หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 109-2 เตียงแต่งงาน และคฤหาสน์
ตอนที่ 109-2 เตียงแต่งงาน และคฤหาสน์
เฉียวเวยคีบก้างปลาในชามของจิ่งอวิ๋นออก “ทำเสร็จแล้ว รอทางนี้เก็บงานเสร็จ พรุ่งนี้ข้าก็จะเข้าเมืองบอกให้เถ้าแก่หวงส่งเครื่องเรือนมา”
ป้าหลัวพูดขึ้นว่า “ทานข้าวเสร็จแล้ว ข้าจะขึ้นไปเก็บกวาดบนเขาสักหน่อย”
เฉียวเวยยิ้ม “มีพวกอากุ้ยอยู่ ท่านลืมไปแล้วหรือ”
ป้าหลัวเคาะศีรษะของตน “โอ้ ข้านี่ขี้ลืมจริงๆ”
วันรุ่งขึ้นเฉียวเวยไปแจ้งข่าวกับเถ้าแก่หวง เถ้าแก่หวงรับปากว่าจะส่งของขึ้นเขาภายในสองวันนี้ ในช่วงบ่ายของวันที่สอง เถ้าแก่หวงก็ใช้ม้าลากรถบรรทุกของมาจริงๆ เครื่องเรือนบางอย่างเช่น โต๊ะหัวเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะน้ำชา โต๊ะเก้าอี้ที่ไม่ต้องประกอบ เขาก็ขนใส่รถม้ามาโทงๆ มาเช่นนั้น ทั้งสีสันอันสดสวย และรูปแบบอันเป็นที่นิยม ทำให้ชาวบ้านต่างก็พากันชื่นชมจนดวงตาแทบถลนออกมาจากเบ้า
“นั่นเป็นสิ่งที่คนในเมืองใช้กันอย่างนั้นหรือ” สะใภ้บ้านสกุลเหอกล่าวอย่างอิจฉา
น้าจางพูดเสียงเบา “จะไม่ใช่ได้อย่างไร บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านยังไม่สวยขนาดนั้น”
“เสี่ยวเฉียวมีเงินมากจริงๆ” สะใภ้บ้านสกุลเหอกล่าว “ข้าได้ยินมาว่านางจ่ายเงินค่าสร้างบ้านไปหนึ่งร้อยตำลึง”
น้าจางตกตะลึง “โอ้โห มากปานนั้นเชียว”
สะใภ้บ้านสกุลเหอทอดถอนใจ “หญิงม่ายมีความเป็นอยู่ได้ขนาดนี้ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ”
ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่เสี่ยวเฉียวดำเนินชีวิตอย่างที่พวกนางไม่กล้าแม้แต่จะคิด เมื่อก่อนเคยดูถูกหญิงม่ายคนนี้มากเพียงใด ตอนนี้ก็รู้สึกอิจฉานางมากเท่านั้น
หัวหน้าหมู่บ้านกับภรรยาก็ขึ้นภูเขามาร่วมแสดงความยินดีด้วย
“เสี่ยวเฉียว บ้านใหม่เสร็จแล้วหรือ ยินดีด้วยๆ!” หัวหน้าหมู่บ้านประสานมือคำนับ กล่าวพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านตั้งตนเป็นแม่งาน ตะโกนเรียกคนงานทันที “มาทางนี้! เสี่ยวเฉียว วางตู้ไว้ตรงไหน”
“ห้องทางซ้าย!” เฉียวเวยพูดเสียงดัง
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวยิ้มๆ “มาๆ เจ้าเดินนำข้าเข้าไปดูข้างในหน่อย”
เฉียวเวยพาหัวหน้าหมู่บ้านเข้ามาในเรือน ข้างในนั้นมีเด็กน่ารักสองคนกำลังเดินดูรอบๆ เครื่องเรือนที่เพิ่งมาถึง ดวงตาเล็กๆ ที่ฉายแววตื่นเต้นของพวกเขาดูตื่นเต้นยิ่งกว่าการได้เดินทางไปเมืองหลวงเสียอีก
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านมองเห็นดวงตาของตุ๊กตาตัวน้อยสองตัว ก็อดไม่ได้หวนนึกว่าเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเป็นอย่างไร ทั้งขี้อาย ตัวเหลืองซีด ร่างกายผอมโซ ราวกับไม่เคยหัวเราะมาก่อน พบผู้ใดก็ต้องหลีกเลี่ยง ไม่เหมือนตอนนี้ไม่เพียงแต่แข็งแรงขึ้น อารมณ์ยังร่าเริงสดใสอีกด้วย
หัวหน้าหมู่บ้านปลื้มใจมาก
เฉียวเวยนำหัวหน้าหมู่บ้านเดินชมทุกห้อง ห้องแต่ละห้องทั้งกว้างใหญ่ สว่างและโปร่งสบาย หัวหน้าหมู่บ้านยกนิ้วขึ้นและกล่าวอย่างมิได้จริงจังนัก “ตาเฒ่าเจิ้งช่างไร้คุณธรรม! ตอนเขาสร้างบ้านให้ข้า ไม่เห็นละเอียดลออเท่านี้!”
เฉียวเวยกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ยุคสมัยพัฒนา ท่านก็ต้องให้ฝีไม้ลายมือของนายช่างเจิ้งพัฒนาบ้างสิ”
“ฮ่าๆ!” หัวหน้าหมู่บ้านหัวเราะ
มีเครื่องเรือนมากเกินไปจนบรรดานายช่างไม่รู้ว่าควรวางอย่างไรให้เหมาะกับความคิดริเริ่มของเฉียวเวย เฉียวเวยคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านอีกสองสามคำก็ขอตัวไป ‘จัดวาง’ เครื่องเรือน
วั่งซูเดินตามเฉียวเวยเหมือนหางเล็กๆ ที่ติดอยู่เบื้องหลัง “ท่านแม่ๆ เตียงของข้าเจ้าค่ะ! เตียงของข้า!”
เฉียวเวยบีบแก้มของนางอย่างขำๆ “เข้าใจแล้วๆ เตียงของเจ้า” แล้วพูดกับนายช่างว่า “ต่อเตียงให้ลูกสาวของข้าก่อน”
เตียงของวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเป็นเตียงจย้าจื่อเหมือนกัน แตกต่างกันที่วั่งซูเลือก ‘เตียงใหญ่สีทอง’ สีสันแสบตาด้วยตัวเอง เฉียวเวยไม่รู้ว่าเถ้าแก่หวงทำจากวัสดุอะไร แต่โดยสรุปแล้วนกยูงที่แกะสลักบนเสาทั้งสี่ของเตียงนั้นเหมือนทำมาจากทองคำแท้อย่างไรอย่างนั้น
นายช่างสองคนช่วยกันต่อเตียงจย้าจื่อจนเสร็จเรียบร้อย เฉียวเวยปูเบาะรองเตียงหนานุ่มที่เพิ่งซื้อมาใหม่ไว้บนเตียงทั้งสองหลัง วั่งซูแทบจะทนรอไม่ไหว นางถอดรองเท้าแล้วอุ้มนกยูงทองคำหน้าตาบูดเบี้ยวไม่เหลือเค้าเดิมที่นางหยิบติดมาจากจวนยิ่นอ๋องกระโดดขึ้นบนเตียง
นางทั้งกระโดด ทั้งตะโกนเรียกจิ่งอวิ๋น “ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านก็ขึ้นมาด้วยสิ!”
จิ่งอวิ๋นขึ้นไปเช่นกัน
ไม่นานจงเกอร์ก็เดินเข้ามา พร้อมกับมองดูสองพี่น้องด้วยความอิจฉา
เขาก็อยากเล่นเหมือนกัน
แต่กลับถูกกู้ชีเหนียงดึงตัวออกไปก่อน
กู้ชีเหนียงช่วยทำความสะอาดห้อง ขณะที่อากุ้ยต่อเครื่องเรือนกับพวกช่างอยู่ เขาพอจะรู้เรื่องงานไม้อยู่บ้างจึงพอจะเป็นลูกมือให้ช่างได้
หัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่เฉียวเวยจ้างให้มาช่วยงานจากข้างนอกจึงไม่ได้พูดอะไร แต่ไปเดินดูห้องอื่นแทน
นอกรั้วมีชาวบ้านมาชมมากมาย เมื่อทุกคนเห็นสนามหญ้าเขียวขจีและก้อนกรวดกลมๆ ต่างก็ไม่กล้าเหยียบย่ำลงไปเพราะกลัวพื้นจะสกปรก
ป้าหลัวทักทายทุกคนอย่างอบอุ่น “ไม่เป็นไร เข้ามาดูเถอะ! ชุ่ยอวิ๋น! รินน้ำชา!”
