หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 117-2 บุกมาหาถึงบ้าน
ตอนที่ 117-2 บุกมาหาถึงบ้าน
วันนี้เป็นวันคู่ ค่ายบนภูเขาได้กินแต่เนื้อติดมัน เมื่อเห็นหมูสามชั้นที่ทั้งหอมทั้งมันเยิ้มบนโต๊ะรวมถึงปลาที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวล เสี่ยวเว่ยก็ดีใจจนเกือบจะร้องไห้
หลัวหย่งจื้อทราบว่าเฉียวเวยรับคนงานเข้ามาจึงตั้งใจนำกุ้งสิบชั่งมามอบให้ เฉียวเวยทำกุ้งตุ๋นน้ำมันหม้อโตสองหม้อ เก็บไว้กินเองหนึ่งชาม ฝากจิ่งอวิ๋นมอบให้ซิ่วไฉเฒ่าหนึ่งชาม ส่วนที่เหลือนำไปให้ที่โรงงาน
กู้ชีเหนียงกับอากุ้ยเคยสัมผัสความ ‘ฟุ่มเฟือย’ ของเฉียวเวยมาก่อนแล้ว ปกติแล้วเฉียวเวยกินอะไร พวกเขาก็ได้กินอย่างนั้น เรื่องอาหารเฉียวเวยไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียวและไม่เคยวางมาดแบ่งแยก
แต่เสี่ยวเว่ยกับปี้เอ๋อร์เพิ่งเคยพบเจ้านายใจกว้างเช่นนี้เป็นครั้งแรก เสี่ยวเว่ยไม่เคยพบเห็นโลกกว้างย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว ส่วนปี้เอ๋อร์ตั้งแต่ทำงานกับสวีซื่อมา ของกินล้วนย่ำแย่กว่ามื้อนี้มาก อาหารการกินของสาวใช้มิใช่ของดี ของดีมักเป็นสิ่งที่เจ้านายกินไม่หมดแล้วตกรางวัลให้ ไม่เหมือนเฉียวเวย ออกจากหม้อมาก็ยกมาให้พวกเขา เมื่อครู่นางยังเห็นอีกว่าเฉียวเวยให้นายน้อยนำไปมอบให้ท่านอาจารย์ที่สำนักศึกษาชามหนึ่ง ได้กินของเช่นเดียวกับอาจารย์สอนหนังสือ นี่เป็นเรื่องที่ตอนอยู่ในจวนตระกูลใหญ่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝันสักนิด
ปี้เอ๋อร์ตกตะลึง
กุ้งที่หลัวหย่งจื้อนำมามอบให้ล้วนเป็นกุ้งหนักแปดเฉียนตัวอ้วนพี เนื้ออวบนุ่มรสชาติดี มันแต่ไม่เลี่ยน เผ็ดแต่ไม่รสจัดเกินไป แม้แต่จงเกอร์เด็กน้อยที่กินเผ็ดไม่เป็นก็ยังชอบยิ่งนัก
เสี่ยวเว่ยกินจนน้ำตาไหลนองหน้า
ฮือๆ อร่อยเกินไปแล้ว
เมื่อเทียบกับอาหารที่นี่ สิ่งที่เขากินก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นอาหารหมู…
เนื่องจากเป็นวันแรก ปี้เอ๋อร์ไม่ได้นำเสื้อผ้าสำหรับอาบน้ำผลัดเปลี่ยนมาด้วย นางจึงต้องกลับบ้านเที่ยวหนึ่งก่อน ความจริงนางก็อาศัยอยู่ในชนบทเหมือนกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่กับฮูหยินมิใช่หรือ หลังจากมาอาศัยที่นี่คงออกไปข้างนอกตามใจไม่ง่ายเช่นนี้อีกแล้ว
ทานอาหารเสร็จ เฉียวเวยก็พาปี้เอ๋อร์เข้ามาทำความรู้จักกับสภาพภายในคฤหาสน์ “…ทุกวันเจ้าต้องทำความสะอาดลานบ้านทั้งสองแห่ง ตักใบไม้ออกจากสระน้ำ คร่าวๆ ก็มีเท่านี้ ภายในบ้านข้าทำเองก็พอ”
ปี้เอ๋อร์เดินไปทางสระน้ำท้ายเรือน พลางชะเง้อมองทัศนียภาพภายในคฤหาสน์เป็นระยะ ถึงอย่างไรก็เป็นบ้านในชนบท ไม่ได้มีความละเอียดประณีตเช่นจวนเอินปั๋ว การออกแบบก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง แต่ความเรียบง่ายมิได้แปลว่าราคาถูก ตัวอย่างเช่นเตียงจย้าจื่อในห้องของวั่งซู นกยูงสีทองอร่ามบนหัวเสาเหล่านั้นล้วนเป็นทองคำแท้กับเงินบริสุทธิ์ แต่เพราะเตียงหลังนี้ราคาถูกเกินไป ของที่เงินสิบกว่าตำลึงซื้อมาได้ ผู้อื่นจะใช้ทองคำแท้ได้เช่นไร เฉียวเวยจึงคิดว่ามันเป็นของปลอมมาตลอด
แล้วยังมีเตียงป๋าปู้ในห้องของเฉียวเวย เตียงหลังนั้นสวยยิ่งกว่าเตียงหลังใดในจวนเอินปั๋วอย่างแท้จริง
ปี้เอ๋อร์จำได้ว่าคุณหนูใหญ่ก็มีเตียงป๋าปู้หลังน้อยหลังหนึ่ง รูปแบบเป็นเตียงจย้าจื่อแต่ทำพนักกั้นรอบด้านไว้ค่อนข้างสูงจึงดูคล้ายห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง ถึงกระนั้นก็ไม่ใหญ่เท่าของแม่ม่ายสาวผู้นี้ ภายในเตียงป๋าปู้ของแม่ม่ายสาวมีโต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่งไปจนถึงโต๊ะเครื่องแป้ง ทุกสิ่งมีครบครัน
เตียงหลังนั้นของคุณหนูใหญ่จ่ายเงินไปสองร้อยกว่าตำลึง หลังนี้…อย่างน้อยก็คงมีห้าร้อยกระมัง
ปี้เอ๋อร์ใจสั่น
มิน่าฮูหยินจึงให้นางมาขโมยสูตร แม่ม่ายสาวผู้นี้มั่งคั่งจริงๆ
ปี้เอ๋อร์ไม่รู้จักไม้หนานมู่เนื้อทอง แต่ก็มองออกว่าเสาของบ้านราคาไม่ธรรมดา แล้วยังมีสระน้ำอีก นั่นมันหินอ่อนสีขาวชัดๆ !
จวนเอินปั๋วก็มีสระน้ำหินอ่อนสีขาวแห่งหนึ่งเช่นกัน มันเป็นสระที่สมัยเจิงปั๋วยังมีชีวิตอยู่สร้างมาให้ฮูหยินใหญ่โดยเฉพาะ ได้ยินว่าใช้เงินส่วนตัวของเจิงปั๋วเอง ทำเอาเหล่าไท่ไท่โกรธจนแทบกระอัก
หลังจากเจิงปั๋วกับฮูหยินจากโลกนี้ไป สระน้ำก็ถูกปิด แต่ก่อนหน้านี้ตอนนางเป็นสาวใช้ที่ทำงานใช้แรงก็เคยไปทำความสะอาดที่นั่นอยู่เป็นบางครั้ง ได้ยินว่าเป็นสระน้ำที่ทำมาจากหินอ่อนสีขาว นางจึงจดจำได้เป็นอย่างดี
“จำสถานที่ได้หรือยัง” เฉียวเวยปัดมือแล้วถามขึ้นมา
ปี้เอ๋อร์ตอบอย่างนอบน้ม “ตอบฮูหยิน จำได้แล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยพยักหน้า “เย็นแล้ว เจ้ากลับไปเถิด”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” ปี้เอ๋อร์หันหลังกลับเดินออกมาจากคฤหาสน์
เฉียวเวยยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันจึงเริ่มรู้สึกเหนื่อย นางไปอาบน้ำก่อนเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นจึงกลับเข้าห้องนอน ไหนเลยจะรู้ว่ากลับพบหนอนขี้เกียจอย่างวั่งซูยังตื่นอยู่ ขณะที่จิ่งอวิ๋นผู้เป็นพี่ชายลมหายใจสม่ำเสมอไปแล้ว
เฉียวเวยเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นแล้วเดินมาถึงข้างเตียง เอ่ยถามอย่างขบขัน “เหตุใดยังตื่นอยู่เล่า รอแม่นอนด้วยหรือ”
วั่งซูยิ้มตาหยีแล้วส่ายหน้า
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นเพราะอะไร”
วั่งซูมุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างอารมณ์ดี แล้วฉวยตุ๊กตาผ้าตัวน้อยตัวหนึ่งออกมาจากด้านใน “ท่านพ่อของข้าส่งมาให้!”
เฉียวเวยหัวเราะดังพรืด ตุ๊กตาผ้าเท่านั้นเอง สาวน้อยคนนี้เห็นเป็นสิ่งใดไปแล้วจึงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ
“ยังมีอีกตัว!” เฉียวเวยล้วงตุ๊กตาผ้าสีทองอีกตัวหนึ่งออกมาจากในผ้าห่ม
วั่งซูคลั่งไคล้ของที่มีสีทองอร่าม ตัวอย่างเช่นลูกคิดทองคำ นกยูงทองคำ เตียงที่มีเสาแกะสลักทองคำ จุดนี้นางก็เพิ่งค้นพบไม่นานมานี้ ไม่รู้ว่าหมิงซิวทราบได้เช่นไร ตุ๊กตาผ้าที่ส่งมาจึงสีทองทั้งหมด ทำเอาสาวน้อยคนนี้ดีใจแทบแย่แล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นสีทองทั้งหมด แต่หน้าตาต่างกัน ทรงผมต่างกัน แม้แต่ดวงตาใหญ่เล็กก็ออกแบบไว้
มองออกว่านายช่างที่ทำตุ๊กตาใส่ใจจริงๆ
“พวกนางคือน้องสาวของข้า” วั่งซูคว้าเจ้าตัวน้อยที่งดงามที่สุดสองตัวเข้ามาในอ้อมแขน แล้วมองพวกนางอย่างอ่อนโยนและรักใคร่ “ข้าตั้งชื่อให้พวกนางแล้ว”
เฉียวเวยยิ้มตาม “ตั้งชื่อแล้วเสียด้วย ชื่อว่าอะไรเล่า”
วั่งซูร่ายให้ฟังราวกับนับสมบัติในบ้าน “น้องสาวคนทางซ้ายชื่อเสี่ยวชุน น้องสาวคนทางขวาชื่อเสี่ยวอวี่ พวกนางล้วนเป็นน้องสาวของข้า ข้าจะไม่ให้ผู้อื่นรังแกพวกนาง ข้าจะปกป้องพวกนาง ข้าจะสระผมให้พวกนางด้วย”
เพิ่งเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงดังเป๊าะ ศีรษะของน้องสาวนามเสี่ยวอวี่ถูกวั่งซูสระผม (ทำคอหลุด) เสียแล้ว…
เฉียวเวย “…”
เสี่ยวไป๋ “…”
…
ฝั่งปี้เอ๋อร์หลังออกมาจากหมู่บ้านก็นั่งรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อเข้าไปในตัวเมือง แล้วจ้างรถม้าคันหนึ่งจากในตัวเมืองกลับไปยังเมืองหลวง
พี่สาวที่เดินทางมาด้วยกันกับนางกลับจวนไปรายงานสวีซื่อก่อนแล้ว เมื่อสวีซื่อทราบว่าปี้เอ๋อร์ถูกจ้าง นางยินดีมากเพียงไรคงมิต้องบอก นางตกรางวัลให้บิดามารดาของปี้เอ๋อร์เป็นก้อนเงินหลายก้อน
เมื่อปี้เอ๋อร์กลับมาถึงบ้าน บิดากับมารดาก็นำเงินไปซื้อของกินให้น้องชายแล้ว นางไปพบสวีซื่อที่สวนดอกไม้น้อย “ฮูหยิน”
สวีซื่อจับมือนางแล้วตบบนหลังมือเบาๆ “เจ้าทำได้ดีมาก”
ปี้เอ๋อร์มิกล้ารับความดีความชอบ “ขอบพระคุณฮูหยินที่ชม”
สวีซื่อกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ได้สูตรมาหรือไม่”
นี่เพิ่งจะวันแรกจะเอาสูตรมาได้อย่างไร ปี้เอ๋อร์รู้สึกว่าฮูหยินรีบร้อนไปอยู่บ้าง แต่นางมิได้แสดงสีหน้าออกมา “ยังไม่ได้มาเจ้าค่ะ ข้าถูกจัดสรรไปอยู่ในคฤหาสน์ของเฉียวฮูหยิน ตอนนี้จึงยังไม่ได้แตะต้องสูตร”
“อะไรกัน” สวีซื่อขมวดคิ้ว แล้วปล่อยมือของปี้เอ๋อร์ทิ้ง “นางสังเกตพบสิ่งใดหรือไม่จึงจงใจไม่ให้เจ้าเข้าไปในโรงงาน”
ปี้เอ๋อร์กลัวว่าสวีซื่อจะตำหนิตนจึงรีบกล่าวว่า “มิใช่เจ้าค่ะฮูหยิน ในบ้านของนางไม่มีสาวใช้ จึงให้ข้าไปทำงานปัดกวาดก่อน รอหลังจากนี้ต้องผลิตมากขึ้น ข้าก็ยังต้องไปช่วยงานในโรงงานอยู่”
“ถ้าเช่นนั้นต้องรอนานเท่าใด” สวีซื่อถามอย่างไม่มีความอดทน ยามปกตินางมิใช่คนใจร้อนเป็นไฟเช่นนี้ แต่ถูกเฉียวเวยเล่นงานมาหลายครั้งเข้าจึงยากเลี่ยงความหุนหันพลันแล่น
ปี้เอ๋อร์มิกล้าตอบ
สวีซื่อก็ทราบว่าตนรีบร้อนเกินไป แต่เรื่องนี้ความจริงจะโทษนางก็มิได้ ระยะนี้กิจการของหอหลิงจือซบเซา ร้านรวงที่อยู่ในมือนางหลายร้านก็เกิดปัญหา ยากจะประคองไว้ได้ ลูกชายคนโตก็กำลังจะต้องหมั้นหมาย ที่ใดๆ ก็ต้องใช้เงิน นางต้องการช่องทางหาเงินสักทางหนึ่งมากเหลือเกิน
สวีซื่อข่มกลั้นอารมณ์ร้อนใจแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่านางปลูกบ้านใหม่ เจ้าได้ไปเห็นหรือไม่”
ปี้เอ๋อร์พยักหน้า “เห็นแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน ใหญ่มาก สวยมาก ข้าวของที่ใช้ดีกว่าจวนเอินปั๋วของพวกเราเสียอีก”
คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปอยู่บ้าง ข้าวของของเฉียวเวยดีอีกเพียงใดก็มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น เมื่อคำนวณรวมทั้งหมดแล้วย่อมเทียบเคียงกับสมบัติของตระกูลอายุร้อยปีไม่ได้
แต่สวีซื่อกลับหลงเชื่อจริงๆ ในเมื่อสาวน้อยคนนั้นเป็นเถ้าแก่รองของหรงจี้ แล้วยังทำการค้ากับในวัง ย่อมต้องหาเงินได้มากกว่าหอหลิงจือเป็นแน่
ในความเป็นจริงส่วนแบ่งรายได้ของหรงจี้กับเงินค่าสินค้าที่ส่งเข้าวังยังมาไม่ถึงมือเฉียวเวย
หัวใจของสวีซื่ออิจฉาริษยาจนแทบวางวาย “เรื่องนี้เจ้าอย่าเพิ่งพูดกับผู้อื่น แม้แต่บิดามารดาของเจ้าก็ไม่ได้ พี่น้องยิ่งไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
“บ่าวเข้าใจเจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ตอบรับอย่างว่าง่าย
สวีซื่อคุยกับปี้เอ๋อร์อีกพักหนึ่ง เมื่อได้ฟังว่าเตียงป๋าปู้ของเฉียวเวยสวยยิ่งกว่าของนาง ก็โกรธจนพูดไม่ออก
สาวน้อยน่าตาย ใช้ของดีปานนั้นเชียว!
แล้วเมื่อเอ่ยถึงสระน้ำหินอ่อนสีขาว สีหน้าของสวีซื่อก็ดำจนเหมือนก้นหม้อ
แน่นอนว่าคนที่หน้าดำทะมึนไม่ได้มีเพียงสวีซื่อ แต่ยังมีฮูหยินสามที่หลบอยู่หลังพุ่มดอกไม้ด้วย
ฮูหยินสามรู้สึกมาสักพักแล้วว่าเรือนรองไม่ค่อยปกติ จึงคอยจับตาดูสวีซื่อเพิ่มเป็นพิเศษ นางเพิ่งมาตอนสวีซื่อกับปี้เอ๋อร์คุยกันไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว จึงไม่ได้ยินเรื่องสูตรที่คุยกันตอนแรก ได้ยินแต่ว่าสวีซื่อสนใจบ้านของอีกฝ่ายยิ่งนัก ฮูหยินเฉียวที่ปี้เอ๋อร์เอ่ยถึงก็น่าจะเป็นคุณหนูใหญ่เฉียว มีทั้งเตียงป๋าปู้ ทั้งสระหินอ่อนสีขาว ฮ่ะๆ พี่สะใภ้รองคนนี้ช่างใส่ใจเสียจริงนะ
ตกกลางคืนฮูหยินสามไปหาเมิ่งซื่อเหล่าไท่ไท่
เมิ่งซื่อเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของนายท่านรองกับนายท่านสาม เดิมทีนางเป็นเพียงอนุภรรยาคนหนึ่ง หลังจากนายท่านรองได้ครองตำแหน่งเจ้าตระกูล นางจึงได้นั่งอยู่บนตำแหน่งเหล่าไท่ไท่
ในจวนมิเคยขาดคนที่เปลี่ยนฝั่งตามทิศทางลม ความจริงเหล่าไท่ไท่ตัวจริงก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่บุตรชายของผู้อื่นตายแล้ว ลูกสะใภ้ก็ไม่อยู่แล้ว หลานสาวยังถูกขับไล่ออกจากตระกูลอีก ชีวิตไม่มีสิ่งใดให้อาวรณ์อีกแล้ว นางจึงหลีกหนีจากโลกไปอาศัยอยู่ในวัด
เริ่มแรกเมิ่งซื่อเพียงช่วยจัดการเรื่องในจวนเล็กน้อย มิได้ถูกผู้คนเรียกขานว่าเหล่าไท่ไท่ แต่มิทราบว่าผู้ใดเอ่ยปากขึ้นก่อน เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนจึงล้วนเรียกเช่นนี้กันหมด
นายท่านรองเป็นเจ้าตระกูลคนปัจจุบัน ผู้ใดก็ต้องมองสีหน้าเขาก่อนทำสิ่งใด มารดาแท้ๆ ของเขาย่อมมีคุณสมบัติถูกคนยกยอให้เป็นผู้อาวุโสของตระกูล
ตำแหน่งของเมิ่งซื่อจึงมั่นคงขึ้นด้วยประการฉะนี้
แต่เมิ่งซื่อตำแหน่งมั่นคงแล้ว มิได้หมายความว่าบุตรชายกับลูกสะใภ้ของนางจะมีความสุขกันถ้วนหน้า
เป็นบุตรอนุเหมือนกัน เป็นน้องชายของเจิงปั๋วเหมือนกันแท้ๆ แต่เหตุใดบุตรคนรองได้สืบทอดตำแหน่ง แต่บุตรคนที่สามอดอยากหิวโหย
ไม่ต้องบอกว่าฮูหยินสามอิจฉาสวีซื่อมากเพียงใด นางวาดหวังให้สักวันหนึ่งเรือนรองย่อยยับไปจนหมดเหมือนเช่นเรือนใหญ่ ตนเองจะได้มีโอกาสนั่งอยู่ในตำแหน่งนายหญิงของตระกูลบ้าง ฮูหยินสามเล่าสิ่งที่ตนได้ยินโดยใส่สีตีไข่เพิ่มอีกเล็กน้อย “…สวรรค์ หัวใจข้านี่หลั่งเลือด! ปากนางบอกว่าไม่ได้นำเงินของพวกเราไปจุนเจือสตรีต่ำช้าที่ทำให้ตระกูลอับอายขายหน้าผู้นั้น แต่ท่านดูสิ สระน้ำหินอ่อนขาว! เตียงป๋าปู้! เสาบ้านทำจากไม้หนานมู่เนื้อทอง!”
เรื่องไม้หนานมู่เนื้อทอง ฮูหยินสามแต่งเติมเข้าไปเอง เพราะถึงอย่างไรก็ตั้งใจมาใส่ร้ายสวีซื่ออยู่แล้ว ถึงจะกลายเป็นว่าสิ่งที่นางแต่งเติมดันตรงกับความเป็นจริงก็ตาม
ฮูหยินสามใส่ไฟ “ท่านแม่ ท่านดูนางเห็นคนนอกดีกว่าคนในสิเจ้าคะ! เตียงหลัวฮั่นหลังนี้ของท่านใช้นอนมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่เห็นนางซื้อหลังใหม่มาเปลี่ยนให้ท่าน! เสาเรือนของท่านก็ปลวกขึ้นหมดแล้วกระมัง ครั้งก่อนท่านพี่ยังต้องมากำจัดปลวกให้ท่านอยู่เลย นางไม่รู้หรืออย่างไร เคยบอกว่าจะซ่อมให้ท่านสักครั้งหรือไม่ แต่นางซ่อมเรือนของตนเอง ขนเครื่องเรือนใหม่เข้าไปเหมือนได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน! นางซ่อมเรือนของนางเอง ข้าก็คงพูดอะไรไม่ได้ นางเป็นพี่สะใภ้รองของข้า ข้ายินดีให้นางใช้เงิน! แต่เหตุใดต้องนำเงินของพวกเราไปจุนเจือสตรีต่ำช้าคนหนึ่ง นางจำมิได้แล้วหรือว่าคนต่ำช้าผู้นั้นทำให้ตระกูลเฉียวอับอายขายหน้าเช่นไร ตระกูลเฉียวเกือบต้องถูกริบเรือน! ล้วนเป็นเพราะคนต่ำช้าคนนั้น!”
เรื่องนี้ก็กล่าวเกินไป ไม่ใช่แค่นอนกับองค์ชายองค์หนึ่งหรือไร ถึงขั้นต้องถูกริบเรือนเลยหรือ
แต่เรื่องที่ฮ่องเต้พิโรธเป็นเรื่องจริง เส้นทางการงานของนายท่านรองต้องพบอุปสรรค จนเกือบจะเสียตำแหน่งขุนนาง
“นางเอาเงินไปช่วยสาวน้อยคนนั้นจริงหรือ” เมิ่งซื่อไม่ค่อยเชื่อนัก
ฮูหยินสามกล่าวว่า “ท่านอย่าดูแคลนความผูกพันที่นางมีต่อสาวน้อยคนนั้นเชียว พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่จากไปเร็ว สาวน้อยคนนั้นถูกเลี้ยงมาในเรือนรอง พี่สะใภ้รองไม่มีทางไม่ผูกพันกับนาง หากนางไม่รักก็คงไม่ส่งสาวใช้คนสนิทไปดูแลคุณหนูใหญ่เฉียว”
สีหน้าของเมิ่งซื่อไม่น่าดูอย่างยิ่ง แต่เดิมนางก็ไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อเฉียวเวยอยู่แล้ว ประการแรกเพราะบิดาของเฉียวเวยไม่ได้คลอดออกมาจากครรภ์ของนาง ประการที่สองสาวน้อยคนนั้นหยิ่งยโสเหมือนนกยูง ไม่เคยเรียกนางว่าท่านย่าสักคำ แม้ว่าทุกคนจะเรียกขานนางว่าเหล่าไท่ไท่กับเหล่าฮูหยินแล้ว แต่นางกลับยังบ่นกับสาวใช้ตอนอยู่ตามลำพังว่า ‘อนุภรรยาคนหนึ่งถูกเรียกขานว่าเหล่าไท่ไท่ได้ตั้งแต่เมื่อใด เห็นท่านย่าแท้ๆ ของข้าตายแล้วหรือไร ต่อให้ท่านล่วงลับไปก็ผลัดไม่ถึงตายายลิงเฒ่าคนนั้นกลายเป็นราชา’
ฟังดูสิ นี่คำพูดคำจาอันใดกัน
ตอนเกิดเรื่องน่าขายหน้าครั้งนั้น ไม่จับสาวน้อยน่าตายคนนี้ใส่กรงหมูถ่วงน้ำก็ถือว่านางมีใจเมตตาแล้ว!