หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 126-2 วีรบุรุษช่วยหญิงงาม
ตอนที่ 126-2 วีรบุรุษช่วยหญิงงาม
ชีเหนียงกอดรองเท้าสี่คู่เดินออกจากร้าน หรงจี้อยู่ใกล้ๆ อีกทั้งเฉียวเวยก็บอกทางนางไว้แล้ว นางจึงทราบว่าจะเดินไปอย่างไร
พอเดินเข้ามาในตรอก นางก็ประจันหน้ากับเงาสูงใหญ่ร่างหนึ่งที่เดินสวนมา
นางรีบหลีกทางให้อีกฝ่าย
นางขยับไปทางซ้าย อีกฝ่ายก็ขยับมาทางซ้าย
นางรีบหลบไปทางขวา อีกฝ่ายก็ขยับมาทางขวา
อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ อีกฝ่ายก็คิดจะหลีกทางให้นางเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าอีกฝ่ายใจตรงกับแม่นางน้อยผู้นี้ยิ่งนัก
อีกฝ่ายหัวเราะแล้ว “ข้าไม่ขยับแล้ว ข้ายืนอยู่ตรงนี้ เจ้าเดินไปก่อนเถิด”
ชีเหนียงได้ยินเสียงคุ้นหูก็ร้องเอ๋ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง “ผู้ดูแลฉิวหรือเจ้าคะ”
ผู้ดูแลฉิวตกตะลึง “ชีเหนียงหรือ”
เขาทราบนามของนางแล้ว ชีเหนียงรีบก้มหน้าคำนับ
ผู้ดูแลฉิวคิดไม่ถึงว่าจะพบกับนางที่นี่ นางยังเป็นเช่นครั้งก่อน ทำตัวเหมือนกระต่ายน้อยที่ตื่นกลัว ตนน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ
“ข้าไม่ได้กินคนเสียหน่อย” ผู้ดูแลฉิวหัวเราะ
ชีเหนียงหลุบตาลง ไม่พูดไม่จา ทำตัวเหมือนบ่าวที่นอบน้อมทั้งหลาย
ผู้ดูแลฉิวเห็นห่อผ้าในอ้อมแขนของนาง “ซื้อของหรือ”
“เจ้าค่ะ” ชีเหนียงพยักหน้า ไม่มีความคิดจะสนทนากับเขา
ผู้ดูแลฉิวยิ้มอย่างจนปัญญา เขายอมรับว่าตนเองสนใจนางอยู่บ้าง แต่หลังจากทราบว่านางแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้วก็หยุดความคิดนั้น นางไม่จำเป็นต้องระวังเขาถึงขั้นนี้จริงๆ “ฮูหยินของเจ้าเล่า อยู่ใกล้ๆ หรือไม่ ข้ากำลังจะไปหานางเพราะมีธุระพอดี”
“นางอยู่ที่หรงจี้เจ้าค่ะ” ชีเหนียงตอบ
“หรงจี้สินะ ไปเถิด เดินไปด้วยกัน” ผู้ดูแลฉิวสะบัดแขนเสื้อกว้าง
ชีเหนียงลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ข้ายังต้องซื้อของอีก ผู้ดูแลฉิวเชิญไปเองเถิดเจ้าค่ะ”
ทางเส้นนี้เป็นทางไปหรงจี้แท้ๆ ผู้ดูแลฉิวดูออกแต่มิพูด หากบอกว่าพริบตาที่เห็นนาง ความคิดที่ถูกดับไปนั่นของตนกลับจุดติดขึ้นมาอีกหน ถ้าเช่นนั้นการเอาตัวออกห่างอย่างโจ่งแจ้งของนางในวันนี้ก็ทำให้เขาล้มเลิกความคิดอย่างถาวร
