หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 122-2 จิ่งอวิ๋นกลับมาแล้ว
ตอนที่ 122-2 จิ่งอวิ๋นกลับมาแล้ว
จีหมิงซิวคิดในใจ รอเจ้าดึงเข็มออกแล้ว ข้าจะพาลูกไป เฝ้าหรือไม่เฝ้าปากถ้ำก็เรื่องของเจ้า
ในใจคิดเช่นนี้ แต่ปากกลับตอบรับอย่างว่องไว
จีหมิงซิวในเวลานี้ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายคือหมอพเนจรที่ตนต้องการตามหา ในสารที่ไห่สือซานส่งให้จีหมิงซิวเขียนแต่ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนั้น ส่วนหน้าตา นิสัย เบื้องหลังความเป็นมาของหมอพเนจรกลับไม่เคยเอ่ยถึงสักสิ่ง
เพราะไม่ว่าอย่างไรไห่สือซานก็ไม่คาดหวังว่าจีหมิงซิวจะได้พบกับหมอพเนจร เขาคิดมาตลอดว่าหมอพเนจรยังอยู่ที่เจียงหนาน สักวันหนึ่งตนเองจะต้องหาพบ
“ข้ากับภรรยาข้าพลัดพรากกันมาสิบห้าปีแล้ว” ทันใดนั้นหมอพเนจรก็ถามว่า “เจ้าเห็นภรรยาข้าบ้างหรือไม่”
จีหมิงซิวไม่ตอบเขา แต่กลับเอ่ยว่า “เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของท่านกับภรรยาท่านกระมัง”
“ต้องใช่สิ” หมอพเนจรตอบโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ท่านพลัดพรากกับภรรยาของท่านตั้งแต่สิบห้าปีก่อน ลูกของพวกท่านสองคนอย่างน้อยก็ต้องอายุสิบห้าปีแล้ว แต่ท่านดูเด็กน้อยผู้นี้เหมือนอายุสิบห้าปีหรือ”
หมอพเนจรถูกถามจนนิ่งไป
จีหมิงซิวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของท่าน”
หมอพเนจรเริ่มเกาใบหน้า เกาคอ ผุดลุกผุดนั่ง เดินไปเดินมาอยู่ในถ้ำ ปากก็บ่นพึมพำ ไม่รู้ว่ากำลังพูดสิ่งใดอยู่ ท่าทางวิกลจริตอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเขาก็ชักมีดสั้นออกมาจากในอกเสื้อ
แววตาของจีหมิงซิวหวาดหวั่น ยึดข้อมือของเขาไว้ “ข้าล้อเล่น เด็กเป็นลูกของท่าน”
หมอพเนจรถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วหันมามองจีหมิงซิวอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นลูกของข้าจริงหรือ”
“ของท่านสิ” จีหมิงซิวกวาดสายตามองมีดสั้นของเขา “วางมีดลงก่อน”
หมอพเนจรเสียบมีดกลับเข้าฝัก
“เริ่มถอนเข็มได้หรือยัง” จีหมิงซิวถาม
หมอพเนจรร้องอ้อตอบคำหนึ่งแล้วว่า “ได้แล้ว”
จากนั้นเขาก็ดึงเข็มออกอย่างมีความสุขอย่างยิ่ง
ดูจากวิธีการถอนเข็มของเขาก็ไม่เหมือนคนไม่เป็นวิชา
หลังจากดึงเข็มออกเสร็จ อาจเพราะกลัวว่าจีหมิงซิวจะแย่งลูกของตนไป หมอพเนจรจึงอุ้มจิ่งอวิ๋นไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างเก็บข้าวของบนพื้น
จีหมิงซิวหวั่นเกรงเขาจะทำลูกบาดเจ็บจึงช่วยเขาเก็บของ มิได้ลงมือบุ่มบ่าม “ท่านไม่ได้ต้องการจะตามหาภรรยาหรอกหรือ ข้าจะพาท่านไปหา”
หมอพเนจรประหลาดใจ “เจ้ารู้หรือว่านางอยู่ที่ใด”
จีหมิงซิวเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “ภรรยาของท่านหน้าตางดงามมากใช่หรือไม่”
“ใช่ๆ!”
