้ ชิงอีเว่ยพ่ายแพ้อย่างราบคาบ นอกจากอามั่ว อีกสามคนที่เหลือต่างสิ้นท่ากันหมด
สีหน้าท่าทางของยิ่นอ๋องยิ่งเคร่งเครียด เขาเป่านกหวีดกระดูกในมือ
นี่คือสัญญาณเรียกองครักษ์ชื่ออีเว่ย
ชื่ออีเว่ยเป็นองครักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของยิ่นอ๋อง พลังมิด้อยกว่านักรบมรณะ
การปรากฏตัวขององครักษ์ชื่ออีเว่ยพลิกสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ศิษย์ของสมาคมกระบี่ถูกบีบให้ออกจากวงต่อสู้ทีละคน
ศิษย์ของสมาคมกระบี่ที่อยู่รอบรถม้าลดลงทีละคน เฉียวเวยรู้สึกถึงไอสังหารอันแข็งแกร่งได้อย่างชัดเจน มันเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งที่แทรกซึมเข้าไปในกระดูก ทะลวงผ่านสันหลัง ทำให้ร่างกายของนางสั่นสะท้าน!
ชื่ออีเว่ยนายหนึ่งงัดหลังคารถม้าปลิวขึ้นไปทั้งยวงด้วยปราณกระบี่!
เฉียวเวยปกป้องลูกไว้ข้างหลัง กำมีดสั้นแน่น แหงนหน้ามองด้านบนด้วยแววตาที่ลุกโชนดุจคบเพลิง
หลังคารถสีน้ำตาลลอยลิ่วขึ้นไปบนอากาศด้วยปราณกระบี่ ชื่ออีเว่ยทะยานร่างขึ้นฟ้า กำกระบี่ไว้ในมือทั้งสองข้าง กำลังจะฟาดฟันให้มันแยกจากกันภายในกระบี่เดียว ทว่าในชั่วพริบตานั้นเองแสงสีเงินสายหนึ่งพลันฟาดลงมาจากบนท้องฟ้า องครักษ์ชื่ออีเว่ยคนนั้นถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ปราณกระบี่เข้มข้นราวกับภูเขาไฟที่กำลังระเบิดซัดร่างของชื่ออีเว่ยผู้นั้นกระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตร ชื่ออีเว่ยกระเด็นไปชนหลังคาบ้านอย่างแรง เศษกระเบื้องบนหลังคาแตกกระจายหล่นลงไปทั่วบริเวณ เศษกระเบื้องที่แตกดั่งเม็ดฝนฝังร่างของเขาไว้ข้างใต้
ร่างกายของเขากระตุกสองครั้ง จากนั้นก็เคลื่อนไหวไม่ได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างห้ามไม่ได้ แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนอง แสงสีเงินนั่นก็ขย้ำคอหอยของพวกเขาทีละคนดุจกรงเล็บของภูตผี
ชั่วพริบตาองครักษ์ทั้งแปดก็ถูกจัดการจนสิ้น
เมื่อนั้นเองทุกคนจึงมองเห็นลำแสงสีขาวเส้นนั้นชัดเจน ที่แท้นั่นมิใช่แสง หากแต่เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง เจ้าของกระบี่สวมชุดสีดำกลมกลืนกับราตรีกาล หากเขามิได้ลงมาหยุดยืนนิ่งอยู่บนพื้นแล้ว ทุกคนก็คงมิอาจสังเกตเห็นเขาได้แม้สักนิด
แววตาของเฉียวเวยไหววูบ “สือชีหรือ”
สือชีรับหลังคารถที่ร่วงลงมาจากกลางอากาศแล้ววางไว้บนรถม้าอย่างมั่นคง จากนั้นเขาจึงเปิดม่านด้วยมือซ้ายแล้วมองเข้าไปข้างใน