“ได้ ข้าไปก่อน” ผู้ดูแลฉิวหมุนตัวไปทางหรงจี้
ชีเหนียงโกหกแล้วก็ต้องโกหกให้เนียน นางหมุนตัวเดินไปทางตรงข้ามกับผู้ดูแลฉิว คิดว่าจะไปร้านขายผ้าซื้อรองเท้าอีกคู่ ผู้ใดจะคิดว่าเพิ่งเดินมาถึงปากตรอกก็เจอโจรปล้น
คนผู้นั้นชนนางจนล้มลงกับบพื้น แล้วฉวยห่อผ้ากับถุงเงินของนาง
ชีเหนียงกอดขาของเขาไว้ “ช่วยด้วยเจ้าค่ะ…มีคนขโมยของ…”
ผู้ดูแลฉิวยังเดินไปไม่ไกล ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของชีเหนียง จึงรีบหมุนตัววิ่งกลับมา
คนผู้นั้นเห็นว่ามีคนมาช่วยชีเหนียงก็คิดจะรีบหนีเอาตัวรอด แต่จนปัญญาที่ชีเหนียงกอดไว้ไม่ปล่อย เขาจึงยกเท้าอีกข้างหนึ่งขึ้นมากระทืบชีเหนียงอย่างแรงเสียหลายที
ผู้ดูแลฉิวโกรธแล้ว ตบโจรกระจอกคนนั้นฝ่ามือเดียวลงไปกองกับพื้น!
จากนั้นจึงคว้าเสื้อของโจรกระจอกคนนั้นขึ้นมา ต่อยซ้ายที ต่อยขวาที ต่อยจนโจรกระจอกร้องโอดโอยตะโกนว่า “หยุดต่อยได้แล้วพี่ชาย…ข้า…ข้าผิดไปแล้วพี่ชาย..คืนให้ท่าน…คืนให้ท่านหมดเลย…”
ผู้ดูแลฉิวซ้อมเขาจนน่วมหนึ่งยก อัดจนคนหมดสติไปแล้วจึงเก็บถุงเงินกับห่อผ้า แล้วเดินมาพยุงชีเหนียง “ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
ชีเหนียงอดกลั้นความเจ็บปวดแล้วส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นอันใด ขอบคุณผู้ดูแลฉิวยิ่งนัก”
ผู้ดูแลฉิวจับหัวไหล่นาง นางเจ็บจนสูดลมหายใจเสียงดัง
“นี่เรียกไม่เป็นอะไรหรือ” ผู้ดูแลฉิวขมวดคิ้ว
ชีเหนียงก้มหน้าไม่พูดไม่จา
ผู้ดูแลฉิวจึงบอกว่า “ใกล้ๆ มีโรงหมอ ข้าจะพาเจ้าไปตรวจ”
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ”
“ข้าออกเงินให้”
“…ข้าจ่ายเองได้”
ชีเหนียงเจ็บไม่มาก ไม่บาดเจ็บถึงเส้นเอ็นหรือกระดูก เพียงแต่ผิวของนางบอบบางจึงบวมแดงเล็กน้อย ทาน้ำมันนวดแก้ฟกช้ำสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
ผู้ดูแลฉิวพาชีเหนียงมาส่งที่หรงจี้ เขามองออกว่าชีเหนียงกระอักกระอ่วนยิ่งนัก ผู้ดูแลฉิวจึงไม่ได้ไปพบเฉียวเวย แต่นั่งรถม้ากลับเมืองหลวง
แน่นอนว่าเรื่องนี้ปิดบังเฉียวเวยไม่ได้ ชีเหนียงคิดว่าผู้ดูแลฉิวมีธุระมาหาฮูหยินของตนจริงๆ แต่เพราะตนเอง จึงยังไม่ทันทำธุระก็ต้องกลับไปก่อน “ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้ธุระของฮูหยินล่าช้า”