“มาแล้วเจ้าค่ะ!” ชุ่ยอวิ๋นชงชาแล้วนำไปให้ชาวบ้านดื่ม
ชาวบ้านจิบไปคำหนึ่ง ชาดี ชารสดีมากๆ
นับว่าเป็นเรื่องดีที่มีคนมาบ้านมากๆ ผู้คนครึกครื้น ฮวงจุ้ยยิ่งดี โชคลาภจึงจะไหลมาเทมา
เฉียวเวยยิ้มพร้อมทั้งกล่าวทักทายชาวบ้าน “ข้ากำลังต่อเตียงอยู่ หากต้อนรับทุกคนไม่ทั่วถึง ขอทุกคนอย่าได้ถือสา!”
ตาเฒ่าซวนจื่อก็มาด้วย เขายิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่หรอกๆ เจ้าทำงานของเจ้าเถอะ พวกเรามาเดินดูเปิดหูเปิดตาเท่านั้น!”
บ้านหลังนี้ช่างงดงามดุจเดียวกับดอกไม้ไฟในคืนนั้น ช่างทำให้ผู้คนประทับใจจริงๆ
“หลบหน่อยๆ!” บรรดานายช่างยกกระดานไม้ขนาดใหญ่เข้าไปในห้องหลัก
ฝูงชนแหวกทางออกเป็นสองแถว สะใภ้บ้านสกุลเหอถามอย่างแปลกใจว่า “นั่นอะไร ภาพวาดหรือ เหตุใดจึงคลุมด้วยไม้”
ตาเฒ่าซวนจื่อก็ไม่รู้เหมือนกัน! เขาแค่ขับรถม้า ทุกครั้งเข้าไปส่งในเมืองแล้วก็กลับ หากกล่าวถึงข้าวของชั้นดี เขาเองก็มิเคยเห็นมามากมายนัก
ซิ่วไฉเฒ่าเอามือไพล่หลัง เดินอาดๆ เข้ามา “นั่นคือฉากบังลม”
“ฉากบังลมใช้ทำอันใด” ตาเฒ่าซวนจื่อถาม
ซิ่วไฉเฒ่าจึงบอกว่า “ฉากบังลม ย่อมเอาไว้ใช้บังลม”
“อ๋อ” ทุกคนนึกได้ทันที
สะใภ้บ้านสกุลเหอเดินเตร่ไปถึงข้างใน แล้วตะโกนบอกทุกคนว่า “มาดูนี่เร็ว! เสี่ยวเฉียวก็ขุดบ่อเลี้ยงปลาด้วย! นางจะเลี้ยงปลาที่บ้าน!”
ซิ่วไฉเฒ่ากลอกตา “เจ้าเคยเห็นบ่อปลาของผู้ใดทำด้วยหินอ่อนสีขาวหรือไม่”
คนที่ใช้หินอ่อนได้ ใครจะเอาไว้ใช้เลี้ยงปลา ว่าแต่คุณหนูรู้หรือไม่ว่านี่คือหินอ่อน คราวที่แล้วบอกเขาว่าเป็นหินถูกๆ…
ตาเฒ่าซวนจื่อขัดจังหวะความคิดของซิ่วไฉเฒ่า “ถ้าไม่ใช้เลี้ยงปลา แล้วไว้ใช้ทำอันใด”
ซิ่วไฉเฒ่าตอบ “เอาไว้ปลูกดอกบัวอยู่แล้วสิ!”