เฉียวเวยกล่าวว่า “วั่งซูอยู่ที่นี่ นางสบายดี”
สือชีหันไปมองคนของยิ่นอ๋องอีกครั้ง
องครักษ์ทั้งแปดทรุดอยู่กับพื้น ชื่ออีเว่ยนายหนึ่งเสียสละชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรี อีกสี่คนที่เหลือมองเด็กหนุ่มผู้เป็นดั่งเทพสังหารอย่างหวาดผวา
ใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่ปรากฏสีหน้าใดๆ บนร่างก็ไร้ซึ่งไอสังหาร
ความจริงแล้วไอสังหารอันท่วมท้นมิใช่สิ่งที่ได้มายากที่สุด สิ่งที่บรรลุยากที่สุดคือการเก็บไอสังหารอันท่วมท้นกลับสู่อวัยวะตัน[2]ทั้งห้า ชื่ออีเวยถือตัวว่าเป็นยอดฝีมือระดับเดียวกับนักรบมรณะ แต่กลับยังไม่บรรลุถึงขั้นนั้น
แววตาของยิ่นอ๋องเย็นยะเยือก เขาคิดว่าองครักษ์ชื่ออีเว่ยของเขาทัดเทียมกับนักรบมรณะแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสือชี ฝีมือกลับสู้ไม่ได้สักนิด แต่นั่นก็ไม่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะสือชีเป็นนักรบมรณะระดับสูงสุด แต่ทำไมสือชีถึงมาปรากฏตัวที่นี่
“พวกเจ้า ลงมือเดี๋ยวนี้!”
ไม่มีเวลาสนใจอะไรแล้ว ต้องปิดฉากให้เร็วที่สุด!
องครักษ์ชื่ออีเว่ยโถมเข้าไปทั้งหมด สือชีกวัดแกว่งกระบี่ ปราณกระบี่อันแกร่งกล้าเหมือนพายุกรรโชกแรงชวนให้หนาวสะท้าน เพียงพริบตาเดียวพายุลูกนั้นก็หอบพัดทุกคนลงไปกองกับพื้น แม้แต่ยิ่นอ๋องก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระอักเลือดสดๆ ออกมาเต็มปาก!
รถม้าหยุดที่ปากทางเข้า จีหมิงซิวเดินลงอย่างช้าๆ เสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ เหมือนแสงนวลจันทร์ที่ส่องประกายขับไล่หมอกควันอันมืดมนให้สลายไปภายในพริบตา
ทันใดนั้นถนนที่เอะอะอื้ออึงพลันเงียบสงบ
“ถึงกับกล้าแตะต้องคนของข้า ยิ่นอ๋องอยากตายมากนักหรือ” จีหมิงซิวพูดอย่างสบายๆ
น่าแค้นนัก เจ้าหมอนี่ได้รับคำสั่งลับให้ไปเจียงหนานมิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ จึงกลับมาได้ แล้วเขายังไม่ได้รับข่าวแม้แต่น้อยอีกด้วย
“พวกเขาเป็นลูกของข้า ข้าพาลูกกลับจวน มันเกี่ยวอันใดกับเจ้า ข้าขอเตือนเจ้าอย่าได้แกว่งเท้าหาเสี้ยน!”
“เหอะ” เสียงเยาะเย้ยออกมาจากริมฝีปากของจีหมิงซิว ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดสนิทเหมือนมีคลื่นอากาศปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด “ลูกของเจ้าหรือ วั่งซู”
วั่งซูลืมตาขึ้นอย่างงุนงง เมื่อเห็นเงาร่างอันคุ้นเคย ดวงตาโตพลันยิ้มหยี “ท่านลุงหมิง!”