ชีเหนียงหนอชีเหนียง เจ้าเดาความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหมิงซิวได้แม่นยำเช่นนั้น เหตุไฉนพอเปลี่ยนเป็นตัวเจ้าเองดันไม่กล้าเดาเสียเล่า
ผู้ดูแลฉิวมีธุระมาหาข้าที่ไหน หาข้ออ้างจะเดินมาด้วยกันกับเจ้า คุยกับเจ้าเพิ่มสักหน่อยชัดๆ
เฉียวเวยมีความประทับใจต่อผู้ดูแลฉิวไม่เลวทีเดียว ครั้งแรกที่เจอกันในโรงอิฐ ผู้ดูแลฉิวก็เตือนนางให้หลบเลี่ยงนายท่านหก พอนายท่านหกจะล่วงเกินนาง ผู้ดูแลฉิวก็พยายามช่วยเหลือ แม้จะไม่บังเกิดผลเท่าใดนักก็ตาม แต่ความดีเช่นนี้ก็หาได้ยาก
น่าเสียดายชีเหนียงมีอากุ้ยแล้ว มิเช่นนั้นเฉียวเวยก็คงไม่ถือสาจริงๆ หากเขาสองคนจะคบหากัน
เฉียวเวยพาชีเหนียงไปหาซื้อวัตถุดิบ รถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อต้องบรรทุกของจนเต็ม นั่งไม่ได้ เฉียวเวยจึงไปยืมรถม้าคันหนึ่งจากพรรคชิงลง แล้วถือโอกาสบอกเฉินต้าเตาว่าอาณาเขตที่เขาดูแลดันมีพวกมือเบาโผล่มา
เฉินต้าเตาโกรธแล้ว นับตั้งแต่ทำสัญญากับสมาคมร้านค้า สมาคมร้านค้าก็จ้างพรรคชิงหลงให้ดูแลความสงบในเขตการค้าขนาดใหญ่แต่ละแห่ง นานมากแล้วที่ไม่มีผู้ใดกล้าก่อเรื่องวุ่นวายบนท้องถนน แต่วันนี้กลับมีโจรกระจอกคนหนึ่งโผล่มา แล้วยังรังแกคนของตนอีก
ผู้ใดจะยอมทนได้!
“เสี่ยวหู่ เจ้าพาพี่น้องทั้งหลายไปจับไอ้โจรคนนั้นมา!”
ตกบ่ายวันนั้นโจรกระจอกก็ถูกพี่น้องของพรรคชิงหลงจับมาซ้อมจนน่วมกลางถนน จนทางการส่งคนมาถึงหยุด
เฉียวเวยกับชีเหนียงกลับมาถึงหมู่บ้านก็พอดีวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเลิกเรียน ซิ่วไฉเฒ่ากำลังจูงทั้งสองคนเดินขึ้นเขา
เฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้า แล้วยิ้มแย้มทักทาย “ท่านบัณฑิตเฒ่า”
ซิ่วไฉเฒ่าหันกลับมาก็ทักกลับอย่างคิดไม่ถึง “กลับมาแล้วหรือ ข้าเห็นว่าเจ้ายังไม่มารับลูก จึงกำลังจะไปส่งพวกเขากลับ”
“ท่านแม่!” เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองถลาเข้ามาในอ้อมแขนของเฉียวเวย
เฉียวเวยลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขาสองคน “วันนี้เป็นเด็กดีหรือไม่”
“เป็นเด็กดีเจ้าค่ะ ข้าเป็นเด็กดีทุกวันเลย! ไม่เชื่อท่านแม่ถามท่านอาจารย์ดูสิ ข้าเป็นเด็กดีมากๆ จริงๆ นะ!” วั่งซูหัวเราะคิกคักมองซิ่วไฉเฒ่า
ซิ่วไฉเฒ่าตอบ “จริง เชื่อฟังยิ่งนัก!”
