หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 110-1 ฝันเหมือนจริง ฉลองขึ้นบ้านใหม่
ตอนที่ 110-1 ฝันเหมือนจริง ฉลองขึ้นบ้านใหม่
เมื่อจีหมิงซิวเดินจากกระท่อมไม้ไผ่เล็กๆ ขึ้นไปบนภูเขา เด็กทั้งสองก็หลับกันหมดแล้ว แม้ปากจะตะโกนว่า “ข้าจะเอาเตียงใหญ่ ข้าอยากได้เตียงใหม่ ข้าอยากนอนคนเดียว” แต่เมื่อถึงเวลานอนจริงๆ พวกเขาก็คลานขึ้นมาบนเตียงของเฉียวเวยอย่างไม่รู้สึกละอาย
เฉียวเวยเอาผ้าห่มบางๆ ห่มให้พวกเขาอย่างขำๆ แล้วถือเสื้อผ้าแห้งเดินเข้าห้องอาบน้ำไป
หลังจากอาบน้ำเสร็จ นางก็เดินออกมาโดยสวมชุดนอนแขนกุดที่เย็บเอง ยามที่ผ้าไหมน้ำแข็งแนบติดผิวกายให้ความรู้สึกเหมือนมีเครื่องปรับอากาศติดอยู่กับตัว จิตใจก็พลอยรู้สึกเย็นสดชื่นด้วย
“หัวหน้าพรรคเฉียวช่างมีอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้เฉียวเวยผงะจนเกือบตกเก้าอี้!
บุรุษผู้นี้เข้ามาได้อย่างไร นางลงกลอนประตูแล้วไม่ใช่หรือ!
“ท่าน…ท่านมาได้อย่างไร เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง” ว่าแล้วเฉียวเวยก็ไปหาเสื้อคลุมมาสวม กระโปรงชุดนี้หากอยู่ในยุคปัจจุบันอาจเป็นชุดที่ปกปิดมิดชิดแล้ว แต่เมื่ออยู่ในยุคโบราณกลับต่างออกไป มันอาจทำให้ผู้อื่นคิดว่านางไม่รักนวลสงวนตัวได้
จีหมิงซิวไม่คิดเช่นนั้น นี่คือบ้านของนางเอง นางจะแต่งตัวเช่นไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของนาง กลับเป็นเขาเสียอีกที่มาอย่างกะทันหันไม่ให้นางได้รู้ตัว
“เตียงใหม่ดูดีทีเดียว” เสียงของจีหมิงซิวดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม พอเฉียวเวยหันกลับไปก็เห็นว่าอีกฝ่ายมองผ่านนางไปสนใจชมห้องใหม่ของนางแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางสงบของเขา เฉียวเวยก็รู้ว่าเขาไม่ได้เข้าใจนางผิด จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วกล่าวว่า “ต้องดูดีสิ ข้าจ่ายเงินไปตั้งมากโข!”
“โอ้ เท่าไรหรือ” จีหมิงซิวถามพร้อมกับรอยยิ้ม
เฉียวเวยยื่นมือออกมา “ห้าร้อยตำลึง!”
ริมฝีปากของจีหมิงซิวยกโค้งขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “นั่นแพงจริงๆ”
อันที่จริง…เมื่อรวมกับค่าส่วนต่างราคาที่จ่ายให้เถ้าแก่หวงเพิ่ม ทั้งหมดรวมเป็นเงินสามสิบห้าตำลึงเท่านั้น แต่นางไม่ยอมรับ เมื่ออยู่ต่อหน้าหนุ่มหล่อ นางต้องรักษาหน้า
“ท่านดูไม้เป็นหรือไม่ เถ้าแก่บอกว่ามันเป็นไม้ประดู่” เฉียวเวยถาม ในใจเกิดความคิดซุกซน
จีหมิงซิวตอบอย่างให้ความร่วมมือ “ข้าดูไม่เป็น”
ดูไม่เป็นเช่นนั้นหรือ ประกายเจ้าเล่ห์แวบผ่านดวงตาของเฉียวเวย “ท่านเห็นขื่อบนศีรษะของข้านี่หรือไม่”
จีหมิงซิวเงยหน้าขึ้น
เฉียวเวยอวดอย่างลำพอง “มันทำจากหนานมู่เนื้อทอง!”