…
ในห้องนอน เฉียวเวยพบว่าเตียงไม่เหมือนกับที่นางสั่งจองล่วงหน้า “หือ? เถ้าแก่หวง ดูเหมือนว่าเตียงที่ข้าสั่งไม่ใช่เตียงป๋าปู้นะ แต่เป็นเตียงจย้าจื่อ”
เถ้าแก่หวงดูตกใจ “เอ๊ะ…เตียงจย้าจื่อหรือ ข้าคงสับสน”
เฉียวเวยเหลือบมองเขาอย่างแปลกใจ เตียงป๋าปู้มีราคาสูงกว่าเตียงจย้าจื่อไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง เรื่องสำคัญเช่นนี้ เถ้าแก่หวงจะสับสนได้อย่างไร
เถ้าแก่ตบต้นขาแล้วพูดว่า “ไอ้หยา บางทีข้าอาจจะส่งเตียงของเจ้าสลับกับเตียงของคนอื่น!”
เฉียวเวยรู้สึกผิดหวัง นางรอเป็นเวลานานกว่าจะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหม่ จู่ๆ มาบอกนางว่าไม่มีเตียงแล้ว จะให้นางไม่โกรธได้อย่างไร
“เถ้าแก่หวง ไม่ใช่ว่าข้าจู้จี้นะ แต่สิ่งที่สำคัญในการทำการค้าก็คือความซื่อสัตย์ ตอนนั้นที่ข้าทำสัญญาผ่อนจ่ายกับท่านครึ่งปี แล้วจะให้ดอกเบี้ยท่านร้อยละสิบ มาตอนนี้ข้ามีเงินทองเหลือเฟือ ข้าก็ไม่ได้ไปยกเลิกการผ่อนจ่าย ต่อให้ข้าจ่ายทั้งหมดได้ในคราวเดียว เงินดอกเบี้ยร้อยละสิบข้าก็จะจ่ายโดยไม่บิดพลิ้ว”
“ใช่ ใช่ ใช่” เถ้าแก่หวงพยักหน้าหงึกหงัก
เฉียวเวยฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน “ท่านยกเตียงกลับก็ได้ แต่ต้องส่งเตียงที่ข้าสั่งมาให้ภายในวันนี้ แล้วข้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
สาวน้อย ไม่ใช่ว่าอยากเอาเปรียบเขาหรอกหรือ
เถ้าแก่หวงพูดด้วยท่าทางยิ้มๆ และนอบน้อม “เดิมทีเตียงป๋าปู้นี้เป็นเตียงที่หลานชายบ้านมารดาข้าสั่งไว้ใช้ในงานแต่งงาน เพราะว่าต้องการใช้อย่างเร่งด่วน ข้าจึงขนส่งสินค้าไปทางน้ำตั้งแต่สองวันที่แล้ว ถ้าจะเอากลับคืนมาตอนนี้ก็สายเกินไป เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เฉียวฮูหยิน ข้าจะไม่ยกสินค้ากลับไปกลับมาแล้ว ทางด้านหลานชาย ข้าจะส่งของไปขอโทษและคืนเงินให้เขาเล็กน้อย ส่วนเจ้าก็จ่ายต้นทุนส่วนที่เกินมา ข้าจะถือว่าทำงานเปล่าๆ คิดแค่ค่าไม้จากเจ้าเท่านั้น!”
เฉียวเวยหัวเราะ “หากคิดแค่ค่าไม้มันจะมากเท่าไรกันเชียว ท่านอย่าเห็นว่าข้าเป็นหญิงม่ายไม่รู้เรื่องแล้วจะรังแกได้ง่ายๆ”
เถ้าแก่หวงอธิบายว่า “ไม้ประดู่แดงของข้าเป็นไม้เนื้อแดงที่ดีที่สุดเลยเชียวนะ!”
เฉียวเวยชี้ไปด้านบนศีรษะ “ท่านบอกว่าเป็นไม้ประดู่ก็เป็นไม้ประดู่หรือ ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกบ้างว่าขื่อบนเสาของข้าทำมาจากไม้หนานมู่เนื้อทอง!”