นางไม่นอนต่อ บิดตัวลงจากอ้อมแขนของมารดา กระโดดลงไปที่พื้นแล้ววิ่งตึกตักไปหาจีหมิงซิว
จีหมิงซิวโน้มตัวลงมา วั่งซูโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ครั้นแล้วเขาจึงอุ้มร่างเล็กๆ ที่เขาเป็นห่วงหนักหนาขึ้นทันที ความเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมาจากกายพลันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที แววตาของเขาอ่อนละมุน “วั่งซู”
แขนเล็กๆ ของวั่งซูโอบรอบคอของเขา ซุกศีรษะเล็กๆ ซบลงตรงซอกคอเขา “ท่านลุงหมิง ทำไมท่านเพิ่งมาเจ้าคะ ท่านลุงคนเลวเกือบจะจับตัวพวกเราไปแล้ว”
“ขอโทษนะ ลุงหมิงมีธุระต้องทำจึงมาช้า ลุงหมิงจะไม่ยอมให้คนเลวพาเจ้าไปอีกแล้ว”
“เจ้าค่ะ!” วั่งซูกอดคอเขาแน่นราวกับกอดความศรัทธาเอาไว้ นางรู้สึกราวกับถูกห้อมล้อมด้วยความรู้สึกปลอดภัยเหลือคณา
จีหมิงซิวหันไปมองยิ่นอ๋องอีกครั้ง “ลูกของเจ้าหรือ”
ยิ่นอ๋องสำลัก
นั่นเป็นลูกสาวของเขา แต่นางกลับสนิทกับผู้ชายอีกคนหนึ่งราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อแท้ๆ ของตน นี่ทำให้เขายากจะทนรับไหวอย่างยิ่ง
แต่เดิมทีลูกสาวก็ไม่สนิทกับเขาอยู่แล้ว
เขาหันหน้าไปมองจิ่งอวิ๋น
ลูกชายชอบเขา ลูกชายจะยืนเคียงข้างเขาอย่างแน่นอน
ทว่าลูกชายกลับทำให้เขาผิดหวังเสียแล้ว จิ่งอวิ๋นไม่มองเขาเลยด้วยซ้ำ เขายืนอยู่ข้างเฉียวเวย มองชายผู้นั้นประหนึ่งเป็นเทพที่ลงมาจากฟากฟ้าเช่นเดียวกับเฉียวเวย
ในเวลานี้ จู่ๆ เขาก็ตระหนักว่าในใจของจิ่งอวิ๋น เขาไม่สำคัญเท่ากับคนนอก!
เพราะเหตุใดกัน เพียงเพราะตนเองมาช้าไป ทำให้ชายผู้นั้นชิงความได้เปรียบไปก่อนหรือ
เหตุใดบุรุษผู้นี้จึงแย่งชิงสิ่งที่เขาเฝ้าปรารถนาไปครอบครองได้ง่ายดายนัก ความไว้วางใจของเสด็จพ่อก็ใช่ อำนาจในราชสำนักก็ด้วย แม้กระทั่งภูมิหลังก็เช่นกัน แม้เขาเป็นท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ แต่กลับเป็นบุตรอนุที่ไม่ได้รับความโปรดปราน เทียบไม่ได้กับหลานชายสายตรงของสกุลจีอันมีเกียรติ
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็มีลูกชายที่เป็นอัจฉริยะแล้ว แต่จีหมิงซิวก็มาแย่งไปจากเขาอีก!
เหมือนตอนที่แย่งคุณหนูใหญ่เฉียวในตอนนั้น!
“ทำไมเจ้าถึงเป็นปรปักษ์กับข้าทุกด้าน ทำไม!”
เขาคำรามเสียงดัง แต่จีหมิงซิวกลับไม่เหลือบมองเขาด้วยซ้ำ “ไม่ชอบหน้าเจ้า เหตุผลนี้เพียงพอหรือไม่”
ยิ่นอ๋องโกรธจนกระอักเลือดออกมาอีก
จีหมิงซิวอุ้มวั่งซูไปที่รถม้าแล้ววางลงอย่างเบามือ วางลงบนฟูกนุ่มๆ กับเบาะรองนั่งที่เป็นเสื่อเย็น วั่งซูร้องพึมพำอย่างสบาย พร้อมกับนอนกลิ้งไปมาราวกับลูกแพนด้า
จีหมิงซิวเดินไปหาเฉียวเวย ลูบเส้นผมอันเปียกลู่จากเหงื่อที่หางตาของนางเบาๆ
เฉียวเวยเตรียมสู้สุดใจกับยิ่นอ๋อง นางไม่กล้าปล่อยมีดสั้นในมือ ทำให้มือยังคงแข็งทื่อมาจนถึงตอนนี้
จีหมิงซิวจับมือข้างที่ถือมีดสั้นของนางเบาๆ กล่าวเสียงนุ่มว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ข้ากลับมาแล้ว”
“เขาแย่งลูกของข้า…” เฉียวเวยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา หัวใจที่แข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้าฉับพลันกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
“ลูกเป็นของเจ้า ไม่มีผู้ใดแย่งไปได้ทั้งสิ้น เชื่อข้าเถิด ขอมีดสั้นให้ข้า” จีหมิงซิวค่อยๆ แกะนิ้วที่แข็งทื่อออกทีละนิ้ว แงะมีดสั้นออกมา จากนั้นดึงฝักมีดออกจากแขนเสื้อกว้างของนางแล้วเก็บมีดเข้าฝัก สุดท้ายนำมีดที่เก็บเข้าฝักแล้วใส่กลับคืนเข้าไปในแขนเสื้อของนาง จูงมือของนางกับจิ่งอวิ๋น “ขึ้นรถดีหรือไม่”
เฉียวเวยอึกอัก “ข้า…ขาของข้าชา”
“เดินเองได้หรือไม่” จีหมิงซิวถามจิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า
จีหมิงซิวปล่อยมือของจิ่งอวิ๋น เขาลูบศีรษะของจิ่งอวิ๋นอย่างแผ่วเบา จากนั้นโน้มตัวลงช้อนตัวเฉียวเวยขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน
ขนตาของเฉียวเวยสั่นระริก “เดี๋ยวๆ ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนี้! ข้าหมายถึงให้ท่านรอข้าประเดี๋ยว! ข้า…ข้าคือข้า…ขาของข้าหายดีแล้ว! ข้าเดินเองได้!”
“อย่าขยับ”
เขากระซิบข้างหูของนาง
เฉียวเวยไม่ขยับอีก
วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นโผล่ศีรษะออกมาจากรถม้า มองดูมารดาของพวกเขาถูกลุงหมิงอุ้มด้วยความสงสัย
ไม่ได้มีแต่พวกเขาที่เฝ้าดูอยู่เท่านั้น ยิ่นอ๋องก็เฝ้าดูอยู่เช่นกัน ตัวยิ่นอ๋องนั้นเฉียวเวยไม่สนใจสักนิด แต่นายท่านหกกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็กำลังดูอยู่นะ แถมใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัยด้วย
เฉียวเวยหน้าแดงจนเป็นสีเดียวกับสีเลือด
นี่เป็นครั้งแรกที่ยิ่นอ๋องได้เห็นรอยยิ้มงามตราตรึงบนใบหน้าของสตรีผู้เข้มแข็งคนนี้ นางแลดูเหมือนดอกกุหลาบตูมที่กำลังจะบานสะพรั่ง ดูเขินอายยิ่งนัก
กาลครั้งหนึ่ง นางก็เคยเคอะเขินเขาเช่นนี้
แต่เฉียวซื่อคนนั้น มิใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว
ตอนจีหมิงซิวอุ้มเฉียวเวยเดินผ่านนายท่านหก จู่ๆ ก็หยุดก้าวเท้า “เรื่องในวันนี้ ขอบคุณนายท่านหกมาก หมิงซิวจะจดจำไว้”
เฉียวเวยกระแอมในลำคอ “ข้า ข้าขอบคุณคนเดียวก็พอแล้ว ท่านมาขอบคุณอะไร” คนที่เขาช่วยไม่ใช่ลูกของท่านเสียหน่อย
แม่หนูคนนี้ออกจะดุร้ายปานนั้น ตอนเล่นงานเขายังเหมือนสุนัขป่าน้อยตัวหนึ่งอยู่เลย แต่พอมาอยู่ต่อหน้าอัครมหาเสนาบดีกลับกลายเป็นแมวป่าตัวน้อยที่ชอบพองขน ฮ่าๆ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริงๆ!