ก็แค่นอนไปสองคาบ กินขนมหนึ่งคาบ แล้วก็เล่นอีกครึ่งคาบ ในขณะที่วันนี้มีเรียนทั้งหมดสี่คาบเท่านั้นเอง
เฉียวเวยเอ่ยขอบคุณซิ่วไฉเฒ่า แล้วพาเด็กๆ ขึ้นเขา
เสี่ยวเว่ยกับอากุ้ยกำลังเก็บกวาดโรงงาน เฉียวเวยตั้งเงื่อนไขเรื่องความสะอาดของโรงงานอย่างเข้มงวดยิ่งนัก ทุกวันหลังเลิกงานล้วนต้องปัดกวาดด้านในและด้านนอกโรงงานรอบหนึ่ง ก่อนหน้านี้สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นงานของปี้เอ๋อร์กับชีเหนียง ทว่านับตั้งแต่รู้ว่างานนี้เกี่ยวข้องกับเงินรางวัล เสี่ยวเว่ยกับอากุ้ยก็แย่งกันทำด้วย
“ยังไม่ทำอหารหรือ” เฉียวเวยมองด้านหลังของโรงงานที่ว่างเปล่าไร้ควันไฟ
เสี่ยวเว่ยขานอ้อแล้วหยุดขยับไม้กวาดในมือ ตอบว่า “ใช่แล้วขอรับฮูหยิน เมื่อครู่มีคนจากบ้านของปี้เอ๋อร์มาหา บอกว่ามารดาของนางล้มป่วย ให้นางกลับไปดูสักหน่อย นางจึงให้ข้าขอลาหยุดกับท่าน”
เฉียวเวยพยักหน้า “เข้าใจแล้ว” จากนั้นบอกเสี่ยวเว่ยว่า “วันนี้เจ้ากับอากุ้ยทำอาหารก็แล้วกัน”
เพราะชีเหนียงบาดเจ็บ
ค่ำคืนนี้ โจรทั้งหลายบนภูเขาต่างกินอาหารแล้วอาเจียนออกมาจนสิ้น
…
แสงอาทิตย์อัสดงฉายส่อง เสียงล้อรถม้ากระทบกับถนนแข็งฟังดูหนักแน่น
ปี้เอ๋อร์นั่งสงบอยู่บนรถ ม่านถูกปิดลลมา ไม่มีแสงลอดเข้ามาสักนิด
รถม้าแล่นเข้ามาในเมืองหลวง แล่นผ่านตลาดอันเอะอะแล้วจอดหน้าประตูเล็กของจวนเอินปั๋ว เด็กรับใช้ผู้ว่องไวคนหนึ่งเลิกม่านให้นาง “พี่ปี้เอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ”
ปี้เอ๋อร์ลงจากรถม้า
เด็กรับใช้มองภายในตัวรถก็พบว่าไม่มีสัมภาระ จึงนำปี้เอ๋อร์เดินเข้าไปในจวนทันที
ปี้เอ๋อร์เป็นเด็กที่เกิดในจวนเอินปั๋ว บิดามารดาของนางทำงานอยู่ในจวนเอินปั๋วตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน ในจวนแบ่งห้องสองห้องไว้ให้ ห้องหนึ่งบิดามารดาของปี้เอ๋อร์อยู่กับน้องชาย อีกห้องหนึ่งปี้เอ๋อร์อยู่กับพี่สาว หลังจากพี่สาวแต่งงานออกไป สวีซื่อก็ถูกใจนางจึงเรียกเข้ามาทำงานในเรือนหลัก เรือนหลักมีห้องนอนให้นางห้องหนึ่ง ห้องด้านนี้จึงว่าง
แต่หลายวันนี้ ในห้องกลับคึกคัก
ด้านในกำลังพนันขันต่อกันอยู่
ปี้เอ๋อร์มองลอดช่องประตูเข้าไปแล้วขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ จากนั้นเดินเข้าไปในห้องของบิดามารดา