“ภรรยาของท่านยังเยาว์วัย อายุประมาณ…ยี่สิบต้นๆ ใช่หรือไม่”
“ใช่ๆ!”
ความทรงจำของคนผู้นี้ประหลาดนัก ทราบว่าเดินทางมาแล้วสิบกว่าปี แต่เมื่อหวนนึกถึงผู้คนหรือเรื่องราวในอดีตกลับยังคงหยุดนิ่งอยู่ในห้วงเวลาก่อนเกิดเหตุการณ์
มีแต่คนบ้าจึงจะเป็นเช่นนี้
จีหมิงซิวหลอกล่อชักจูง “รูปร่างของนางเหมือนจะสูง…ประมาณนี้…ประมาณนี้…ประมาณนี้”
ตอนที่จีหมิงซิวเทียบระดับความสูงหนที่สาม หมอพเนจรก็คว้ามือของเขาไว้ “สูงเท่านี้!”
“ถ้าเช่นนั้นก็ใช่แล้ว” จีหมิงซิวเอ่ยต่อโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
หมอพเนจรดวงตาเป็นประกายด้วยความยินดีปรีดา “เจ้าพบนางที่ใด รีบพาข้าไปหาเร็วเข้า!”
จีหมิงซิวทำสีหน้าลำบากใจกล่าวว่า “ท่านสะพายของข้างหลัง อุ้มเด็กข้างหน้า คงเดินไม่สะดวกกระมัง ข้าช่วยท่านอุ้มเด็กดีหรือไม่”
“ไม่ได้” หมอพเนจรกอดจิ่งอวิ๋นเข้าไปในอ้อมแขน “เจ้าอุ้มจูเอ๋อร์”
จูเอ๋อร์พองขน!
สุดท้ายจีหมิงซิวก็ไม่ได้อุ้มจูเอ๋อร์ เพียงสะพายตะพร้าสมุนไพรไว้บนหลัง
เสื้อผ้าของจิ่งอวิ๋นผิงไฟจนแห้งแล้ว หมอพเนจรจึงสวมเสื้อผ้าให้จิ่งอวิ๋น ท่าทางชำนิชำนาญเช่นนั้น แม้แต่จีหมิงซิวก็ไม่กล้ารับประกันว่าตนจะทำได้ดีกว่าเขา
ระหว่างทางจีหมิงซิวรอจังหวะอยู่ตลอด จะใช้กำลังแย่งชิงมาก็มิใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่หากคนบ้าผู้นี้จนตรอกขึ้นมา ไม่แน่ว่าจะคลุ้มคลั่งทำอันใดกับจิ่งอวิ๋นหรือไม่ นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จีหมิงซิวต้องการ
ค่อยๆ หลอกเขากลับเมืองหลวงก็ได้เหมือนกัน เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่นอน ไม่กิน ไม่เข้าห้องส้วม
ไหนเลยจะรู้ว่าไม่ทันรอให้หมอพเนจรงีบหลับ ก็เจอกับหมีควายหิวโหยตัวหนึ่งเสียก่อน
หมีควายตัวนั้นร่างกายใหญ่โตผิดธรรมดา ทั่วทั้งร่างสีดำสนิท รูปร่างกำยำจนเหมือนภูเขาสีดำลูกย่อมๆ ขวางทางไปของพวกเขาไว้จนมิด
หมอพเนจรกอดเด็กน้อยในอ้อมแขนแน่น
จูเอ๋อร์ร้องเสียงแหลมแล้วกระโจนขึ้นไปบนต้นไม้
จีหมิงซิวมองหมีควายที่พุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างระแวดระวัง แล้วผลักหมอพเนจรหลบ!