หนานมู่เนื้อทองไม่ใช่ไม้ธรรมดา มันต้องใช้เวลาถึงหกสิบปีจึงจะเติบโต เนื้อไม้มีความมันวาวสูง แม้ไม่ได้ทาสี แต่ยิ่งใช้กลับยิ่งเงางาม อยู่ได้นับพันปีโดยไม่ผุพัง มีชื่อเรียกอีกอย่างว่ายอดแห่งไม้เนื้อขาวที่มิใช่ไม้เนื้อแข็ง โดยทั่วไปจะใช้กันในวังหลวง แม่หนูนี่ช่างกล้าโม้…
เถ้าแก่หวงเงยหน้าขึ้น ตกใจจนฉี่เกือบจะราด!
โอ้โห หนานมู่เนื้อทองจริงๆ!
เหตุใดบ้านของหญิงชาวนาถึงใช้หนานมู่เนื้อทองได้ ฟังจากน้ำเสียงนางก็เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้จักไม้ชนิดนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า…ตอนที่ซื้อมานางไม่รู้
“ขออนุญาตถาม ขื่อของบ้านหลังนี้เจ้าซื้อมาเท่าไร” เถ้าแก่หวงถามอย่างระมัดระวัง
เฉียวเวยตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “ทำไม จะหลอกถามอะไรข้าเล่า ข้าจะบอกให้ ข้าใช้เงินจำนวนไม่น้อยซื้อมา! หนานมู่เนื้อทองนี่น่ะหรือ ข้าเสียไป…เสียไปตั้ง…ยี่สิบตำลึงเชียวนะ! เพื่อซื้อขื่อชิ้นเท่านี้!” อันที่จริงไม้ทุกชิ้นมีราคารวมกันไม่ถึงยี่สิบตำลึง นี่ไม่ใช่หนานมู่เนื้อทองแต่อย่างใด นางคุยโม้ไปอย่างนั้นเอง
เถ้าแก่หวงแทบกระอักเลือด หนานมู่เนื้อทองราคาถูกปานนี้ เจ้าช่วยขนมาขายให้ข้าสักคันรถเถอะ!
ดูเหมือนว่าจะมีคนมาช่วยลักขื่อเปลี่ยนเสาให้นาง ลักขื่อและเปลี่ยนเสาชนิดที่ความหมายตรงตามตัวอักษรจริงๆ
ครั้นแล้วเถ้าแก่หวงจึงกล่าวว่า “แล้วเจ้าต้องการให้ทำอย่างไร”
เฉียวเวยพูดลากเสียงเล็กน้อย “เรื่องจ่ายเพิ่มก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ท่านอย่าเรียกร้องจนเกินไปนัก!”
“ถ้าอย่างนั้น…ก็จ่ายเพิ่มอีกสิบตำลึงเถอะ” เถ้าแก่หวงพูดอย่างจำใจ
เฉียวเวยชูนิ้วขึ้นมาทั้งห้านิ้ว “ห้าตำลึง! มากกว่านี้ไม่ต้องคุยกัน”
“แปดตำลึง”
เฉียวเวยกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ห้าตำลึง ถ้าไม่เอาก็ขนเตียงป๋าปู้ของท่านไป แล้วเอาเตียงจย้าจื่อมาส่งให้ข้าภายในวันนี้ด้วย!”
แม่นางผู้นี้ตีสองหน้าเก่งยิ่งนัก ตอนมาขอร้องจะผ่อนจ่ายกับเขามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่พอจะเอาเปรียบเขากลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
หากไม่ใช่เพราะเถ้าแก่หวงได้รับการชดเชยมาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เขาคงโกรธนางมาก “ห้าตำลึงก็ห้าตำลึง เฮ้อ ทำอย่างไรได้ข้าทำผิดพลาดเอง”
แม้ปากของเถ้าแก่หวงจะกล่าวว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ในใจกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย แต่เขาจะไม่ยอมให้แม่หนูคนนี้รู้เรื่องนั้นเด็ดขาด
เฉียวเวยจ่ายเงินพลางแอบดีใจอยู่เงียบๆ แน่นอนหากนางรู้ว่ามีคนจ่ายเงินค่าเตียงป๋าปู้ให้แล้ว ความจริงนางไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินห้าตำลึงนี้ เมื่อนั้นนางคงเจ็บปวดจนกระอักเลือด
หลังจากต่อและวางเครื่องเรือนทั้งหมดเสร็จก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เฉียวเวยรั้งให้เถ้าแก่หวงกับพวกนายช่างอยู่ทานข้าวด้วยกัน แต่เถ้าแก่หวงปฏิเสธ เขาบอกว่า “วันนี้ข้าต้องรีบไปทำธุระ ไม่ทานข้าวด้วยดีกว่า เมื่อไรที่เจ้าย้ายขึ้นบ้านใหม่ ข้าค่อยมาร่วมแสดงความยินดี!”
