หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 123-1 จัดการ
ตอนที่ 123-1 จัดการ
สามแม่ลูกพักอยู่ในเรือนสี่ประสาน ลี่ว์จูจัดห้องหนึ่งให้พวกอากุ้ยพัก อากุ้ย ชีเหนียงกับจงเกอร์พักอยู่ในห้องที่เฉินต้าเตาเคยพัก เสี่ยวเว่ยอยู่ที่เรือเริงรมย์เฝ้าติงเสี่ยวอิง
ภายในห้อง จงเกอร์หลับไปแล้ว
ชีเหนียงปลดมุ้งลงมาให้จงเกอร์ “อากุ้ย ข้าคิดว่าเจ้าไม่ควรทำให้ฮูหยินลำบากใจ”
อากุ้ยเงยหน้า “ข้าหรือทำให้นางลำบากใจ”
ชีเหนียงเสียบมุ้งจนเรียบร้อย “แล้วมิใช่หรือ เรื่องครั้งนี้ใหญ่มากเกินไปจริงๆ หากมีคนทำร้ายลูกของข้าเช่นนี้ อากุ้ยเจ้าเชื่อข้าเถิด ข้าจะเอาดาบเสียบเขาแน่นอน! แต่เจ้า…กลับยังจะให้ฮูหยินอภัยเสี่ยวอิง”
อากุ้ยคิดไม่ถึงว่าชีเหนียงผู้อ่อนโยนอยู่เสมอจะเอ่ยคำพูดที่…คำพูดที่โหดร้ายเช่นนี้ออกมา ชั่วขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าควรตอบโต้อย่างไรดี
ชีเหนียงตักน้ำมาให้อากุ้ยเช็ดหน้า แล้วเอ่ยจากใจจริง “ฮูหยินเก่งกาจกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก ดูจากบ้านหลังนี้ก็ทราบแล้ว สมัยครอบครัวของพวกเรารุ่งเรืองที่สุดก็ยังไม่เคยซื้อบ้านดีๆ เช่นนี้ในเมืองหลวงได้ เจ้าอย่าขัดแย้งกับฮูหยินอีกเลย”
อากุ้ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง “เสี่ยวอิงไม่ใช่หลานสาวของเจ้า เจ้าเกลียดชังนาง เจ้าย่อมกล่าวเช่นนี้”
“อากุ้ย!” ชีเหนียงมองเขาด้วยความเสียใจ “ในสายตาเจ้าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ จริงอยู่ เสี่ยวอิงปฏิบัติต่อข้าไม่ดี แต่ข้าก็ไม่เคยเกลียดชัง” นางชะงักครู่หนึ่ง “จนกระทั่งก่อนวันนี้”
อากุ้ย “นั่นปะไร”
ชีเหนียงอธิบาย “แต่นั่นเป็นเพราะนางทำเรื่องที่ไม่สมควรทำ นางไม่ควรโยนเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่งลงน้ำ อากุ้ย หากมีความเป็นคนคงไม่มีวันทำเช่นนั้น”)
อากุ้ยผลักมือของชีเหนียงที่ยื่นมาเช็ดหน้าให้เขา “ตอนนี้เจ้าด่านางว่าไม่ใช่คนแล้ว”
ชีเหนียงอ้าปาก “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
อากุ้ยเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างผิดหวัง “ชีเหนียง เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่มาอยู่กับฮูหยิน เจ้าก็เปลี่ยนไปจากชีเหนียงผู้อยู่ในหัวใจของข้ามากขึ้นทุกที ก่อนหน้านี้ข้าพูดสิ่งใด เจ้าล้วนเชื่อข้า คล้อยตามข้า ตอนนี้เจ้าเชื่อฮูหยินมากกว่า เจ้าหวั่นไหวไปกับความคิดที่ว่าสตรีขันแข่งกับบุรุษได้ของนาง ชีเหนียงเจ้าต้องรู้ว่า นั่นเป็นเรื่องผิดขนบประเพณี สามีเป็นหลักของภรรยา บิดาเป็นหลักของบุตร นับแต่โบราณมาล้วนเป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าถูกนางพาเสียคน”
เดิมทีชีเหนียงต้องการจะโน้มน้าวเขาด้วยดี แต่ถูกต่อว่าเช่นนี้นางก็โมโหขึ้นมาบ้างแล้ว นางโยนผ้าลงในอ่างน้ำ “ข้าไม่เห็นว่าสตรียืนได้ด้วยตนเองมีสิ่งใดไม่ดี!”