ตอนแรกหมีควายตั้งใจจะกินเด็กน้อย เมื่อถลาพลาดเป้าจึงหันมาโจมตีจีหมิงซิวอย่างโกรธแค้น!
จีหมิงซิวพลิ้วกายหลบไปหลังต้นไม้
หมีควายพุ่งชนต้นไม้ใหญ่ ไข่นกบนต้นไม้ถูกแรงมหาศาลกระแทกร่วงลงมา แตกกระจายแหลกเละดังโพละๆ อยู่บนพื้น
หมีควายคำรามเกรี้ยวกราด ตะปบกรงเล็บใส่จีหมิงซิวที่อยู่หลังต้นไม้
จีหมิงซิวใช้กำลังภายในไม่ได้จึงได้แต่ใช้เล่ห์เหลี่ยม เขาเห็นหมีควายตัวนั้นตะปบอุ้งเท้ามาทางตนเอง จึงชักมีดสั้นแล้วเบี่ยงกายหลบ อุ้งเท้าของหมีควายตะปบถูกต้นไม้ ชั่วพริบตานั้นจีหมิงซิวก็เสือกมีดเข้าใส่อุ้งเท้าหมี ตอกอุ้งเท้าหมีไว้ติดกับต้นไม้
หมีควายคำรามเสียงดังลั่น เปลี่ยนมาใช้อุ้งเท้าอีกข้างตะปบจีหมิงซิว แต่ก็ถูกจีหมิงซิวใช้มีดสั้นตอกตรึงไว้อีก
มีดชนิดนี้เป็นมีดทรงกรงเล็บที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำขึ้นเป็นพิเศษ แม้จะหน้าตาเหมือนมีดสั้นเล่มอื่นๆ แต่บนด้ามมีดมีกลไกอย่างหนึ่ง หลังจากเปิดใช้งาน ปลายใบมีดจะเปลี่ยนจากใบมีดธรรมดาเป็นทรงกรงเล็บอย่างฉับพลัน ปักลงในเส้นเอ็นกระดูกของอีกฝ่ายแน่น
แม้แต่กระดูกยังปักทะลุได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต้นไม้ต้นหนึ่ง
หมีควายถูกตอกตรึงกับต้นไม้จนไม่อาจกระดิกได้
จีหมิงซิวปาดมีดบนลำคอของมัน
เพียงแต่ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า จีหมิงซิวเพิ่งจัดการหมีควายตัวนี้เสร็จ ฝั่งหมอพเนจรกลับมีหมีอีกตัวหนึ่งโผล่ออกมา
ลำตัวของหมีตัวนั้นตัวเล็กและบางกว่าเล็กน้อย แต่ฉลาดกว่าเจ้าหมีมุทะลุตัวนี้มาก มันฉวยจังหวะที่จีหมิงซิวสู้ติดพันกับหมีตัวใหญ่ ลอบเข้ามาด้านหลังหมอพเนจรอย่างเงียบเชียบ
จูเอ๋อร์กรีดร้องอยู่บนต้นไม้
หมอพเนจรระวังหมีควายตัวที่สู้อยู่กับจีหมิงซิวอยู่ตลอด เมื่อเขาสังเกตว่าเสียงร้องของจูเอ๋อร์ฟังดูหวาดกลัวมากขึ้นทุกที เขาก็ขนลุกวาบทั้งตัว หมุนตัวกลับมาก็เห็นหัวหมีอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ
เขากอดเด็กน้อยสับเท้าวิ่งทันที!
แต่เจ้าหมีควายตะปบอุ้งเท้าออกมาครั้งหนึ่งก็ตบเขาตัวลอย!
หมอพเนจรลอยไปพร้อมกับเด็กน้อยในอ้อมแขน!
หมอพเนจรปกป้องจิ่งอวิ๋นอย่างสุดความสามารถ เขาล้มกลิ้งบนพื้น ศีรษะแตกเลือดไหลเป็นทาง
หมีควายพุ่งเข้าใส่ทั้งสองคน
ปากสีแดงสดอ้ากว้างหมายจะขย้ำเด็กน้อยในอ้อมแขนของเขา
หมอพเนจรกอดจิ่งอวิ๋นแล้วหมุนตัว ส่งแผ่นหลังของตนให้หมีควายแทน
ทว่าความเจ็บปวดที่จินตนาการไว้กลับไม่มาเยือน เขาได้ยินเสียงดังสนั่นครั้งหนึ่ง หมีควายปลิวลอยไปราวกับถูกตบ หลังจากนั้นเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้นอีกหน แผ่นดินสั่นสะเทือน
จูเอ๋อร์ปรบมืออันเล็กจ้อยอย่างตื่นเต้นยินดี!
หมอพเนจรหันกลับไปมองอย่างอกสั่นขวัญแขวน ยังมีหมีควายอยู่ที่ไหน มีแต่เลือดเนื้อกระจัดกระจายกองหนึ่ง
หมอพเนจรอ้าปากค้าง เงยหน้ามองจุดที่อยู่ไม่ไกลนัก
จีหมิงซิวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มุมปากมีเลือดสายหนึ่งไหลลงมา เขายกมือขึ้นเช็ดแล้วเดินเข้ามาหาหมอพเนจร
หมอพเนจรหลุบตาลงอย่างอ้างว้าง แล้วส่งเด็กน้อยมา “ให้เจ้า”
เมื่อครู่เขายอมแลกชีวิตปกป้องจิ่งอวิ๋น จีหมิงซิวล้วนเห็นอยู่กับตา ตอนนี้เขากลับตัดใจคืนเด็กน้อยให้ตนแล้วหรือ
“เป็นอันใด” จีหมิงซิวถาม
หมอพเนจรตอบอย่างเลื่อนลอย “ลูกของข้าเหมือนจะไม่ใช่ลูกชาย แต่เป็นลูกสาว”
จีหมิงซิวอุ้มจิ่งอวิ๋นมา
หมอพเนจรลุกขึ้นท่าทางเลื่อนลอย เก็บตะกร้าสมุนไพรจากบนพื้น จากนั้นรวบรวมสมุนไพรที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นทีละต้นจนเกลี้ยง หลังจากนั้นจึงสะพายตะกร้าสมุนไพร เดินจากไปด้วยท่าทางราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง
…
“ฮูหยิน! ฮูหยิน! หาจิ่งอวิ๋นพบแล้วเจ้าค่ะ!”
ปี้เอ๋อร์พุ่งเข้ามาในห้องอย่างตื่นเต้นดีใจ
เฉียวเวยกำลังกล่อมวั่งซูให้นอน เมื่อได้ยินคำพูดของปี้เอ๋อร์ ดวงตาก็เบิกกว้างทันที “หาพบแล้วจริงหรือ”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ! เขา…เขา…โธ่ ข้าไม่รู้จักคนผู้นั้น แต่เขาบอกว่าหาจิ่งอวิ๋นพบแล้ว! รถม้าจอดอยู่บนฝั่ง เชิญท่านรีบไปดูจิ่งอวิ๋นบนรถม้า!”
เฉียวเวยลุกขึ้นมองไปทางฝั่งแม่น้ำ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้มแย้มโบกมือให้
เฉียวเวยอุ้มวั่งซูวิ่งลงจากเรือ
ชีเหนียงกุมมือของปี้เอ๋อร์ “หาพบแล้วจริงหรือ”
ปี้เอ๋อร์พยักหน้า “คนผู้นั้นบอกว่าอย่างนั้น! เขาบอกว่านายท่านของเขาหาจิ่งอวิ๋นพบแล้ว! ให้ฮูหยินรีบไป!”