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ตกลง”
“ท่านแม่เจ้าคะ คืนนี้ข้าขอนอนเตียงใหม่ได้หรือไม่” วั่งซูถามเบาๆ
เฉียวเวยตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ได้สิ”
ในยุคปัจจุบัน มีคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่มีฟอร์มาลดีไฮด์ไม่สามารถเป็นกาวได้’ เครื่องเรือนในยุคปัจจุบันใช้ฟอร์มาลดีไฮด์เป็นตัวยึดเกาะจำนวนมาก แต่ในยุคโบราณใช้กาวจากปลาที่เป็นของธรรมชาติบริสุทธิ์
กาวจากปลาหรือที่เรียกกันทั่วไปว่ากาวปลาเหลือง เป็นกาวที่ทำจากกระเพาะปลาและท้องปลา ยึดเกาะไม้ได้ดีเป็นพิเศษ มันมีคุณสมบัติพิเศษในด้านการขยายตัวและการหดตัวจึงสามารถขยายและหดตัวตามการยืดหดของไม้เนื่องจากความร้อนได้ น่าเสียดายวัสดุที่ใช้ทำไม่ได้หามาง่ายๆ วิธีการทำก็ซับซ้อน จึงไม่สามารถผลิตเป็นจำนวนมาก ดังนั้นคนสมัยใหม่จึงนิยมใช้กาวที่มีฟอร์มาลดีไฮด์เป็นตัวตรึง
ดังนั้นเครื่องเรือนในห้องนี้จึงเป็นของธรรมชาติ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่ซ่อนเร้นมากับฟอร์มาลดีไฮด์
คืนนั้นเฉียวเวยย้ายไปอยู่บนเขา สัมภาระของนางจะบอกว่ามากก็ไม่มาก น้อยก็ไม่น้อย ต้องให้หลัวหย่งจื้อใช้เกวียนเทียมลาลากถึงสองรอบ
อากุ้ยกับกู้ชีเหนียงเป็นคนทำความสะอาดที่รกๆ แห่งนี้จนสะอาดสะอ้าน
ตอนแรกที่ได้ยินมาว่าอากุ้ยกับกู้ชีเหนียงเป็นคนที่มาจากครอบครัวขุนนางตกยาก เฉียวเวยยังกังวลเล็กน้อยว่าทั้งสองจะทำงานไม่เก่ง แต่ดูเหมือนว่านางจะคิดมากเกินไป พวกเขาไม่เพียงแต่ทำงานดีเท่านั้น แต่ยังทำงานออกมาได้อย่างดูดีด้วย เนื่องจากเคยอยู่ในบ้านขุนนาง จึงมีสายตาและรสนิยมไม่เลว มีบางจุดที่พวกนางวางไม่สวย ก็ได้พวกเขาทั้งสองคนช่วยจัดแจงให้
ในคฤหาสน์มีชุดเครื่องเรือนสำหรับห้องรับแขกอยู่ชุดหนึ่ง เฉียวเวยย้ายไปไว้ในห้องพักที่อยู่ด้านหลังของคลังสินค้า ต่อจากนี้ไปคลังสินค้าจะเป็นโรงงาน อากุ้ยและกู้ชีเหนียงเลือกห้องที่มีแสงสว่างดีที่สุด เมื่อวางเครื่องเรือนใหม่เข้าไปก็เหมือนได้บ้านใหม่ ทั้งสองคนพอใจมาก
อย่าถามว่าทำไมถึงไม่อนุญาตให้อยู่ในห้องรับแขกของคฤหาสน์ หากมีเพียงชีเหนียงกับเด็ก เฉียวเวยก็คงจะทำเช่นนั้น แต่อากุ้ยเป็นผู้ชาย นางไม่ชินและไม่สะดวกใจ
กู้ชีเหนียงกับอากุ้ยก็คิดเหมือนเฉียวเวย เฉียวเวยเป็นคนดีและไม่ถือตัว พวกเขาจึงกลัวจริงๆ ว่าเฉียวเวยจะให้พวกเขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ด้วย อากุ้ยเป็นชายฉกรรจ์ ไปอยู่ร่วมชายคากับสตรีคนอื่น แค่คิดก็รู้สึกผิดต่อชีเหนียงแล้ว