นายท่านหกหัวเราะเสียงดังลั่น “ไม่ต้องขอบใจ พวกท่านทั้งคู่มีบุญคุณกับข้า ข้าตอบแทนบุญคุณก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
เฉียวเวยหายใจติดขัด “ผู้ใดเป็นคู่กับเขา!”
นายท่านหกยิ้ม “ก็น่าจะใกล้แล้วกระมัง! ถึงเวลานั้นอย่าลืมเชิญข้าไปดื่มเหล้ามงคลด้วย!”
จีหมิงซิว “แน่นอน”
แน่นอนอะไรกัน นางบอกว่าจะแต่งงานกับเขาแล้วหรือ
แม้แต่ความสัมพันธ์ฉันแฟนก็ยังไม่ได้เปิดเผย!
แค่จูบๆ หอมๆ เพียงไม่กี่ครั้ง ก็ถือเป็นการตกลงปลงใจจนชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ
นางไม่ยอมรับข้อนี้หรอก!
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
จีหมิงซิวนั่งข้างๆ นาง เยื้องกับเจ้าซาลาเปาน้อยน่ารักทั้งสองคน
หลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายโกลาหลเช่นนี้ วั่งซูก็ไม่ง่วงอีก นางนอนกลิ้งบนเสื่อเย็นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านลุงหมิง ท่านกำลังเกี้ยวพาราสีท่านแม่อยู่หรือเจ้าคะ พี่ชายบอกว่า คนที่ทำเรื่องน่าเขินอายคือคนที่เกี้ยวพาราสี”
ในความคิดของวั่งซู การจูบ การกอด การอุ้มล้วนเป็นเรื่องน่าเขินอาย
แต่เรื่องน่าเขินอายในความคิดของเฉียวเวยคือตำหนักกามารมณ์เจ็ดสิบสองกระบวนท่าอันปราศจากความละอาย ความกระดากและความยับยั้งชั่งใจ
นางหน้าแดง สำลักครั้งหนึ่งแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เด็กๆ ห้ามพูดจาเหลวไหล ข้ากับลุงหมิงของเจ้าบริสุทธิ์ใจต่อกัน”
จีหมิงซิวเหลือบมองมือของใครบางคนที่เอื้อมมาจนเกือบจะถึงกางเกงของเขา บริสุทธิ์ใจ? เหอะๆ
…
ตอนกลางคืนอากาศในเมืองหลวงไม่หนาวเย็นเหมือนอากาศบนภูเขา ความร้อนในตอนกลางวันยังหลงเหลืออยู่ในอากาศ วั่งซูถอดเสื้อผ้าจนโล่ง สวมเพียงเสื้อตัวในเล็กจิ๋วสีแดงกับกางเกงขาสั้นสีเดียวกัน ร่างน้อยที่อ้วนจ้ำม่ำกลิ้งไปกลิ้งมาบนเสื่อเย็นของรถม้า กลิ้งไปชนกับจีหมิงซิวเป็นครั้งคราว นางกลิ้งเข้าไปชนด้วยความสนุกสนาน
เวลานี้จิตใจของจีหมิงซิวเตลิดเปิดเปิง ไม่รู้ตัวอย่างสิ้นเชิงว่าขาของเขาโดนจอมพลังตัวน้อยชนจนช้ำไปหมด
รถม้าหยุดที่เรือนสี่ประสานบนถนนชิ่งเฟิง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโยนแส้ทิ้ง หยิบผลผิงกั่วสีแดงลูกใหญ่ออกมาจากอกเสื้อของเขาและกัดคำโตๆ
สือชีคว้าวั่งซูออกมาจากรถม้า ส่วนจิ่งอวิ๋นเดินตามไปอย่างโดดเดี่ยว
จีหมิงซิวเหลือบมองมือของใครบางคนที่บริการนวดให้อย่างไม่คิดเงินมาตลอดทาง แล้วพับแขนเสื้อขึ้น พูดเสียงเรียบว่า “ตรงที่ควรนวดก็ไม่นวด มันน่านัก!”