ชีเหนียงกล่าวอย่างยินดีปรีดา “พวกเราก็ไปด้วยเถิด! เสี่ยวเว่ย! เจ้ารออากุ้ยอยู่ที่นี่! พออากุ้ยกลับมาเจ้าก็บอกเขาว่าหาจิ่งอวิ๋นพบแล้ว!”
“หาพบแล้วหรือ” เสี่ยวเว่ยเบิกตาโต
ชีเหนียงเช็ดน้ำตา “หาพบแล้วๆ พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ อย่าไปไหนไกล พวกเราเจอจิ่งอวิ๋นแล้วจะกลับมารับพวกเจ้า!”
“ได้ๆ พวกเจ้ารีบไป!” เสี่ยวเว่ยรออยู่ต่อ เหตุผลหนึ่งเพราะรออากุ้ย อีกเหตุผลหนึ่งเพราะต้องเฝ้าทาสไม่รู้จักกลัวตายที่อยู่ตรงนั้น
ชีเหนียงอุ้มจงเกอร์ไล่ตามเฉียวเวยไปพร้อมกับปี้เอ๋อร์
หนอนขี้เซาอย่างวั่งซูถูกอุ้มวิ่งจนตาสว่าง “ท่านแม่ๆ พวกเราจะไปเจอท่านพี่หรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยพยักหน้า “ใช่แล้ว” ระหว่างที่พูดคุยกันก็มาถึงหน้ารถม้า พอเห็นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยสภาพเละเทะไปทั้งตัวก็ถามอย่างเป็นกังวล “ลุงเยี่ยน จิ่งอวิ๋นเขา…”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคลี่ยิ้ม “วางใจเถอะ จิ่งอวิ๋นไม่เป็นอะไร”
เฉียวเวยดีใจจนขอบตาแดงระเรื่อ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพยุงนางขึ้นรถม้า “อยู่เรือนสี่ประสาน ข้าจะพาพวกเจ้าไปก่อน”
“รอประเดี๋ยว” เฉียวเวยจูงมือวั่งซูก้าวลงจากรถม้า นางมองชาวบ้านรอบด้านที่ได้ยินข่าวและกำลังดีอกดีใจเช่นเดียวกัน แล้วกล่าวกับวั่งซูว่า “พวกเขาล้วนเป็นคนจิตใจดีที่มาช่วยพี่ชายของเจ้า”
วั่งซูโค้งคำนับทีละคนอย่างรู้ความยิ่งนัก “ขอบคุณท่านอา ขอบคุณท่านลุง ขอบคุณท่านปู่ ขอบคุณพี่ชาย ขอบคุณท่านน้า…”
“โถ เด็กน้อยคนนี้…” มีสตรีบางคนขอบตาแดงระเรื่อ
ตาเฒ่าหลายคนเห็นแม่นางน้อยขอบคุณตนเองอย่างนอบน้อมจริงใจเช่นนี้ก็ขอบตาแดงระเรื่อด้วย
เฉียวเวยยอบกายต่ำคำนับ “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
หญิงมีอายุคนหนึ่งพยุงเฉียวเวยขึ้นมา “น้องสาวทำอะไรเล่า เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หาลูกชายพบก็ดีแล้ว รีบกลับไปเถิด!”
ทะเลสาบหยางหูมีเด็กตกลงไปทุกปี แต่ที่ช่วยกลับมาได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เด็กที่หายตัวไปตลอดบ่ายกับอีกค่อนคืน แต่ยังตามหากลับมาได้คงมีคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงว่ามารดากับน้องสาวของเขายินดีปรีดาเพียงใด แม้แต่พวกเขาเองก็ดีใจยิ่งนัก
นี่เป็นปาฏิหาริย์แท้ๆ
เมืองหลวงที่แห้งแล้งมาหลายเดือนมีฝนตกก็ดูเหมือนเป็นปาฏิหาริย์เช่นกัน
เทพวารีคงปกปักษ์เด็กคนนี้กระมัง
หรือเด็กคนนี้นำความทุกข์ยากของพวกเขาไปบอกเทพวารีกันนะ
สรุปก็คือล้วนเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี!
ทุกคนยิ้มแย้มอย่างเบิกบานใจ
รถม้าจอดที่เรือนสี่ประสาน เฉียวเวยกับลูกสาวกระโดดลงจากรถม้า วั่งซูวิ่งตึงตังเข้าไปในเรือน
หมอหลวงจางกำลังตรวจรักษาจิ่งอวิ๋นอยู่ “เพราะรักษาได้ทันท่วงทีจึงรักษาชีวิตเด็กไว้ได้ ยังมีไข้สูงอยู่บ้าง ต้องดูว่าเวลาใดจะตื่นขึ้นมา…”
วั่งซูวิ่งมาข้างเตียง คว้ามือน้อยๆ ของพี่ชาย “ท่านพี่!”
…
ในที่สุดก็ได้ลูกชายกลับมา หัวใจที่เหมือนถูกเฉือนเนื้อทีละชิ้นตลอดทั้งบ่ายของเฉียวเวยสุดท้ายก็ได้รับการปลดปล่อย
แม้ปากของนางจะพูดเหมือนมั่นใจ แต่ความจริงแล้วในหัวใจไม่มั่นใจแต่อย่างใด
ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด นางก็ยิ่งสิ้นหวัง
แม้แต่ตอนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอกนางว่าหาจิ่งอวิ๋นพบแล้ว นางยังรู้สึกเหมือนฝัน
จนกระทั่งตอนนี้ลูกชายนอนอยู่ในอ้อมแขนของนาง นางก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ตื่นจากฝัน
วั่งซูดึงผ้าห่มมาห่มให้พี่ชายอย่างดี “ท่านพี่จะปล่อยให้ตัวเย็นไม่ได้”
จิ่งอวิ๋นนอนหลับอยู่ แต่ร่างกายเล็กจ้อยร้อนผ่าวเหมือนเตาไฟน้อย
เฉียวเวยกอดเตาไฟน้อยไว้แนบอก นางร้อนจนเหงื่อผุดพรายทั่วร่างแต่ตัดใจปล่อยไม่ลง
วั่งซูก็กอดพี่ชายด้วย
โตมาจนป่านนี้ เพิ่งจะมีวันนี้ต้องแยกจากพี่ชายนานที่สุด นางไม่ชอบเลย
นางจะไม่แยกจากท่านพี่อีกแล้ว
นางตัดสินใจว่าหลังจากกลับบ้าน จะย้ายกระโถนน้อยของตนไปไว้ข้างกระโถนน้อยของพี่ชาย
เสี่ยวไป๋กลัวน้ำเล็กน้อย มันจึงไม่ได้ขึ้นเรือไปตั้งแต่ต้น แต่มันก็รู้ว่าจิ่งอวิ๋นหายไป
เสี่ยวไป๋ปีนขึ้นมาบนตัวของจิ่งอวิ๋นแล้วขดตัวอยู่บนท้องนุ่มนิ่มเล็กจ้อยของเขา
ทันใดนั้น เสี่ยวไป๋ก็เห็นขนเส้นหนึ่ง
เอ๋
ขนสีดำหรือ
เสี่ยวไป๋มองหาบนลำตัว มันเป็นเพียงพอนหิมะขนสีขาวปลอด ไม่มีขนต่างสีสักเส้น!
แล้วขนเส้นนี้มาจากที่ใด
เจ้าเด็กไม่น่ารัก!
ไม่เห็นเจ้าตลอดทั้งบ่าย ที่แท้ไปเที่ยวเตร่กับตัวอะไรข้างนอกมาสินะ!