แม้ว่ามันจะทำมาจากหนานมู่เนื้อทองจริงๆ แต่เจ้าตัวน้อยแสนร้ายกาจคนนี้น่าจะไม่รู้ ทว่านางกลับโอ้อวดเสียเหมือนเป็นเรื่องจริง จีหมิงซิวรู้สึกว่านางน่าขำยิ่งนัก
แล้วเฉียวเวยก็พาเขาไปที่สระน้ำของนางต่อ “เห็นนั่นหรือไม่ มันทำจากหินอ่อนสีขาวเชียวนะ!”
“อ้อ หินอ่อนสีขาวหรือ” จีหมิงซิวมองนางอย่างมีเลศนัย
เฉียวเวยถูกมองจนใจเสีย เจ้าหมอนี่ดูไม้ไม่เป็น นางจึงโม้จนติดลมลากเขามาที่สระน้ำต่อ แต่กลับลืมไปว่าเขาอาจมีความรู้เรื่องก้อนหินอยู่บ้าง หวังว่าเขาจะมองไม่ออกนะว่าเจ้าพวกนี้เป็นเพียงก้อนหินราคาถูกเท่านั้น
“ข้ายังไม่เคยเห็นหินอ่อนสีขาว ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” จีหมิงซิวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เฉียวเวยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก แล้วพาจีหมิงซิวเดินรอบๆ คฤหาสน์เหมือนจะอวดสมบัติ อวดให้เขาเห็นทุกซอกทุกมุมและทุกชิ้นส่วนของเครื่องเรือน ทำให้บ้านที่สร้างมาด้วยราคาสองร้อยตำลึง กลายเป็นบ้านราคามากกว่าพันตำลึง
ถึงแม้มันจะราคาประมาณนั้นจริง แต่นางไม่รู้ว่ามันมีราคาขนาดนั้น การโอ้อวดของหญิงสาวทำให้คนอดขำไม่ได้จริงๆ
จีหมิงซิวไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มในดวงตาได้
เฉียวเวยโอ้อวดทั้งคืน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านางภาคภูมิใจมากเพียงไร “ไม่น้อยหน้าเรือนสี่ประสานของท่านกระมัง ข้ายังมีข้าวของอีกมากอยู่ระหว่างขนส่ง ยังขนมาไม่ทัน! เดี๋ยววันไหนส่งมาแล้ว ท่านค่อยมาชมบ้านข้าอีกสักหน”
เสี่ยวไป๋เอามือปิดหน้า มันทนมองไม่ไหวแล้วจริงๆ
จีหมิงซิวอมยิ้ม “ตกลง”
…
คืนนั้นเฉียวเวยฝัน นางฝันว่าตัวเองเด็ดดอกฟ้าย่ำยีอัครมหาเสนาบดีผู้สูงส่ง
เฉียวเวยสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมานั่งแล้วเพิ่งตระหนักว่าตัวเองฝันไป ตอนนี้นางกำลังนอนอยู่บนเตียงป๋าปู้ที่นางได้มาจากการ ‘ขู่กรรโชก’ เถ้าแก่หวง
ทุกสิ่งในความฝันช่างเหมือนกับความจริง ราวกับว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ
แต่นางจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร นางเป็นหญิงม่ายตัวน้อยผู้ครองตัวอยู่ในจารีตประเพณี!
เฉียวเวยดึงผ้าห่มไหมมาม้วนรอบตัว นางคลี่ยิ้มแล้วกลิ้งไปมาบนเตียง จนกระทั่งนางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ…
ลูกล่ะ
“จิ่งอวิ๋น! วั่งซู!”