เฉียวเวย “…”
…
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ลี่ว์จูได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวในเรือนจึงรู้ว่าเจ้านายกลับมาแล้ว นางรีบสวมเสื้อผ้า แล้ววิ่งออกไปต้อนรับ “เหตุใดนายท่านถึงกลับมาตอนนี้เล่าเจ้าคะ บอกว่าจะไปหนึ่งเดือนมิใช่หรือ” ครั้นเห็นเฉียวเวยที่มีสีหน้าอ่อนเพลียอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจีหมิงซิว นางจึงยิ้มอย่างสดใส “ฮูหยินก็มาด้วย รีบเข้ามานั่งในห้องก่อนเจ้าค่ะ”
“พี่ลี่ว์จู! ข้าก็มาด้วยนะเจ้าคะ!” วั่งซูโผล่ศีรษะกลมเล็กๆ ออกมาจากวงแขนของสือชี
ลี่ว์จูเห็นนางตั้งแต่แรกแล้ว แต่สือชีซ่อนนางไว้ในอ้อมแขนของเขาเหมือนว่ากำลังซ่อนสมบัติอยู่ นางจึงไม่กล้าพรวดพราดรีบไปทักทาย เพราะกลัวว่าจะทำให้สือชีโกรธ ครั้นเห็นนางเริ่มคุยกับตัวเองก่อน ลี่ว์จูก็ยินดีเป็นที่สุด พูดด้วยรอยยิ้มว่า “วั่งซูก็มาด้วยหรือ เหตุใดจึงไปหลบอยู่ในอ้อมแขนของพี่สือชีอย่างนั้นเล่า”
“โธ่ ข้า คือว่าข้า…ข้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า!” วั่งซูปิดหน้าของตัวเองอย่างเขินอาย ก้นเล็กๆ ของนางบิดเหมือนนกกระจอกเทศตัวเล็กๆ ที่พุ่งศีรษะเข้าไปซุกในทราย
ลี่ว์จูอดหัวเราะไม่ได้
จิ่งอวิ๋นเป็นคนพูดน้อย ลี่ว์จูทักทายเขา เขาก็เพียงทักทายว่าพี่ลี่ว์จูอย่างสุภาพแล้วเข้าห้องไปทันที
ลี่ว์จูเดินไปหาเฉียวเวย “ฮูหยิน มีสัมภาระหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเวยส่ายศีรษะ “ไม่มี”
ตอนที่ออกมาช่วยคนไม่คิดว่าจะได้พบกับหมิงซิว คิดว่าช่วยลูกได้ก็จะรีบกลับเมืองทันที ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆ เขาบังเอิญมาปรากฏตัวโดยไม่คาดฝัน แต่ก็โชคดีที่เขาปรากฏตัว ไม่อย่างนั้นคราวนี้คงจะล้มเหลวเป็นแน่และการพยายามช่วยเด็กก็จะยากขึ้นไปอีก
“น้องลี่ว์จู!” เฉินต้าเตาเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันขาวครบทุกซี่
ลี่ว์จูหัวเราะคิกเมื่อเห็นท่าทางทึ่มๆ ของเขา นางยอบกายคำนับอย่างล้อเลียน “คำนับหัวหน้าพรรคเฉินเจ้าค่ะ!”
เฉินต้าเตาหัวเราะอย่างโง่เขลา
ลี่ว์จูเตรียมที่พักให้ทุกคน เฉียวเวยและเด็กๆ ยังคงพักอยู่ที่เรือนตะวันออก เฉินต้าเตาพักอยู่ที่เรือนตะวันตกที่เขาเคยมาพัก ส่วนหวาเซิงกับอาอู่นั้น…ระหว่างทางหลังจากที่พวกเขาถูกเฉินต้าเตาหยิกจนตื่น พวกเขาก็ไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม
ไม่ใช่เพราะเหตุผลใด แต่เพราะสองคนนั้นหน้าตาดีกว่าลูกพี่ต้าเตา!
ลี่ว์จูเรียกคนที่ดูแลเรื่องครัวออกมาให้ต้มน้ำและทำอาหารมื้อดึก
“ดึกมากแล้ว ไม่ควรทานเนื้อดีกว่าเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะย่อยไม่ได้ พ่อครัวหยางบอกว่าจะทำรังนกเชื่อม แล้วก็ทำบะหมี่เย็นทานคู่กับแตงกวาหั่นฝอย พริกหยวก เนื้อแพะตุ๋นพะโล้รสอ่อนหั่นบางๆ และทำไข่ตุ๋นไป่เหอ[3] ไว้ให้เด็กๆ ทานอีกที่หนึ่ง” ลี่ว์จูยืนรายงานอย่างนอบน้อมในเรือนตะวันออก
วั่งซูโพล่งขึ้นว่า “ข้าชอบกินเนื้อแพะ!”
“จิ่งอวิ๋นเล่า” จีหมิงซิวถาม
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า
“อย่างนั้นก็ทำตามนี้” จีหมิงซิวมองเฉียวเวยอีกหน “เจ้าอยากทานอย่างอื่นอีกหรือไม่”
“ไม่แล้ว” นางไม่เคยจู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร
“แล้วนายท่านเล่าเจ้าคะ” ลี่ว์จูถามอย่างกระอักกระอ่วน
จีหมิงซิวนิ่งคิดครู่หนึ่ง “ชงชาดีบัว[4] เข้มๆ มา” พลางเหลือบมองเฉียวเวยแวบหนึ่ง “ลดความร้อนในร่างเสียหน่อย”
เฉียวเวย “แค่กๆ!”
ลี่ว์จูไปที่ห้องครัว ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน คนรับใช้ในครัวกลับไปหมดแล้ว จึงเหลือพ่อครัวหยางอยู่คนเดียว เมื่อลี่ว์จูเห็นเขาสาละวนทำคนเดียวก็รีบไปช่วยเป็นลูกมือให้เขา ขณะไปตักน้ำที่บ่อ เฉินต้าเตารีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว “งานหนักเช่นนี้ให้ผู้หญิงทำได้อย่างไร ถอยไปๆ ข้าทำเอง!”
ลี่ว์จูส่งถังน้ำให้เขา
[1] สู่ตี้ หรือเขตพื้นที่บริเวณมณฑลเสฉวนในปัจจุบัน
[2] อวัยวะตันทั้งห้า ได้แก่ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด ไต ซึ่งคอยควบคุมการไหลเวียนของพลังลมปราณและเลือด
[3] ไป่เหอ คือ ดอกลิลี่
[4] ชาดีบัว มีสรรพคุณคือ แก้อาการหงุดหงิดนอนไม่หลับ การติดเชื้อในช่องปาก ลดความดันโลหิตช่วยขยายเส้นเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ กรณีเส้นเลือดตีบ แก้กระหายน้ำ แก้กระหายหลังอาเจียนเป็นโลหิต แก้น้ำกามเคลื่อนขณะหลับ (ฝันเปียก)