อากุ้ยถูกตวาดก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง “ชีเหนียง ข้ารู้ว่าเจ้าอยากใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ข้ารับปากเจ้า รอข้ารวบรวมเงินได้พอแล้ว ข้าจะไถ่ตัวเจ้า ข้าจะซื้อบ้านสวยๆ สักหลัง จ้างบ่าวรับใช้หลายๆ คนให้เจ้าเป็นนายหญิง”
ชีเหนียงส่ายหน้า ก่อนหน้านี้นางอาจอิจฉาชีวิตเช่นนั้นก็จริง แต่ตอนนี้ไม่อีกแล้ว นางรู้สึกว่าที่เป็นอยู่อย่างนี้ดีมากแล้ว ไม่ต้องคอยมองสีหน้าผู้อื่น ไม่ต้องพึ่งพาบุรุษ อาศัยสองมือของตนเองหาข้าวกิน แต่ละวันรู้สึกว่าตนเองมิใช่คนที่มีหรือไม่มีก็ได้
“ชีเหนียง…” อากุ้ยเอ่ยปาก
ชีเหนียงยกอ่างน้ำเดินไปทางประตู “ช่างเถิด อย่าพูดเรื่องนี้กันเลย ออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว มีอะไรไว้คุยกันพรุ่งนี้เถิด อย่าเอะอะจนจงเกอร์ตื่นขึ้นมา”
อากุ้ยมองชีเหนียงหันหลังเดินจากไปอย่างขุ่นเคือง เขาทั้งโมโห ทั้งรู้สึกจนปัญญา ชีเหนียงไม่เพียงกล้าเถียงเขา แต่ยังกล้าชักสีหน้าใส่เขาอีกด้วย ล้วนเป็นเพราะสตรีนางนั้นพาเสียคน
ฝั่งเฉียวเวยหลังจากปฏิเสธอากุ้ยก็ไม่ได้กลับเข้าห้องทันที แต่เดินไปห้องครัวดูยาที่ต้มให้จิ่งอวิ๋นก่อน
พ่อครัวหยางบอกด้วยสีหน้าอ่อนโยน “วางใจเถิด ข้าคอยดูอยู่”
เฉียวเวยยิ้มละไม “ขอบคุณมาก”
พ่อครัวหยางไม่กล่าวคำพูดเกินจำเป็นอันใดอีก ไม่ถามถูกผิด ไม่ถกเถียงถูดผิดคือเงื่อนไขแรกสุดของการเป็นบ่าว
หลังต้มยาเรียบร้อย เฉียวเวยก็ยกถ้วยยากลับมาที่ห้อง วั่งซูนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง สองมือเท้าแก้ม จ้องมองพี่ชายผู้หลับสนิท
เฉียวเวยยิ้มอย่างเข้าใจ “เฝ้าอยู่จริงๆ เสียด้วย”
วั่งซูพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “ข้ารับปากท่านแม่แล้วว่าจะเฝ้าท่านพี่ ก็ต้องทำได้สิเจ้าคะ!”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว สมกับเป็นพ่อลูกกันจริงๆ
“มา ช่วยแม่ถือ” เฉียวเวยส่งถ้วยยาอุ่นๆ ให้วั่งซู
วั่งซูประคองอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังประคองสมบัติล้ำค่าของโลก สักหยดก็ไม่กล้าทำกระฉอก
เฉียวเวยประคองลูกชายขึ้นมาในอ้อมแขนแล้วเขย่าปลุกเบาๆ “จิ่งอวิ๋น ถึงเวลาดื่มยาแล้ว”
สติของจิ่งอวิ๋นยังพร่ามัว แต่เขารู้ด้วยสัญชาตญาณว่าต้องอ้าปาก เฉียวเวยตักขึ้นมาหนึ่งช้อนป้อนเข้าปากเขาอย่างพิถีพิถัน
วั่งซูถือถ้วยยา แล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ท่านแม่ ข้าช่วยท่านได้ใช่หรือไม่”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ใช่แล้ว วั่งซูช่วยแม่ป้อนยาพี่ชาย”
วั่งซูดีใจยิ่งนัก
ยาหนึ่งถ้วย ป้อนไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม หลังจากนั้นทำอย่างไรก็ป้อนต่อไม่ได้ เฉียวเวยวางถ้วยยาลง แล้วไปห้องครัวตามหาพ่อครัวหยางขอให้ตัดน้ำแข็งก้อนให้จำนวนหนึ่ง จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อแล้ววางประคบบนหน้าผากของจิ่งอวิ๋น
“เหตุใดต้องทำเช่นนี้ให้ท่านพี่เจ้าคะ” วั่งซูถามอย่างสงสัยใคร่รู้
เฉียวเวยอธิบายว่า “เพราะท่านพี่มีไข้สูง ก้อนน้ำแข็งช่วยลดไข้ได้”
“อ้อ”
“ฮูหยิน มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ” ลี่ว์จูแจ้งจากหน้าประตู
“ดึกดื่นป่านนี้ ผู้ใดกัน” เฉียวเวยถาม
ลี่ว์จูตอบว่า “เขาบอกว่าตนเองแซ่หลิว ตอนบ่ายตามหาจิ่งอวิ๋นอยู่ตลอด ได้ยินว่าจิ่งอวิ๋นกลับมาแล้ว จึงอยากมาถามสภาพของจิ่งอวิ๋น ท่านต้องการให้บ่าวปฏิเสธเขาหรือไม่”
เฉียวเวยคิดครู่หนึ่ง “ไม่ต้อง น่าจะเป็นคนที่มาร่วมช่วยเหลือ ข้าจะไปขอบคุณเขา วั่งซู เจ้าคอยดูพี่ชาย หากก้อนน้ำแข็งร่วงลงมาก็วางกลับไปให้เขา”
“รับทราบเจ้าค่ะ ท่านแม่!” วั่งซูชอบดูแลท่านพี่มาก นางไม่ง่วงสักนิดเดียว
เฉียวเวยออกมาจากเรือนก็เห็นขันทีหลิวยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางราตรี “เจ้าเองหรือ”
ขันทีหลิวยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ความจริงแล้ว เป็นท่านอ๋องของข้า”
ยิ่นอ๋องเดินออกมาจากในตรอก ใบหน้าหล่อเหลาถูกห้วงราตรีกลืนอยู่ในความมืด แววตาลึกล้ำและเย็นชา อาจเป็นเพราะแช่น้ำนานเกินไป เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ เฉียวเวยจึงพบว่าใบหน้าของเขาซีดเผือดกว่าปกติอยู่เล็กน้อย
“ท่านอ๋อง” เฉียวเวยกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มเรียบๆ
ยิ่นอ๋องเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าได้ยินว่าหาจิ่งอวิ๋นพบแล้ว”
“ถูกต้อง” เฉียวเวยพยักหน้า “มีไข้สูงกับแผลขีดข่วนเล็กน้อย แต่ไม่เป็นอันตราย ขอบคุณท่านอ๋องที่ใส่ใจ”