วั่งซูวิ่งเข้ามาพร้อมกับศีรษะที่เต็มไปด้วยฟอง “ท่านแม่ ท่านเรียกข้าหรือเจ้าคะ ชีเหนียงกำลังสระผมให้ข้ากับพี่ชายอยู่”
จิ่งอวิ๋นอาบน้ำเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังอาบน้ำให้เสี่ยวไป๋ เมื่อเขาได้ยินมารดาเรียก เขาจึงเข้ามาในห้องพร้อมกับเสี่ยวไป๋ที่มีฟองสบู่อยู่เต็มตัว “ท่านแม่”
เฉียวเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก “พวกเจ้าตื่นกันหมดแล้วหรือ ทำไมไม่มีใครปลุกแม่”
จิ่งอวิ๋นกล่าวว่า “ข้าปลุกแล้ว แต่ท่านแม่เหมือนกำลังฝันดีอยู่ ข้าจึงไม่ได้ปลุกแล้วลุกขึ้นมากับน้องสาวก่อน”
ฝัน…
แค่กๆ!
แก้มของเฉียวเวยเป็นสีแดง นางพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ต่อไปหากจะไปไหนต้องบอกแม่ก่อน ถ้าปลุกแล้วไม่ตื่นก็ปลุกเป็นครั้งที่สอง ปลุกครั้งที่สองยังไม่ตื่นก็ให้ปลุกครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ปลุกจนกว่าจะตื่น เข้าใจหรือไม่”
ทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ท่านแม่ดูเหมือนโกรธมาก ใบหน้าเป็นสีแดงด้วยความโกรธ พวกเขาไม่กล้าไปไหนโดยไม่บอกอีกแล้ว
…
เมื่อเฉียวเวยแต่งตัวเรียบร้อย กู้ชีเหนียงก็เตรียมอาหารเช้าเสร็จ เวลานี้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร เรื่องบางอย่าง การแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นย่อมดีกว่า
“ไม่ทราบว่าฮูหยินชอบรสใด ข้าจึงทำตามใจชอบ” กู้ชีเหนียงกล่าว
เฉียวเวยมองซาลาเปา บะหมี่เย็นน้ำมันงาและไข่ต้มบนโต๊ะ แล้วพูดว่า “พอเริ่มทำงาน ก็ไม่ต้องมาทำงานบ้านที่นี่แล้ว ข้าทำเองไหว”
กู้ชีเหนียงคิดว่าเฉียวเวยซื้อพวกเขากลับมาเป็นบ่าวรับใช้ การทำงานก็คงเป็นหน้าที่หนึ่งของบ่าวรับใช้ คิดไม่ถึงเลยว่า…นางจะตั้งใจให้ทำงานอย่างเดียวจริงๆ
“ข้าวางแผนจะเปลี่ยนคลังสินค้าให้เป็นโรงงาน ต่อไปจะให้เจ้ากับอากุ้ยรับผิดชอบการทำความสะอาดและดูแลโรงงาน ตอนนี้คนที่ทำงานมีพวกเราเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อกิจการขยายตัวก็อาจมีคนใหม่เพิ่มเข้ามา เวลาทำงานคือช่วงกลางวัน แต่หากจำเป็นต้องเร่งทำสินค้าก็อาจต้องทำงานล่วงเวลาบ้าง ไม่มีค่าล่วงเวลา แต่จะให้รางวัลประจำเดือนตามแต่ผลงาน”
ผลงาน ล่วงเวลา ค่าล่วงเวลา อากุ้ยกับกู้ชีเหนียงได้ยินแล้วสับสน เฉียวเวยจึงอธิบายเล็กน้อย กล่าวโดยสรุปก็คือหากทำงานดี กิจการเป็นไปด้วยดีก็จะมีรางวัลให้
สมัยราชวงศ์ต้าเหลียงไม่มีคำว่าทำงานล่วงเวลา เจ้านายจะเป็นคนกำหนดชั่วโมงทำงาน การทำงานล่วงเวลาเป็นเรื่องปกติและเป็นการทำงานเปล่าๆ โดยไม่มีค่าตอบแทน ผู้ใดก็ไม่กล้าบ่น ถึงอย่างไรสิ่งที่ไร้ราคาที่สุดในสมัยนี้ก็คือแรงงาน ถ้าเจ้าไม่อยากทำก็ยังมีคนอื่นอีกมากมายที่อยากทำ การรับจ้างใช้แรงงานเล็กน้อยก็ยังรายได้ดีกว่าการทำนา บรรดาพ่อค้าไร้มโนธรรมเหล่านั้นเข้าใจจุดนี้อย่างทะลุปรุโปร่งจึงใช้สิ่งนี้มากดขี่พวกเขาอยู่เสมอ ไม่หักเบี้ยรายเดือนก็ถือว่าดีมากโขแล้ว นี่ยังให้รางวัลอีกหรือ