น้องชายออกไปวิ่งเล่น มารดาของนางนั่งอยู่ตรงหัวเตียงกำลังแทะเมล็ดแตงสนทนาเรื่อยเปื่อยกับแม่เฒ่าฉางคนเฝ้าประตู ไม่รู้ว่าคุยอันใดกัน ทั้งสองคนจึงทุบเตียงหัวเราะลั่น เปลือกเมล็ดแตงที่หล่นเกลื่อนพื้นถูกทั้งสองคนเหยียบกระจัดกระจาย
“ท่านแม่ ท่านไม่ได้ป่วยหรอกหรือ” ปี้เอ๋อร์เข้ามาในห้อง
เฝิงซื่อกวักมือเรียกบุตรสาวแล้วคลี่ยิ้มบอกว่า “ไม่บอกเช่นนี้ จะขอลาหยุดให้เจ้าได้อย่างไรเล่า”
“พักนี้ปี้เอ๋อร์ไม่ได้ทำงานอยู่ในจวนแล้ว ไปทำงานในร้านของฮูหยินรองใช่หรือไม่” แม่เฒ่าฉางซุบซิบถาม
เฝิงซื่อกำลังจะเอ่ยปาก ปี้เอ๋อร์ก็บอกว่า “ข้าไปที่ใด ฉางมามาถามฮูหยินก็รู้แล้วมิใช่หรือ”
แม่เฒ่าฉางหน้าบึ้ง “โอ๊ะ ได้ทำงานใหญ่แล้ว ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาแล้วสิ”
เฝิงซื่อดุ “พูดกับฉางมามาเช่นนั้นได้อย่างไร”
ปี้เอ๋อร์สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้างแล้ว นางไม่เถียงคำพูดของมารดา แต่หยิบไม้กวาดไปกวาดเมล็ดแตงบนพื้น ตอนที่กวาดไปถึงแม่เฒ่าฉางก็กวาดเท้าของแม่เฒ่าฉางไปด้วยทีหนึ่ง
แม่เฒ่าฉางลุกขึ้นเต้น “โอ้ย ก็แค่ออกไปทำงานไม่กี่วันไม่ใช่หรือ ก้นเชิดจะไปถึงฟ้าเสียแล้ว! แล้วยังตีข้าอีก! ก็ได้ๆ ลูกสาวเจ้าดูแคลนข้า ข้าไปแล้วๆ!”
แม่เฒ่าฉางหน้าทะมึนเดินออกไป
เฝิงซื่อหยิกแขนของลูกสาว “เจ้าทำอะไร เก่งกล้าสามารถแล้วใช่หรือไม่ ไม่ไว้หน้าแม่ของเจ้าเช่นนี้ เจ้าคิดจะทำอะไรฮึ จะเนรคุณหรือ!”
ปี้เอ๋อร์ถูกหยิกจนเจ็บปวด
ตอนหลินมามาเดินเข้ามาในห้อง เฝิงซื่อกำลังหยิกซ้ายหยิกขวาบนตัวปี้เอ๋อร์อยู่ ปี้เอ๋อร์ดวงตาแดงระเรื่อแต่ไม่กล้าขัดขืน แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไร หลินมามาโมโห เข้ามาในห้องก็ตวาด “เฝิงซื่อเจ้าทำอะไร สาวใช้ของฮูหยิน เจ้าตีได้หรือ”
เฝิงซื่อหน้าซีด รีบลงมาจากเตียงแล้วคำนับหลินมามา “พี่หลิน”
หลินมามาดึงปี้เอ๋อร์เข้ามาหา “เจ้าก็เหลือเกิน ตอนนี้เจ้าเป็นสาวใช้ของฮูหยินแล้ว ไม่ใช่กระโถนระบายโทสะของนาง ตำแหน่งของเจ้าสูงกว่านาง หากนางตีเจ้าอีก เจ้าก็ตีกลับไปเสีย!”
เฝิงซื่อหวาดกลัวจนหดคอ
หลินมามาพาปี้เอ๋อร์ออกมาจากห้องที่สกปรกจนดูไม่ได้ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าสองสามีภรรยาถ่อยไร้ประโยชน์พรรค์นั้นเหตุไฉนจึงให้กำเนิดลูกสาวที่ทั้งงดงงามทั้งรู้ความคนหนึ่งเช่นนี้ออกมาได้ บรรพบุรุษต้องทำบุญมามากเป็นแน่แท้!