อย่าให้บิดาจับเจ้าตัวหน้าไม่อายตัวนั้นได้เชียว บิดาจะเจื๋อนมันเสีย!
เฉียวเวยจูบหน้าผากลูกชาย
ครั้งนี้วั่งซูไม่เรียกให้ท่านแม่จูบนางด้วย แต่เลียนแบบท่านแม่จูบบนศีรษะของพี่ชาย จากนั้นยิ้มตาหยีอย่างพออกพอใจ
ความสุขอัดแน่นในหัวใจของเฉียวเวย นางยกมุมปากอย่างอิ่มเอม พลางลูบศีรษะของบุตรสาว “แม่จะออกไปข้างนอกสักครู่ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายตรงนี้”
วั่งซูคว้ามือน้อยของพี่ชายไว้ แล้วตอบอย่างตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง “ท่านแม่วางใจเถิด ข้าจะปกป้องท่านพี่อย่างดี ข้าจะไม่ให้คนเลวทำท่านพี่หายไปอีก”
เฉียวเวยยิ้มละไมพยักหน้า “ดีมาก”
เฉียวเวยออกจากห้อง แล้วเจอเยี่ยนเฟยเจวี๋ยนั่งแทะผิงกั่วอยู่ตรงชานเรือน “ลุงเยี่ยน หมิงซิวเล่า”
เมื่อครู่สนใจแต่ลูกจนลืมถามถึงเขา เหมือนว่าตั้งแต่เข้ามาในเรือนสี่ประสานก็ไม่เห็นเงาของเขาเลย
ทั้งที่เขาเป็นคนพาจิ่งอวิ๋นกลับมา แต่ไม่ยอมมาให้เห็นหน้าสักครั้ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบคาง คิดในใจว่าครั้งนี้ตนต้องถูกจีอู๋ซวงด่าเละอีกแน่ หากรู้ก่อนว่านายน้อยจะพบอันตราย เขาคงไม่แยกกับนายน้อยไปอีกทางหนึ่ง เฮ้อ ตอนนี้นึกเสียใจก็สายเสียแล้ว นายน้อยฝืนโคจรลมปราณอีกหนจนกระเทือนเส้นลมปราณขาดไม่น้อย ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างส่งตัวไปคฤหาสน์
“เขา…มีธุระ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้ม “ไม่ใช่ว่าตั้งใจไม่มา เจ้าอย่าตำหนิเขาเลย”
“ไม่มีทาง” เฉียวเวยส่ายหน้า เขาตามหาลูกชายนางกลับมาให้ นางมีแต่จะขอบคุณเขา จะตำหนิเขาได้อย่างไร เรื่องที่เขารับปากนาง เขาทำได้จริงๆ นางเพียงอยากขอบคุณเขาสักคำเท่านั้น
“จริงสิ เจ้าจะจัดการเจ้าหมอนั่นอย่างไร” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยชี้อากุ้ยที่คุกเข่าอยู่ในลานบ้าน
เฉียวเวยมองอากุ้ยอย่างเฉยชา “หากเจ้าจะมาขอความเมตตาแทนติงเสี่ยวอิง เจ้าเลิกคิดได้เลย”
อากุ้ยเอ่ยปากอย่างยากเย็น “ข้ารู้ว่าความผิดของนางไม่อาจอภัย หากจิ่งอวิ๋นไม่ได้กลับมา ข้าต้องให้นางชดใช้ด้วยชีวิตแน่ แต่ตอนนี้จิ่งอวิ๋นไม่เป็นอะไร ฮูหยินจะลด…”
เฉียวเวยเอ่ยขัดเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ลูกชายข้ารอดมาได้เพราะลูกชายข้าดวงแข็ง ไม่ใช่เหตุผลจะลดโทษให้นาง นางทำเรื่องโหดเหี้ยมเสียสติเช่นนี้ ข้าไม่มีทางอภัยให้นางเด็ดขาด!”