“รางวัลที่ได้จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ในแต่ละเดือนจะได้รับเบี้ยรายเดือนพื้นฐานสองตำลึง” เมื่อเห็นท่าทางสับสนของทั้งสองคน เฉียวเวยจึงอธิบายต่อว่า “เบี้ยรายเดือนพื้นฐานคือเบี้ยรายเดือนต่ำสุดที่จะได้รับ”
บอกว่าเบี้ยรายเดือนพวกเขาก็เข้าใจแล้ว ตอนอยู่ในครอบครัวขุนนาง เด็กรับใช้กับสาวใช้ระดับล่างจะได้รับเบี้ยรายเดือนคนละหนึ่งตำลึง สาวใช้ระดับสูงและสาวใช้ร่วมห้องนอนจะได้รับสองตำลึง เบี้ยรายเดือนเท่านี้ถือว่าเป็นจำนวนที่น่าพึงพอใจยิ่งนัก
“ข้าได้สองตำลึง แล้วชีเหนียงเล่า” อากุ้ยถาม
เฉียวเวยไม่เข้าใจว่าเขาฟังอย่างไรจึงเข้าใจว่ามีแต่เขาคนเดียวที่ได้รับเบี้ยรายเดือนสองตำลึง “ชีเหนียงก็ได้สองตำลึงเท่ากัน”
อากุ้ยยิ่งแปลกใจ งานอย่างเดียวกัน เบี้ยรายเดือนของผู้หญิงจะเท่าผู้ชายได้อย่างไร มิใช่ว่าเขาไม่ต้องการให้ชีเหนียงมีรายได้มากเท่ากัน เขาเพียงไม่เข้าใจ
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ที่นี่ ชายหญิงเท่าเทียมกัน สองตำลึงเป็นเบี้ยรายเดือนพื้นฐานของพวกเจ้า เบี้ยรายเดือนพื้นฐานเป็นเงินที่กำหนดไว้แล้ว ส่วนรางวัลนั้นไม่แน่นอน ถ้าอากุ้ยไม่ขยัน ไม่แน่ว่าชีเหนียงอาจจะได้เงินในแต่ละเดือนมากกว่าเจ้าก็ได้”
อากุ้ยอึ้งไป
อีกด้านหนึ่ง กู้ชีเหนียงเหมือนมีบางอย่างอยากจะพูด แต่อากุ้ยจับมือนางไว้ นางจึงกลืนคำพูดลงคอ
หลังจากกลับมาถึงห้อง กู้ชีเหนียงนำขนมปังแป้งขาวไปให้จงเกอร์ แล้วปิดประตู “อากุ้ย ทำไมเจ้าไม่ให้ข้าพูด”
อากุ้ยถามกลับว่า “เจ้าต้องการจะพูดอะไร บอกว่านางให้เบี้ยรายเดือนเรามากเกินไปกระนั้นหรือ”
กู้ชีเหนียงถอนหายใจ “พวกเราเป็นทาสซื้อขาด เราไม่สามารถรับเงินมากขนาดนี้ได้”
ไม่ใช่ว่าถ้ารับแล้วพวกเขาจะทำผิดกฏหมาย แต่คนอย่างพวกเขาที่ขายแม้กระทั่งชีวิตให้อีกฝ่ายแล้ว แม้แต่เส้นผมทุกเส้นก็เป็นของเจ้านาย ต่อให้เจ้านายจะทุบตีจนตาย ทางการก็จะไม่ซักไซ้ ไม่เหมือนกับพวกที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘บ่าว’ แต่ปาก พวกเขาไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งเรียกร้องเบี้ยรายเดือนจากเจ้านาย แน่นอนว่าเจ้านายทั่วไปมักจะมอบให้ แต่ก็ให้เพียงครึ่งเดียวของผู้อื่น
อากุ้ยพูดอย่างไม่เห็นด้วย “นางมีเงิน เจ้าไม่เห็นเครื่องเรือนของนางหรือ ดีกว่าเรือนที่เราเคยอยู่ก่อนถูกเนรเทศเสียด้วยซ้ำ แค่เตียงป๋าปู้ของนาง ข้าว่าราคาก็น่าจะสูงนับพันตำลึง แล้วดูขื่อคานของนาง นั่นทำจากหนานมู่เนื้อทอง ปีนั้นปู่ทวดของข้าเคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการมณฑล แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาใช้ไม้ที่หายากเช่นนี้ เงินจำนวนนี้สำหรับนางมิได้มากมายอะไร ไม่แน่ว่านางอาจให้คนอื่นสี่ตำลึง แต่ให้เราเพียงสองตำลึงก็ได้”
“แต่นางทำเช่นนี้…” กู้ชีเหนียงไม่พูดอะไรหลังจากนั้น
อากุ้ยกอดนางและกล่าวว่า “ชีเหนียง เมื่อข้าเก็บเงินได้เพียงพอแล้ว ข้าจะไถ่ตัวพวกเราสองคนแล้วพาเจ้ากับจงเกอร์หนีไปให้ไกล”
…
หลังจากที่เฉียวเวยส่งเด็กๆ ไปที่สำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่าแล้ว นางก็กลับไปที่ภูเขา ขบคิดว่าจะถ่ายน้ำเข้าไปยังสระน้ำได้อย่างไร
สระน้ำไม่ใหญ่มาก ยาวยี่สิบเมตร กว้างสิบเมตร และลึกหนึ่งเมตรยี่สิบกับหนึ่งเมตรแปดสิบ ครึ่งหนึ่งของสระน้ำสร้างบนที่ดินที่นางซื้อมา ส่วนที่เหลือสร้างบนพื้นที่สาธารณะ เรื่องนี้ได้รับการเห็นชอบจากหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว ถึงอย่างไรเบื้องบนก็ไม่มาตรวจสอบเรื่องพวกนี้ หากมีการตรวจสอบขึ้นมาเพียงจ่ายค่าเช่าก็หมดปัญหา หากไม่มีผู้ใดซื้อภูเขาลูกนี้ทั้งลูก เฉียวเวยอยากจะสร้างสระน้ำใหญ่เพียงใดก็ได้ทั้งสิ้น
นี่คือข้อดีของการมีความสัมพันธ์อันดีกับหัวหน้าหมู่บ้าน…
เฉียวเวยมองไปที่สระน้ำว่างเปล่า นางนึกอยากจะเติมน้ำเดี๋ยวนี้แล้วกระโดดลงไปสักตูม แต่น่าเสียดายที่ไม่มีน้ำ
แถวนี้มีแหล่งน้ำใกล้ที่สุดสองแห่ง แห่งหนึ่งเป็นลำธารเล็กๆ ในป่าซึ่งน้ำใสสะอาด อีกแห่งเป็นลำคลองในหมู่บ้าน หากถ่ายน้ำมาจากคลองนั้น คุณภาพอาจไม่ดีเท่าลำธาร แต่อยู่ใกล้และเติมน้ำได้สะดวกกว่า
ขณะที่เฉียวเวยกำลังครุ่นคิดว่าแหล่งน้ำใดเหมาะสมกว่า ป้าหลัวก็เดินมาหาถึงบ้าน “เสี่ยวเวย เจ้าอยู่หรือไม่”
เฉียวเวยเชิญป้าหลัวเข้ามาในห้องโถงใหญ่แล้วรินชาสมุนไพรหล่อฮังก้วยให้นางหนึ่งถ้วย “แม่บุญธรรม ท่านมาได้อย่างไร”
ป้าหลัวเดินตากแดดมาตลอดทาง ร้อนจนเหงื่อออก นางยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มอึกๆ แล้วจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าจะปรึกษาเจ้าเรื่องงานเลี้ยง ตอนนี้เจ้าก็เป็นสมาชิกของหมู่บ้านแล้ว เจ้าต้องจัดพิธีฉลองขึ้นบ้านใหม่ แล้วแต่ว่าจะจัดเล็กหรือจัดใหญ่ แต่ข้าว่า…จัดเล็กไม่ได้ หมู่บ้านเราไม่เคยมีใครสร้างบ้านใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ทุกคนต่างก็อยากมาดูกันทั้งนั้น”
เฉียวเวยพยักหน้า “เอาตามที่ท่านว่า ท่านว่าจัดกี่โต๊ะจึงจะเหมาะสมก็เอาตามนั้น”
ป้าหลัวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “จัดสักสิบโต๊ะเถอะ ผลัดกันกินไม่กี่รอบก็น่าจะพอ พี่ใหญ่เจ้าบอกว่าจะเอากุ้งมาให้เจ้าสองร้อยชั่ง เอามาให้ทุกคนกินอย่างอิ่มหนำสำราญ!”
เฉียวเวยหรี่ตา “จะไม่แพงไปหน่อยหรือ กุ้งสองร้อยชั่ง นั่นต้องใช้เงินมากเท่าไรกัน”
กิจการรับซื้อกุ้งของหลัวหย่งจื้อเป็นไปด้วยดียิ่งนัก มีรายได้เข้ามาทุกวัน ดีกว่าตอนเขาทำนาหลายสิบเท่า ป้าหลัวไม่ใช่คนโลภ จึงไม่ถือสานักหากต้องสูญเสียรายได้สักหนึ่งวัน “เงินมิใช่ปัญหา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเป็นหน้าเป็นตาให้น้องสาว”
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณพี่ใหญ่ล่วงหน้า”
ป้าหลัวตบหลังมือของนางเบาๆ “ที่เขามีกิจการดีๆ เช่นนี้ได้ ก็มิใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ”
เหตุที่นางใจดีกับหลัวหย่งจื้อก็เพราะว่าบ้านสกุลหลัวมีความเมตตาต่อพวกนางแม่ลูกก่อน แต่จะให้ไล่เรียงบุญคุณกันก็คงแบ่งแยกกันได้ไม่ชัด เฉียวเวยจึงยิ้มแล้วกลับมาพูดเรื่องงานเลี้ยงต่อ
ป้าหลัวบอกว่าฤกษ์งามยามดีหรือจะสู้ฤกษ์สะดวก ดังนั้นจึงกำหนดให้จัดงานวันรุ่งขึ้น
ประสบการณ์เกี่ยวกับงานเลี้ยงของเฉียวเวยมีเพียงตอนที่ไปงานเลี้ยงฉลองบัณฑิตถงเซิงของอาเซิงเท่านั้น ในตอนนั้นนางเพียงคอยนั่งทำตามซิ่วไฉเฒ่า ไม่รู้เรื่องกฎเกณฑ์อื่นใด ป้าหลัวหัวเราะนาง ไม่บ่อยนักที่คนเก่งอย่างนางจะพบความยากลำบาก แล้วยังเป็นเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้
ป้าหลัวจึงเป็นเสาหลักของงานนี้ นางพาเฉียวเวยไปซื้อของในวันรุ่งขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง การจัดงานเลี้ยงในชนบทไม่ค่อยมีพิธีรีตองมากนัก เพียงมีหมูเห็ดเป็ดไก่ครบอย่าให้ขาดก็พอแล้ว ป้าหลัวซื้อหมูสามชั้นยี่สิบชั่ง เนื้อหมูไม่ติดมันยี่สิบชั่งและซื้อปลาไนเป็นๆ อีกยี่สิบตัว
ทั้งเป็ด ไก่ และผักมีอยู่ที่บ้านครบหมดแล้ว จึงไม่ต้องเสียเงินซื้อจากข้างนอกอีก ส่วนข้าวสาร แป้งขาว ข้าวโพดและน้ำมันงาต้องซื้อเพิ่ม
“ซื้อไข่เค็มเพิ่มเถอะ” เฉียวเวยกล่าว
ป้าหลัวดุเสียงขุ่น “ได้อย่างไร ไข่เค็มแพงมาก! ฟองละตั้งยี่สิบอีแปะ! กินคนละฟอง โต๊ะหนึ่งก็ปาไปเกือบร้อยอีแปะ!”
เฉียวเวยละอายที่จะเตือนป้าหลัวว่าไข่เยี่ยวม้าของนางราคาฟองละสองร้อยอีแปะ นางตั้งใจว่าจะยกทั้งโถมาต้อนรับแขก
ในที่สุดก็ซื้อไข่เค็มมาจนได้
ด้วยเหตุนี้ ป้าหลัวจึงบ่นเฉียวเวยมาตลอดทาง อย่างเช่น ใช้เงินล้างผลาญบ้างล่ะ เงินทองไม่ได้หามาง่ายๆ บ้างล่ะ ทำไมไม่เก็บเงินไว้เป็นสินเดิมให้ตัวเองบ้างล่ะ
เพื่อเป็นการฉลองขึ้นบ้านใหม่ของเฉียวเวย สำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่าจึงหยุดการเรียนการสอน ซิ่วไฉเฒ่าอาสาเป็นผู้จดบันทึกหนี้น้ำใจ จดจำนวนเงินที่แขกเหรื่อช่วยงานแทนเฉียวเวย
เฉียวเวยคิดว่ามันวิเศษมากที่ตัวเองมีวันรับเงินช่วยงานแบบนี้ด้วย
หลังจากที่ซาลาเปาน้อยทั้งสองตื่น พวกเขาต่างก็เดินชมห้องแต่ละห้องจนครบเหมือนเช่นทุกวัน จากนั้นก็เดินไปที่ประตูอย่างอารมณ์ดี เมื่อก่อนมีแต่พวกเขาเคยไปเล่นบ้านคนอื่น แต่คราวนี้ถึงตาที่พวกเขาได้เป็นเจ้าบ้านและเชิญสหายมาเที่ยวบ้านแล้ว บ้านหลังใหญ่และสวยงามเช่นนี้ แค่คิดก็รู้สึกภูมิใจ!
คนแรกๆ ที่มาถึงคือครอบครัวของเอ้อร์โก่วจื่อ แม่ของเอ้อร์โก่วจื่อไปช่วยงานที่ห้องครัว ส่วนเอ้อร์โก่วจื่อกับน้องชายวิ่งไปเล่นกับคู่แฝด “จิ่งอวิ๋น! วั่งซู!”
จิ่งอวิ๋นกล่าวว่า “ไปเล่นที่ห้องของข้า”
“ห้องส่วนตัวของเจ้าหรือ” เอ้อร์โก่วจื่อประหลาดใจ ขนาดเขาอายุสิบขวบแล้ว ยังนอนเบียดกับน้องชายอยู่ทุกวัน บ้านทั้งเล็กทั้งเหม็นอับ ตอนฝนตกหลังคาก็รั่ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลำบากเพียงไร
จิ่งอวิ๋นพาสองพี่น้องไปที่ห้องของตน
ห้องทั้งใหญ่โตและกว้างขวาง มีเตียงจย้าจื่อ ชั้นตำรา โต๊ะเรียน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะข้างเตียง ชั้นวางตัวเป่า[1] และมีภาพลายอักษรของจิ่งอวิ๋นแขวนอยู่บนผนัง เฉียวเวยเป็นคนนำไปใส่กรอบถึงในเมือง แม้จะเทียบกับผลงานชั้นยอดของปรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียงมิได้ แต่ตัวอักษรก็เริ่มมีความแข็งแกร่งทรงพลังแล้ว
เอ้อร์โก่วจื่อเบิกตาโต ลูบคลำชั้นวางตำรา ลูบคลำโต๊ะ แล้วลูบคลำตัวอักษรบนผนัง “จิ่งอวิ๋น ห้องของเจ้าสวยมาก”
[1] ชั้นวางตัวเป่า เป็นชั้นวางของสไตล์จีนโบราณ ไว้สำหรับตั้งโชว์ของล้ำค่าหรือของสะสมต่างๆ มีลักษณะเป็นวงกลม สี่เหลี่ยม หรือหกเหลี่ยม โดยมีเอกลักษณ์คือทำให้ช่องว่างในตารางไม่เท่ากัน ไม่สม่ำเสมอ