“ฮูหยินต้องการพบเจ้า” หลินมามามาถึงก็เข้าประเด็น “เช็ดน้ำตาของเจ้าสีย อย่าให้ฮูหยินรำคาญ”
ปี้เอ๋อร์ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา “หลินมามา ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะสารภาพกับท่าน”
หลินมามามองนาง แล้วคลี่ยิ้ม “มีเรื่องใดไปถึงหน้าฮูหยินแล้วค่อยพูด”
“หลินมามา” ปี้เอ๋อร์คว้าแขนของนางไว้ “ข้า…ข้าไม่อยาก…”
“เอาล่ะ ถึงแล้ว” หลินมามายิ้ม “ตานจวี๋ แจ้งฮูหยิน ปี้เอ๋อร์มาแล้ว”
ตานจวี๋เปิดม่านเดินเข้าไปในห้อง
หลายวันที่ผ่านมาสวีซื่อใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขนัก นับตั้งแต่เหล่าฮูหยินส่งเซวียมามาขึ้นเขาไปรอบหนึ่งก็เชื่อว่าเฉียวเวยไม่ได้รับเงินจุนเจือใดจากสวีซื่อ ถ้าเช่นนั้นเงินมากมายเช่นนั้นไปอยู่ที่ใดเล่า เหล่าฮูหยินไม่เชื่อว่าหอหลิงจือจะขาดทุนจริงๆ จึงบอกว่าสวีซื่อเอาเงินไปช่วยบ้านฝั่งมารดา เร่งให้สวีซื่อคายเงินออกมาอยู่ทุกวี่ทุกวัน สวีซื่อจะเอาเงินออกมาให้ก็ผิด ไม่เอาเงินออกออกมาให้ก็ผิด
หากจะเอาเงินออกมาให้ นางก็ไม่มีเงินมากมายเช่นนั้น ถึงจะมีเงินที่เสิ่นซื่อทิ้งไว้ก้อนหนึ่งซึ่งนางแอบเก็บเอาไว้ แต่นั่นเป็นเงินลับที่นางเก็บไว้ให้บุตรชายกับบุตรสาว จะแตะง่ายๆ ไม่ได้ จะให้นางยกเงินส่วนนั้นให้ไปเพียงเพราะเหล่าไท่ไท่กดดันไม่กี่ประโยค นางไม่ยินยอม
แต่หากไม่หาเงินมาจนเหล่าไท่ไท่เย็นชากับนางนานเกินไป ทำให้นายท่านคิดว่านางไม่กตัญญูต่อแม่สามี เขาคงไม่ใกล้ชิดกับนางเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
สวีซื่อต้องการเงินจากที่อื่นมาก้อนหนึ่งอย่างด่วนที่สุด เพื่อเอาใจเหล่าไท่ไท่เอาไว้ก่อน
เวลานี้นางคิดถึงแม่สามีสายตรงผู้นั้นเหลือเกิน ผู้อื่นเกิดมาจากตระกูลใหญ่ จิตใจสูงส่ง ใจกว้าง ไม่เคยทำเรื่องอย่างเช่นการมาแย่งเงินของลูกสะใภ้เช่นนี้ เสียใจจริงๆ ที่ตอนนั้นบีบแม่สามีของบ้านสายตรงจากไป แล้วยกแม่สามีที่เป็นอนุภรรยาคนนี้ขึ้นมาครองตำแหน่ง
“ฮูหยิน ปี้เอ๋อร์มาแล้วเจ้าค่ะ” ตานจวี๋แจ้ง
สวีซื่อยกมือขึ้น “ให้นางเข้ามา”
หลินมามานำปี้เอ๋อร์เข้ามาในห้อง ปี้เอ๋อร์คำนับสวีซื่อ “ฮูหยิน”
สวีซื่อมองสำรวจปี้เอ๋อร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า คิดว่าปี้เอ๋อร์ขึ้นเขาไปทำงานจะมีสภาพน่าอเนจอนาถเสียอีก คิดไม่ถึงว่ากลับมีชีวิตชีวากว่าในจินตนาการไม่น้อย “อยู่บนเขาชินแล้วหรือ”