ชีเหนียงก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น อากุ้ยเป็นของนาง นางอยากให้อากุ้ยมองนางเพียงคนเดียวเท่านั้น
อีกอย่างหากยามค่ำคืนพวกเขาทำกิจกรรมเร่าร้อนกัน ขืนนายหญิงมาได้ยินเข้าคงเป็นเรื่องน่าอายแน่ๆ
ทันทีที่พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่ในห้องพัก ทุกคนก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
คืนนี้ หลังจากจงเกอร์ผล็อยหลับไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทั้งคู่จะแสดงบทรักอันซาบซึ้งตรึงใจกันเช่นไร
เฉียวเวยนั่งริมหน้าต่าง นางแทะเมล็ดแตงพลางมองผ้าม่านที่ทั้งสองลืมดึงลงมา แล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ในที่สุดก็ไม่ต้องเห็นชุ่ยอวิ๋นกับหลัวหลงจื้อแสดงความรักต่อกันแล้ว แต่กลับมีอากุ้ยกับกู้ชีเหนียงมาแทนเสียนี่
โลกใบนี้แสนเหี้ยมโหด เราคนโสดโดดเดี่ยวนัก
วั่งซูมีอ่างอาบน้ำขนาดเล็กส่วนตัว มีเป็ดสีเหลืองไม้หลายตัวที่เฉียวเวยแกะสลักให้ลอยเกลื่อนอยู่ในอ่างอาบน้ำ นางเล่นสนุกมาก นั่งในอ่างไม่ยอมขึ้นจากน้ำ จนกระทั่งเล่นเป็ดเหลืองน้อยจนพังแทบหมด นางถึงยอมวิ่งตัวเปียกออกมา
แต่ห้องเยอะเกินไปแล้ว ท่านแม่อยู่ห้องไหนนะ
“ท่านแม่! ท่านแม่!”
“อยู่นี่!” เฉียวเวยปิดหน้าต่าง!
ปัง!
ทันทีที่เสียงดังออกไปก็มีเสียงดังตึงตังโกลาหลในห้องของซีเหนียงกับอากุ้ย จากนั้นหน้าต่างของพวกเขาก็ปิดลงเช่นกัน
วั่งซูเดินเข้าไปในห้องนอนของเฉียวเวยด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า เฉียวเวยคว้าผ้าฝ้ายแห้งบนชั้นวางอ่างล้างหน้ามาเช็ดตัวให้นาง หลังจากเช็ดเสร็จแล้ว นางก็สวมเอี๊ยมตัวเล็กให้นาง
ลูกสาวของนางใส่เอี๊ยมได้น่ารักมาก
เมื่อเห็นเตียงป๋าปู้ของเฉียวเวย นางก็อุทานด้วยความประหลาดใจ “ท่านแม่เจ้าคะ เตียงของท่านสวยมากๆ! เหมือนบ้านหลังเล็กเลยเจ้าค่ะ!”
นี่คือเตียงแต่งงาน มันต้องสวยอยู่แล้ว
ประดับด้วยสีแดงเข้มสำหรับงานมงคล ทั้งสง่างามและวิจิตรประณีต หน้าตาเรียบง่ายแต่ไม่ล้าสมัย ให้ความรู้สึกหรูหราในทุกส่วนของเตียง
ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสนอนบนเตียงแต่งงานแบบโบราณเช่นนี้
เฉียวเวยนอนลง สัมผัสนุ่มนิ่มทว่าแข็งแรง ทำให้นางหลับตาด้วยความเพลิดเพลิน
สบายจริงๆ
ขาดก็แต่ผู้ชายสักคน
ต้องโทษอากุ้ยกับชีเหนียงที่แสดงความรักต่อหน้านาง ทำให้ความคิดของนางเตลิดไปหมด