“ข้าอยากพบเขา” ยิ่นอ๋องเอ่ยต่อ
เฉียวเวยลูบปลายคาง “ท่านน่าจะรู้ดีว่าสือชีไม่มีทางปล่อยให้ท่านเข้าไป แล้วท่านก็น่าจะเข้าใจว่าข้าไม่มีทางอุ้มจิ่งอวิ๋นออกมา”
“เฉียวเวย!” ยิ่นอ๋องบันดาลโทสะ
ขันทีหลิวรีบส่งสายตาให้ท่านอ๋องของตน ระหว่างทางคุยกันไว้ดีแล้วมิใช่หรือไร อย่าทำให้ฮูหยินโมโห ฮูหยินเป็นสตรี ท่านอ๋องต้องยอมลงให้และเอาใจให้มากๆ อย่าถือสาหาความกับนาง เหตุไฉนเพิ่งพูดได้สองสามประโยคก็โมโหอีกแล้วเล่า แน่นอนว่า ปากกรรไกรของฮูหยินก็ช่างเอ่ยวาจาทิ่มแทงใจเกินไปจริงๆ สตรีที่ปากร้ายเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้เขาพบเห็นน้อยนัก
เฉียวเวยยิ้ม “ไม่ว่าอย่างไร เรื่องวันนี้ก็ต้องขอบคุณท่านมาก”
ยิ่นอ๋องรับรู้สายตาของขันทีหลิวจึงค่อยๆ ใจเย็นลง “จิ่งอวิ๋นเป็นลูกข้า ข้าตามหาเขาเป็นเรื่องสมควร ไม่ต้องให้เจ้ามาขอบคุณ”
เฉียวเวยกุมหน้าผาก “ขอบอกครั้งที่ N+1 ว่าเขาไม่ใช่”
ยิ่นอ๋องไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือเอ็นบวกหนึ่ง แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเข้าใจความหมายที่เฉียวเวยพูด “ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้า เจ้าจะปฏิเสธอย่างไรก็ตามใจ แต่ความจริงก็คือความจริง”
เฉียวเวยหัวเราะ “เห็นแก่ที่ท่านทุ่มเทตามหาลูกชายของข้าแม้ความจริงจะหาไม่พบก็ตาม ข้าจะไม่ทะเลาะกับท่านแล้ว แต่ท่านอย่าหวังว่าข้าจะเริ่มรู้สึกดีอะไรต่อท่านเพราะเรื่องครั้งนี้ ยามพบกันครั้งหน้า…ไม่ ไม่มีครั้งหน้าแล้ว”
กล่าวจบก็หมุนตัวเข้าเรือนไป
สีหน้าของยิ่นอ๋องมิอาจใช้คำพูดใดมาพรรณนาได้ ไม่ว่าจะเมื่อห้าปีก่อนหรือยามนี้ สตรีนางนี้ก็ช่างยั่วโมโหเขาเก่งนัก ก่อนหน้านี้ตามตื๊อไม่เลิกรา เขาหลบเลี่ยงแทบจะไม่ทัน มาวันนี้เขายินดียอมรับนางแล้ว นางกลับเริ่มตีตัวออกห่างจากเขา
“อ้อ” ทันใดนั้นเฉียวเวยก็เลี้ยวกลับมา แววตาแฝงรอยยิ้ม
ยิ่นอ๋องสีหน้าคลายพิโรธลงบ้าง
จากนั้นเฉียวเวยก็ส่งตะกร้าใบหนึ่งให้เขา
ยิ่นอ๋องรับมาแล้วถามอย่างสงสัย “นี่คือสิ่งใด”
เฉียวเวยคลี่ยิ้มหวาน “ไข่ไก่ ทุกคนที่มาช่วยดำน้ำหาวันนี้ล้วนได้กันคนละชุด ท่านอ๋องฐานะสูงศักดิ์ ข้าจึงเพิ่มให้ท่านอีกสองใบ ขอบคุณท่านมาก แล้วก็ไม่ต้องขอบคุณ!”
ยิ่นอ๋อง ‘อยากบีบคอสตรีนางนี้ให้ตายนัก บีบให้ตาย บีบให้ตาย…’
…
ท้องฟ้าทอแสงสลัว เฉียวเวยถูกปลุกให้ตื่นเพราะสัมผัสคันยุกยิกบนใบหน้า เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามือน้อยของบุตรชายกำลังวางอยู่บนใบหน้าของตนเอง
ลูกชายยังไม่ตื่น ใบหน้าน้อยแดงก่ำ ยังมีไข้สูงอยู่เล็กน้อย
เฉียวเวยกุมมือน้อยของเขาไว้อย่างปวดใจ แล้วมองเขานิ่งๆ
วั่งซูหลับอยู่ตรงปลายเตียง แขนขากางอ้าซ่า เสี่ยวไป๋ถูกนางทับไว้ใต้ก้น อุ้งเท้าข้างหนึ่งแปะอยู่บนขาของเฉียวเวย
เฉียวเวยตื่นเช้าจนชิน แต่วันนี้กลับไม่ขยับ
ลี่ว์จูรอรับใช้อยู่นอกห้อง ปกติเวลานี้ฮูหยินสมควรตื่นแล้ว แต่รออยู่พักหนึ่งก็ยังไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นางจึงให้คนยกข้าวของสำหรับล้างหน้ากลับไป
เฉียวเวยอยู่เป็นเพื่อนลูกๆ ในห้องอย่างเงียบสงบ ไม่รู้แม้แต่นิดเดียวว่าเมืองหลวงแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
เหตุการณ์ที่สาวใช้จวนกั๋วกงโยนเด็กน้อยอายุห้าขวบลงน้ำกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนทั้งเมืองหลวงโจษจันกันไปทั่ว ชั่วข้ามคืนไม่ว่าจะบนถนนใหญ่หรือในตรอกเส้นน้อย ทุกคนล้วนถกกันเรื่องเด็กชายผู้ตกน้ำ ไม่ผิดจากที่คาด จวนกั๋วกงถูกด่าจนไม่เหลือชิ้นดี
สาวใช้ผู้ทำผิดต่อสวรรค์คนนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง หลีซื่อเองก็หนีไม่รอด สั่งสอนลูกสะใภ้เช่นนี้ออกมาได้ก็รู้แล้วว่าการอบรมสั่งสอนกับกฎระเบียบในจวนกั๋วกงเป็นเช่นไร
คนเดียวที่ไม่ถูกด่าก็คือจีหว่าน
ที่ผ่านมาจีหว่านมักเป็นคนที่ถูกด่าเสมอ เหตุผลมีมากมายจนพูดไม่หมด แต่ครั้งนี้ชาวบ้านกลับเลยผ่านนางไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่ว่าเวลาใดพลังของมวลชนก็มิอาจดูแคลน แม้ในสายตาของชนชั้นสูงพวกเขาเป็นเพียงมดปลวกฝูงหนึ่ง แต่เมื่อเอาเชือกเส้นหนึ่งมามัดรวมเข้าด้วยกันก็ทำให้ทางการปวดศีรษะได้เหมือนกัน
บัณฑิตและกวีบางคนถึงขั้นนำเรื่องที่เด็กชายตกน้ำมาเขียนเป็นบทกวีและแพร่หลายไปทั่วตลาดในพริบตา
ยุคสมัยนี้บัณฑิตมีฐานะสูงอย่างยิ่ง พวกเขาถูกคนเชิดชูเสมือนหนึ่งดารา ผู้ใดเขียนตัวอักษรได้สวย แต่งบทกวีได้งดงามวิจิตร คนผู้นั้นก็มีหน้ามีตามากพอสมควร
เมื่อมีบัณฑิตทั้งหลายผลักดัน ภายในเวลาวันเดียวเหตุการณ์นี้ก็ถูกผลักให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรง จวนกั๋วกงถูกด่าทอจนพรุน
จวนเจ้าเมืองรับคดีนี้มาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาล
ราชวงศ์ต้าเหลียงมีกฎที่ไม่ระบุเป็นลายลักษณ์ประการหนึ่ง นั่นก็คือคดีที่ไม่มีผู้ฟ้องร้องไม่นับเป็นคดีความ ศาลาว่าการมักจะไม่สนใจ ครั้งนี้ความจริงเฉียวเวยก็ไม่ได้มาตีกลองร้องทุกข์ที่ศาลาว่าการ ตามหลักแล้ว ศาลาว่าการจะลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งก็ได้ แต่จนปัญญาที่ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันร้อนแรงเกินไปจนเบื้องบนให้ความสนใจ ศาลาว่าการจะไม่สนใจก็ยาก
เจ้าเมืองผู้กำลังนั่งจิบชาเอื่อยเฉื่อยอยู่ใน ‘ห้องทำงาน’ ของตนถามขึ้นว่า “คนไหน อยู่ที่ใดนะ”
เสมียนรายงานข่าวที่สืบมาได้ตามจริง “แซ่เฉียว ตอนนี้พักอยู่ที่ถนนชิ่งเฟิงเลขที่หกสิบเก้าขอรับ”
“ถนนชิ่ง ชิ่งเฟิงหรือ เจ้าเมืองท่าทางจริงจังขึ้นมาทันที สิบคนที่อาศัยอยู่บนถนนเส้นนั้นก็มีสิบเอ็ดคนแล้วที่ล่วงเกินไม่ได้ “ประเดี๋ยวก่อน เหตุใดเลขที่หกสิบเก้าจึงฟังคุ้นหูข้าเช่นนี้”
เสมียนตอบว่า “ท่านลืมคดีจวนแม่ทัพตัวหลัวครั้งก่อนแล้วหรือขอรับ สตรีที่ถูกจับขังคุกก็คือคนที่อาศัยอยู่ที่ถนนชิ่งเฟิงเลขที่หกสิบเก้า”
ความทรงจำทะลักออกมาราวกับน้ำหลากหลังเปิดประตูเขื่อน เจ้าเมืองหน้าถอดสีอย่างฉับพลัน “คนที่อัครมหาเสนาบดีพาไปคนนั้นน่ะหรือ”
เสมียนพยักหน้า “นางนั่นแหละขอรับ”
คุณพระ เตะถูกตอเหล็กเข้าแล้ว
นิสัยของสตรีนางนั้นบอกได้คำเดียวว่าแข็งกร้าว
แล้วผู้อื่นยังมีอัครมหาเสนาบดีหนุนหลังอีก คดีนี้อยากทำอย่างขอไปทีคงจะยากแล้ว!
เจ้าเมืองไม่เรียกคนมาที่จวนเจ้าเมือง สาเหตุสำคัญก็เพราะไม่ว่าฝ่ายใดก็เรียกตัวมาไม่ไหวทั้งสิ้น เขาเดินทางไปเยือนถึงที่ แล้วอธิบายสถานการณ์กับเฉียวเวย “ฮูหยิน สถานการณ์ตอนนี้ซับซ้อนอยู่บ้าง ประชาชนต้องการคำอธิบาย เบื้องบนก็ให้ความสำคัญอย่างมาก ตอนนี้ท่านมีสองทางเลือกที่จะเลือกได้ ทางที่หนึ่งฟ้องจวนกั๋วกง ทางที่สองตกลงกับจวนกั๋วกงเอง”
เฉียวเวยชะงักครู่หนึ่ง “ตกลงกันเอง ข้าพอเข้าใจได้ แต่ฟ้องจวนกั๋วกงที่ท่านว่าหมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่สมควรฟ้องสือหลิวหรือ”
เจ้าเมืองอธิบายสีหน้าอ่อนโยน “ฮูหยินคงไม่คุ้นกับกฎหมายของต้าเหลียงนัก สือหลิวเป็นสาวใช้ที่ทำสัญญาขายชีวิตมา ไม่ได้เป็นอิสระ นางทำผิด เจ้านายย่อมต้องรับผิดชอบ”
เฉียวเวยฉงน “รับโทษร่วมน่ะหรือ”
“ไม่ๆ ไม่ถึงขนาดนั้น” เจ้าเมืองหัวเราะแห้งๆ “จะว่าอย่างไรดีเล่า เรื่องนี้…ข้าจะยกตัวอย่างแบบไม่ค่อยตรงนักสักตัวอย่างหนึ่ง สมมุติว่าสุนัขที่ฮูหยินเลี้ยงมากัดข้าบาดเจ็บ ถ้าเช่นนั้นข้าย่อมต้องให้ฮูหยินชดใช้เงิน”
พอพูดเช่นนี้เฉียวเวยก็เข้าใจทันที ราชวงศ์ต้าเหลียงดูเหมือนยกเลิกระบบทาสแล้ว แต่ทาสยังคงมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง บ่าวที่ทำสัญญาขายชีวิตก็เสมือนทาส ไม่มีสิทธิมนุษย์ชนอย่างสิ้นเชิง ไม่แปลกที่ตอนเฉียนมามาขายอากุ้ยกับชีเหนียงให้นางจึงบอกนางว่าต่อให้นางตีพวกเขาจนตายทางการก็จะไม่มายุ่ง แต่ ข้อเสียของกฎเช่นนี้ก็เห็นเด่นชัดอย่างยิ่ง นั่นก็คือหากเกิดเรื่องขึ้น เจ้านายต้องรับผิดชอบ จุดนี้เฉียนมามากลับมิได้บอกกล่าวนาง คงกลัวว่านางจะไม่ซื้อพวกเขาล่ะสิ
“นี่คือความผิดที่ติงเสี่ยวอิงกระทำ ข้าต้องการลงโทษติงเสี่ยวอิงเท่านั้น ไม่สนใจจะฟ้องจวนกั๋วกง” เฉียวเวยกล่าว
“ฮูหยินหมายความว่า…ต้องการจะตกลงกับจวนกั๋วกงเองหรือ” เจ้าเมืองยิ้ม “ความจริงข้าน้อยก็คิดว่าวิธีการนี้เหมาะสมกว่าอยู่บ้าง แม้ใต้เท้าตำแหน่งสูงอำนาจมาก แต่จวนกั๋วกงเองก็ไม่ใช่คนที่จะเล่นงานได้ง่ายๆ หลินฮองเฮามารดาบังเกิดเกล้าขององค์รัชทายาทคือคุณหนูของจวนกั๋วกง รัชทายาทกับใต้เท้านับว่ามีความสัมพันธ์เป็นอาหลานกัน ซื่อจื่อฮูหยินของจวนกั๋วกงก็เป็นพี่สาวของใต้เท้า ท่านดูสิ สองตระกูลเกี่ยวพันกันแน่นแฟ้น ไม่จำเป็นต้องทำลายไมตรีระหว่างทั้งสองฝ่ายเพียงเพราะความผิดที่สาวใช้คนหนึ่งก่อ จนทำให้ใต้เท้าที่อยู่ตรงกลางลำบากใจจริงหรือไม่”
ไม่ลากคนบริสุทธิ์เข้ามาพัวพันคือเหตุผลประการที่หนึ่ง ไม่ให้หมิงซิวต้องลำบากใจเพราะเป็นคนกลางคือเหตุผลประการที่สอง รู้สึกขอบคุณจีหว่านเป็นเหตุผลประการที่สาม เมื่อรวมเหตุผลทุกข้อเข้าด้วยกัน จึงไม่มีเหตุผลที่จะฟ้องจวนกั๋วกงให้ขึ้นโรงขึ้นศาล
เฉียวเวยกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนใต้เท้าบอกต่อทางจวนกั๋วกง ข้าต้องการชีวิตของติงเสี่ยวอิงเท่านั้น ไม่สนใจจะฟ้องจวนกั๋วกง”
เจ้าเมืองจึงเดินทางไปจวนกั๋วกงเพื่อบอกกล่าวความต้องการของเฉียวเวยให้ชัด นอกจากนั้นก็เพื่อโม้คุณงามความชอบในการเกลี้ยกล่อมของตนอย่างหน้าด้านและไร้ยางอาย ตกบ่ายจวนกั๋วกงส่งคนไปยังเรือนสี่ประสานเพื่อหารือเรื่องต่อจากนี้กับเฉียวเวย
ผู้ที่มาเยือนคือพ่อบ้านของจวนกั๋วกง เขาเองก็แซ่หลิน อายุสี่สิบกว่าปี ตัวไม่สูง รูปร่างท้วมเล็กน้อย
พ่อบ้านหลินไม่ทราบว่าที่แห่งนี้เป็นที่พักอีกแห่งหนึ่งของอัครมหาเสนาบดี ได้ยินแต่จีหว่านบอกว่าเฉียวซื่อเป็นญาติฝั่งบ้านมารดา ในเมื่อเป็นญาติของจวนอัครมหาเสนาบดี จะอาศัยอยู่แถวนี้ก็สมเหตุสมผล
เพียงแต่การแต่งตัวดูไม่เหมือนสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ถึงกระนั้นกิริยาท่าทางกลับดียิ่ง สูงสง่าดั่งต้นไผ่ สง่างามดุจดอกเบญจมาศ ไม่เสริมเติมแต่ง งดงามอย่างธรรมชาติ
“ฮูหยิน” พ่อบ้านหลินกล่าวทักทาย “ข้าน้อยแซ่หลิน เป็นพ่อบ้านของจวนกั๋วกง มิทราบตระกูลสามีของฮูหยินแซ่ใด”
“ข้าแซ่เฉียว” เฉียวเวยตอบ
ตนถามถึงตระกูลสามี นางกลับตอบแซ่ของตนเอง พ่อบ้านหลินมิใช่คนโง่ ภายในพริบตาก็เดาบางสิ่งได้ทันที เขาคลี่ยิ้มตอบว่า “เฉียวฮูหยิน เสียมารยาทแล้วๆ”
เฉียวเวยสีหน้าเรียบเฉยกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วว่าจะไม่ฟ้องจวนกั๋วกง มิทราบว่าพ่อบ้านหลินมาเยือนด้วยเรื่องใด”
พ่อบ้านหลินคลี่ยิ้ม “เรื่องครั้งนี้ทำให้ฮูหยินเป็นทุกข์ กั๋วกงฮูหยินรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง จึงตั้งใจส่งข้ามาเยี่ยมเยือนฮูหยินกับคุณชายน้อย ไม่ทราบตอนนี้คุณชายน้อยเป็นเช่นไร สบายดีแล้วหรือไม่”
เฉียวเวยไม่ชอบรอยยิ้มเสแสร้งของเขา ภายนอกดูเหมือนจริงใจ ทว่าคำพูดแต่ละคำล้วนเป็นกับดัก “ลูกชายข้าล้มป่วย จนวันนี้ก็ยังไข้สูงไม่ได้สติ เจ้าว่าสบายดีหรือไม่เล่า”
พ่อบ้านหลินกระอักกระอ่วน แต่จากนั้นก็วางกล่องบุไหมในมือลงบนโต๊ะ “ฮูหยินของข้าเดาว่าคงเป็นเช่นนี้ จึงเตรียมของบำรุงร่างกายจำนวนหนึ่งมาด้วย ขอฮูหยินโปรดรับไว้”