“ตอบฮูหยิน ชินแล้วเจ้าค่ะ” ชะงักเล็กน้อยก็เสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “ฮูหยินให้ปี้เอ๋อร์ไปทำงานที่ใด ปี้เอ๋อร์ไม่มีทางบ่นเด็ดขาด”
สวีซื่อหัวเราะ “เจ้าเด็กคนนี้ พูดเสียเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจนัก เอาล่ะ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าลำบาก ข้าจะไม่ให้เจ้าเสียเปรียบ เดือนนี้ข้าจะให้บิดามารดาของเจ้าย้ายไปอยู่เรือนตะวันออก ที่นั่นมีเรือนเล็กแยกต่างหากหลังหนึ่ง ให้พวกเจ้าอยู่เป็นรางวัล”
“ขอบพระคุณฮูหยิน” ปี้เอ๋อร์คำนับ
สวีซื่อดื่มชาอย่างเอื่อยเฉื่อย “แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ได้สูตรมาแล้วหรือไม่”
แพขนตาของปี้เอ๋อร์สั่นไหว ตอบว่า “ยังไม่ได้เจ้าค่ะ”
สวีซื่อขมวดคิ้ว “นานป่านนี้แล้ว ยังไม่ได้อีกหรือ”
ปี้เอ๋อร์ตอบเสียงเบา “ฮูหยินท่านนั้นระวังยิ่งนัก ตอนข้าเข้าไปทำงาน พวกเขาล้วนยกโคลนที่ผสมเสร็จแล้วออกมาทุกครั้ง ข้ารับหน้าที่เพียงทาพวกมันเท่านั้น”
สวีซื่อไม่พอใจ “เจ้าคิดหาวิธีสักหน่อยไม่ได้หรือไร”
ปี้เอ๋อร์กัดริมฝีปาก
สวีซื่อส่งสายตาให้หลินมามา
หลินมามาประคองปี้เอ๋อร์แล้วจับมือปี้เอ๋อร์ไว้ จากนั้นเอ่ยอย่างเมตตา “ปี้เอ๋อร์ ที่ผ่านมาฮูหยินปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร”
ปี้เอ๋อร์หลุบตาลง “ฮูหยิน…ดีกับปี้เอ๋อร์ยิ่งนัก”
หลินมามาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ครั้งนี้ฮูหยินตกที่นั่งลำบาก เจ้าสมควรช่วยเหลือฮูหยินจึงจะถูก เจ้าเป็นคนฉลาดเช่นนี้ เชื่อว่าต้องหาวิธีเอาสูตรมาได้แน่”
“ข้า…”
หลินมามาถอนหายใจเบาๆ “เจ้าคงยังไม่รู้สินะ พ่อของเจ้าติดหนี้ก้อนโตอยู่ข้างนอก แต่ฮูหยินช่วยคืนแทนพ่อของเจ้าแล้ว”
บิดาของนางชมชอบการพนันขันต่อยิ่งนัก…
ปี้เอ๋อร์บีบนิ้วมือแน่น
หลินมามากล่าวต่อว่า “เงินก้อนนั้น ฮูหยินจะเรียกคืนเมื่อใดก็ได้ แน่นอนว่าฮูหยินไม่มีทางทำเช่นนั้น ฮูหยินเป็นผู้ยึดถือเรื่องน้ำใจมากที่สุด เจ้าทำงานเพื่อฮูหยินอยู่ข้างนอก ฮูหยินย่อมดีต่อครอบครัวของเจ้า แต่หากเจ้า…ไม่เชื่อฟัง ถ้าเช่นนั้นข้าคิดว่าฮูหยินก็ไม่มีความจำเป็นอันใดต้องปกป้องครอบครัวของเจ้าแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร”