หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 134-2 หมอพเนจรฟื้นตื่น (ปลาย)
ตอนที่ 134-2 หมอพเนจรฟื้นตื่น (ปลาย)
เฉียวเวยตอบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “ข้าเป็นห่วงท่านอย่างไรเล่า”
“ผู้ใดต้องการให้เจ้าเป็นห่วง” จีหว่านรู้สึกตัวว่าตนเองพลั้งปากเสียแล้วจึงรีบแก้ “คนที่มีปัญหาไม่ใช่ข้าเสียหน่อย”
“เข้าใจแล้วๆ เป็นญาติฝั่งมารดาของท่านต่างหาก”
จีหว่านถลึงตาใส่เฉียวเวย แล้วขย้ำพู่ห้อยพัดระบายโทสะ “เจ้าไม่มีวิธีจริงหรือ”
โรคเช่นนี้เฉียวเวยมิกล้าอวดเก่ง “การมีลูกยากมีปัจจัยมากมาย บางคนมีลูกไม่ได้เพราะท่อนำไข่ บางคนมีลูกไม่ได้เพราะมดลูก บางคนมีลูกไม่ได้เพราะรังไข่ แล้วยังมีบางคนตั้งท้องไม่ได้เพราะปากมดลูก ตั้งท้องไม่ได้เพราะอุ้งเชิงกราน ตั้งท้องไม่ได้เพราะระบบต่อมไร้ท่อ หรือไม่ก็ภาวะแท้งซ้ำซาก…ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นแบบใด ข้าจะให้ยาถูกโรคได้เช่นไร”
“มียาหรือ” หากมียา นางก็จะลองให้หมด
“ไม่มี”
จีหว่านสูดลมหายใจระงับอารมณ์!
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นว่า “แต่ท่านก็อย่าโยนปัญหาเรื่องมีบุตรไม่ได้มาโทษฝ่ายหญิงทั้งหมด หากปัญหาเป็นที่ฝั่งผู้ชายเล่า”
จีหว่านตกตะลึง “ผู้ชายก็มีปัญหาได้หรือ”
เพิ่งเคยได้ยินคนพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก!
เฉียวเวยสบสายตาสงสัยของจีหว่าน แล้วบอกอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนสิ การตั้งครรภ์เป็นเรื่องของคนสองคน มิอาจโยนความผิดมาให้ผู้หญิงแบกรับทั้งหมด” ยุคโบราณพอมีลูกไม่ได้ก็โบ้ยมาให้ผู้หญิง ไม่ลองคิดดูเสียบ้างว่าคุณภาพของลูกอ๋อดน้อยของตัวเองดีหรือไม่
จีหว่านเอ่ยขึ้นว่า “ข้า..ญาติของข้าก่อนหน้านี้เคยตั้งท้อง ก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาของสามีนางหรอกกระมัง”
เฉียวเวยพยักหน้า “อนุภรรยาของสามีนางเล่า ตั้งท้องได้หรือไม่”
“สามีนางไม่มีอนุภรรยา!” จีหว่านพูดอย่างยากจะปกปิดความภาคภูมิใจ สิ่งที่นางภาคภูมิใจมากที่สุดในชีวิตก็คือการที่นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวของหลินซูเยี่ยน
ด้วยแนวคิดของบุรุษยุคโบราณ การยอมรับภรรยาเอกที่แต่งงานมาแปดปีแล้วไม่มีลูก โดยที่ไม่รับอนุภรรยาและไม่หย่าภรรยา ไม่อาจไม่บอกว่าบุรุษผู้นั้นรักจีหว่านลึกซึ้งยิ่งนัก
เฉียวเวยไม่รู้ว่าสมควรจะบอกว่าจีหว่านโชคดีหรือโชคร้าย จะบอกว่าโชคร้าย นางก็มีสามีที่รักนางปานนี้คนหนึ่ง จะบอกว่าโชคดี นางก็ไม่อาจให้กำเนิดบุตรสักคนแก่สามีได้
“น้องสะใภ้รองของท่านคนนั้นมีลูกมาแล้วกี่คนหรือ” เฉียวเวยถามถึงหลีซื่อ
จีหว่านสีหน้าเฉยชา “สี่คน ทำไมเล่า”
สตรีที่ไม่เห็นชีวิตเด็กสำคัญคนนั้นกลับมีลูกตั้งสี่คน จีหว่านกลับไม่มีสักคนเดียว นี่มันโชคชะตาอะไรกัน สตรีนางนั้นคงไม่ได้เหิมเกริมขนาดนั้นเพราะอาศัยว่าท้องของตนให้กำเนิดลูกเก่งใช่หรือไม่
เฉียวเวยนึกเสียใจจริงๆ ที่เมื่อชาติก่อนนางไม่เลือกเรียนแพทย์แผนจีน ไม่อย่างนั้นหากรักษาภาวะมีบุตรยากของจีหว่านสำเร็จ ได้เห็นหลีซื่อกระทืบเท้าคงจะสาแก่ใจแน่
เฉียวเวยลอบถอนหายใจ บอกกับจีหว่านว่า “ข้าอยากช่วยญาติของท่านยิ่งนักจริงๆ ทว่าศาสตร์วิชาแต่ละแขนงล้วนมีความลึกซึ้ง ข้ารักษาแผลภายนอกยังพอได้ แต่หากจะให้ใช้การแพทย์แผนจีนรักษาการมีบุตรยากกลัวว่าจะพลาดทำร้ายญาติของท่าน”
จีหว่านผิดหวัง
…
ตกบ่ายเฉียวเวยซื้อข้าวของที่จำเป็นหนึ่งตะกร้า หลังจากนั้นจึงพาลูกๆ กลับหมู่บ้าน ชาวบ้านจะเริ่มงานอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ แต่วันนี้ก็มีคนไม่น้อยเดินทางมาที่โรงงานเพื่อเรียนรู้งานก่อน นี่เป็นคำแนะนำของหัวหน้าหมู่บ้าน ผู้อื่นให้โอกาสพวกเจ้าหาเงินแล้ว จงอย่าไม่เห็นคุณค่า พวกเจ้าไม่อยากทำ ก็ยังมีคนอีกมากที่อยากทำ
โรงงานใหญ่มากพอ คนสามสิบกว่าคนจึงไม่แลดูเบียดเสียด
เสี่ยวเว่ยพอกโคลนไปพลางก็อธิบายกับทุกคนไปด้วย “‘สมุนไพร’ ตัวนี้ต้องพอกให้สม่ำเสมอ ไม่บางไม่หนาพอดีๆ บางเกินไปจะไม่ได้รสชาติ หนาเกินไปก็สิ้นเปลือง พวกเจ้าเห็นความหนาที่ข้าใช้ชัดแล้วหรือไม่”
คนที่เบียดไปอยู่แถวแรกได้มองเห็นชัดเจนหมดแล้ว บางคนที่มองไม่เห็นก็วิ่งไปฝั่งของอากุ้ย
อากุ้ยพูดไม่เก่งเหมือนเสี่ยวเว่ยจึงก้มหน้าก้มตาทำงาน
ครั้งนี้รับคนงานหญิงมาไม่น้อย ทุกคนรุมล้อมชีเหนียงกับปี้เอ๋อร์
ชีเหนียงกับปี้เอ๋อร์ล้วนเกิดในครอบครัวยากจน อยู่ในจวนล้วนแต่ถูกผู้อื่นกลอกตาใส่ ถูกใช้โน่นนี่ เป็นครั้งแรกที่มีคนมากมายเช่นนี้ใช้สายตาอิจฉามองพวกนาง
“ไข่นี่คือไข่สดหรือ” ภรรยาของสวีต้าจ้วงถาม
ชีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า “ไข่สด ดังนั้นจึงแตกง่ายมาก ตอนที่พอก ‘สมุนไพร’ จะต้องควบคุมแรงให้ดี ถึงไข่เป็ดนี่จะราคาถูก แต่ ‘สมุนไพร’ แพงนัก เปลืองไปหนึ่งช้อนก็ล้วนเป็นเงินจำนวนมาก”
ภรรยาของต้าจ้วงพยักหน้าเข้าใจทันที
ชีเหนียงชี้เข่งที่วางอยู่บนชั้นวางของ “นั่นเป็นเข่งที่บิดาของเจ้าทำ ฮูหยินพอใจมาก บอกว่าหลังจากนี้จะสั่งของจากบ้านพวกเจ้าอีก”
ทุกคนมองภรรยาของต้าจ้วงอย่างอิจฉา โรงงานใหญ่ขนาดนี้ ค้าขายมากมายเช่นนี้ ต้องการเข่งสักเท่าใดกันนะ บ้านของต้าจ้วงคงจะได้เงินเป็นกอบเป็นกำ!
บนใบหน้าของภรรยาต้าจ้วงปรากฏรอยยิ้มภาคภูมิใจ นางบ้านแตกสาแหรกขาด ร่อนเร่พเนจรมากับบิดา ได้คนแนะนำจึงมาแต่งงานกับสวีต้าจ้วง แต่เดิมยังมีอีกครอบครัวหนึ่งที่สนใจตบแต่งนาง บ้านนั้นมีเงิน อยู่ในตัวเมือง เป็นคหบดีใหญ่ครอบครัวหนึ่ง หากนางแต่งเข้าไปก็จะเป็นอนุภรรยา ความจริงเป็นเช่นนั้นก็ดีทีเดียว ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเสื้อผ้า แม่สื่อเองก็เกลี้ยกล่อมนางให้แต่งเข้าไปในครอบครัวคหบดี แต่ครอบครัวคหบดีไม่ยอมรับบิดานางเข้าไปอยู่ด้วย บอกว่าจะให้เงินเล็กน้อยแล้วเลี้ยงไว้ข้างนอก
นั่นจะได้อย่างไรเล่า นั่นบิดาแท้ๆ ที่เลี้ยงนางมาจนโต พี่ชายน้องชายล้วนตายสิ้นแล้ว เหลือนางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว หากนางไม่สนใจไยดีบิดาของนาง บั้นปลายชีวิตของบิดาย่อมอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
สุดท้ายนางจึงกัดฟันแต่งมาอยู่ในหมู่บ้านชนบท
นางแต่งงานกับผู้อื่นโดยพาบิดาคนหนึ่งมาด้วย นางกลัวว่าผู้คนจะนินทาว่าร้ายจึงไม่กล้าออกจากบ้านมาตลอด ทั้งยังไม่กล้าคบหาผู้ใด หนนี้ที่บ้านลำบากหมดหนทางแล้วจริงๆ จึงบากหน้าขึ้นเขามา คิดไม่ถึงว่าจะถูกเลือกด้วย
“บิดาของเจ้าเก่งจริงๆ” มีคนเอ่ยชมคำหนึ่ง
บิดาถูกผู้อื่นชื่นมชม ภรรยาของต้าจ้วงพลันรู้สึกอิ่มเอมใจ ที่แท้ก็ไม่ได้ผูกมิตรยากเช่นนั้นนี่นา ตนเองคิดมากไปเองทั้งนั้น
เรียนกันมาตลอดบ่าย ทุกคนก็พอจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรแล้ว งานสบายกว่าที่จินตนาการไว้มาก คิดว่าเสี่ยวเฉียวให้เงินมากปานนั้น จะต้องเอาพวกเขามาทำงานเอาเป็นเอาตายเสียอีก พวกเขากลัวไปเองแท้ๆ
แต่ว่าถึงงานพวกนี้จะดูเหมือนเรียบง่าย แต่ล้วนเป็นงานที่ต้องใช้ความประณีตอย่างยิ่ง พวกเขาทำนาจนชินจึงมือหนัก หากคิดจะทำงานนี้ให้ดีจริงๆ น่ากลัวว่าคงต้องพยายามสักหน่อย
ตอนเฉียวเวยขึ้นเขามา ชาวบ้านทั้งหลายก็กำลังเดินออกจากโรงงาน ตอนนี้นางเป็นเถ้าแก่แล้ว ทุกคนจึงไม่สะดวกใจจะเรียกเสี่ยวเฉียวๆ อีก จึงเปลี่ยนมาเรียกว่าฮูหยินเหมือนพวกชีเหนียง
เฉียวเวยทักทายทุกคนแล้วเรียกชีเหนียงเข้ามาในคฤหาสน์ ถามว่าตอนบ่ายเป็นอย่างไรบ้าง ชีเหนียงตอบว่า “ฮูหยินสายตาเฉียบแหลมที่สุด คนที่เลือกมาเหล่านั้นล้วนเป็นคนหัวไวทำงานเก่ง วันพรุ่งเริ่มงานคงมีปัญหาไม่มาก”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” เฉียวเวยพยักหน้า
“แต่ฮูหยิน พวกเราต้องทำไข่เยี่ยวม้ามากปานนั้นจริงหรือเจ้าคะ” ชีเหนียงกังวลเรื่องเดียวกับเถ้าแก่หรง กลัวว่าทำมามากแล้วจะขายไม่ออก
เฉียวเวยจิบน้ำชา “ข้าไม่กลัวพวกเจ้าทำมากไป กลัวแต่พวกเจ้าจะทำไม่มากพอ โรงงานทำออกมาได้เท่าไร ข้าก็จะขายออกไปได้เท่านั้นแน่นอน”
ความเชื่อมั่นในตัวเองเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ชีเหนียงไม่เคยเห็นจากตัวของสตรีคนอื่น ทั้งที่อายุน้อยกว่านางเสียอีก แต่กลับเหมือนมีประสบการณ์มากกว่านาง ทำให้คนทั้งนับถือทั้งรักใคร่ “จริงสิ ฮูหยิน พวกเขาจะกินข้าวที่นี่ด้วยหรือไม่”
“ไม่ พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ใกล้ๆ ย่อมกลับบ้านไปกินเอง” หากกินที่นี่ นางก็ต้องจ้างแม่ครัวมาอีกสองคน จ้างแม่ครัวเพิ่มเสียเงินไม่กี่ตำลึงหรอก แต่อาหารมาก ถ้วยชามมาก ข้าวของมากแล้วต้องมีโรงอาหารเพิ่มมาอีกแห่งจะกินพื้นที่มากเกินไป
ชีเหนียงเอ่ยเสียงเบา “ฮูหยิน หากไม่มีสิ่งอื่นสั่งแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
เฉียวเวยชะงักครู่หนึ่ง “เจ้าเรียกปี้เอ๋อร์เข้ามา”
“เจ้าค่ะ” ชีเหนียงถอยออกไป
ไม่นานปี้เอ๋อร์ก็เดินเข้ามาในห้อง นางคำนับเฉียวเวยแล้วเรียกแผ่วเบา “ฮูหยิน”
สาวใช้ที่มาจากบ้านตระกูลใหญ่ต่างออกไปจริงๆ ขยับเคลื่อนไหวแต่ละหน ขมวดคิ้วคลี่ยิ้มแต่ละทีล้วนมองแล้วเพลินตาเพลินใจ
นิ้วของเฉียวเวยเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ สองสามหน “หาบ้านเป็นอย่างไรแล้ว”
“ตอบฮูหยิน หาได้สองหลัง หลังหนึ่งอยู่ที่ถนนซิ่งฮวา หลังหนึ่งอยู่ตรอกเฉียวโกว”
เฉียวเวยชะงักมือ “อยู่ไกลพอสมควรนะ”
ปี้เอ๋อร์อับอาย นางรับเงินมาห้าร้อยตำลึง ซื้อบ้านห่างไกลเช่นนี้ให้บิดามารดากับน้องชาย หากเล่าออกไปก็ฟังดูไม่เข้าท่าอยู่บ้างจริงๆ แต่มิใช่ว่านางไม่อยากซื้อบ้านราคาแพง แต่มารดาของนางไม่ต้องการ ความจริงแล้วแม้แต่บ้านที่ถนนซิ่งฮวากับตรอกเฉียวโกว มารดาของนางก็รังเกียจว่าแพง รั้นจะอยู่ไม่ยอมย้ายออกไป เมื่อครู่นางก็พยายามคุยเปลี่ยนความคิดของมารดานางอยู่ในห้อง
“เท่าไรหรือ” เฉียวเวยไม่ค่อยรู้ราคาบ้านในยุคโบราณมากนัก แต่หากไม่แพง นางก็อยากซื้อไว้สักหลัง
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “ล้วนเป็นบ้านเก่า บ้านหลังที่ถนนซิ่งฮวาราคาสองร้อยตำลึง บ้านที่ตรอกเฉียวโกวถูกกว่าหน่อย ราคาหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง”
ราคานี้ไม่คุ้ม เฉียวเวยส่ายหน้าแล้วเลิกสนใจบ้าน เปลี่ยนมาคุยเรื่องสำคัญกับปี้เอ๋อร์ “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าเรียกเจ้ามาทำอะไรนะ”
ปี้เอ๋อร์กัดริมฝีปาก “เพราะเรื่อง…สูตรหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยตอบเสียงนิ่งสงบ “ถูกต้องแล้ว เจ้ารู้สูตรแล้ว เจ้าว่าข้าสมควรจัดการเจ้าอย่างไร”
ปี้เอ๋อร์ค้อมกายต่ำ “ฮูหยินโปรดวางใจ บ่าวไม่มีวันแพร่งพรายสูตรออกไปแม้แต่ครึ่งคำ!”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ตอนนี้เจ้าไม่ทำ แต่วันหน้าเล่า ผู้ใดจะแน่ใจได้ ตอนแรกที่เจ้าภักดีต่อสวีซื่อก็คงจงรักภักดีมากเหมือนกันล่ะสิ”
ปี้เอ๋อร์มองเฉียวเวยอย่างเสียใจ “เรื่องนั้นไม่เหมือนกัน ฮูหยินดีต่อบ่าวยิ่งนัก บ่าวไม่มีวันทรยศฮูหยิน”
เฉียวเวยยิ้มเฉยเมย “แล้วถ้าข้าไม่ดีต่อเจ้าขึ้นมาเล่า หากข้ากลายเป็นสวีซื่อคนที่สอง เจ้าจะไม่…วิ่งมาทรยศข้าเพื่อเสี่ยวเฉียวคนที่สองหรือเปล่า”
ปี้เอ๋อร์สะอึก
“ใจคนเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนง่ายที่สุด สิ่งที่ข้าไม่เชื่อถือที่สุดก็คือหัวใจคน”
“ฮูหยินต้องการให้ปี้เอ๋อร์ทำเช่นไร”
ช่างสมเป็นสาวใช้ระดับสูงคนหนึ่งจริงๆ เฉียวเวยดันสัญญาบนโต๊ะไปให้ “นี่คือ ‘สัญญารักษาความลับ’ ข้าอยากให้เจ้าลงลายมือชื่อบนนี้ วันหน้าหากสูตรถูกแพร่งพรายออกไป ข้าจะจัดการเจ้าตามเงื่อนไขที่อยู่บนนี้อย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว”
ปี้เอ๋อร์อ่านหนังสือออก นางอ่านข้อตกลงทีละข้อ แล้วขนทั่วร่างก็ลุกชัน
เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ขอเพียงเจ้าไม่ทรยศข้า สัญญาแผ่นนี้ก็เป็นเพียงแผ่นกระดาษไม่มีผลประการใด กลับกันไม่ว่าเจ้าจะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็มีวิธีการตามหาเจ้าจนพบ”
เสี่ยวไป๋ให้ความร่วมมือแยกเขี้ยวขู่อย่างดุร้าย
ถึงยามปกติเฉียวเวยมักยิ้มแย้ม ใจกว้างกับบ่าวรับใช้ แต่ปี้เอ๋อร์เคยเห็นเฉียวเวยเล่นงานคนมาแล้ว คนของจวนกั๋วกงนางยังกล้าลงไม้ลงมือ หากสาวใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งล่วงเกินนางเข้า จะตายอย่างไรก็คงไม่รู้
ปี้เอ๋อร์สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วยกพู่กันขึ้นลงลายมือชื่อบนหนังสือสัญญาแล้วประทับรอยนิ้วมือ
เฉียวเวยเก็บหนังสือสัญญาเรียบร้อย “นับแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าไปทำงานในห้องผสมวัตถุดิบด้วย” มีคนงานเพิ่มมายี่สิบสามสิบคน โคลนพอกย่อมไม่พอ ต้องมีคนผสมเพิ่มสักหน่อยจึงจะดี
ปี้เอ๋อร์ตอบรับ “เจ้าค่ะ”
เฉียวเวยยกมือขึ้น “เจ้าออกไปเถิด”
ปี้เอ๋อร์ถอยออกไป
รัตติกาลมืดสนิท ทั่วทั้งคฤหาสน์ตกอยู่ในความเงียบ แสงจันทร์ทำให้เงาคนทอดยาวเฟื้อยไปตกต้องบนกระดาษบุหน้าต่างของของคฤหาสน์
เฉียวเวยรู้สึกรางๆ ว่าตนเองเหมือนจะลืมเรื่องใดไป ทว่าตอนนี้กลับนึกไม่ออก นางกอดจิ่งอวิ๋นไว้ในอ้อมแขนแล้วหลับตาหลับสนิทไป
ยามเช้าแสงอรุณเบิกฟ้า เฉียวเวยก็ตื่นจากนิทรา ศีรษะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ลำคอก็แห้งผาก เฉียวเวยดื่มน้ำเปล่าเล็กน้อย อาการจึงบรรเทาลงบ้าง นางอาบน้ำเสร็จก็ไปห้องครัวเป็นอย่างแรก ทำบะหมี่ไข่ไก่กับแป้งม้วนไส้วัวพะโล้ที่เด็กๆ ชอบกิน หลังจากนั้นจึงกลับมาที่ห้องอุ้มหนอนขี้เกียจวั่งซูออกมาจากผ้าห่ม
ทว่าเรี่ยวแรงกลับไม่พอ นางต้องอุ้มสองหนจึงจะอุ้มขึ้น
“ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรขอรับ” จิ่งอวิ๋นมองนางแล้วถามขึ้นมา
เฉียวเวยหัวเราะเสียงละมุน “ไม่มีอะไร น้องสาวเจ้าตัวหนักขึ้นอีกแล้ว แม่จะอุ้มไม่ไหวแล้ว”
จิ่งอวิ๋น ‘ท่านเป็นคนที่หิ้วท่านอาต้าเตาเหมือนลูกเจี๊ยบได้ แต่อุ้มน้องสาวไม่ไหวหรือ’
ในที่สุดเฉียวเวยก็อุ้มหนอนขี้เกียจตัวน้อยขึ้นมาได้ สวมเสื้อผ้า อาบน้ำให้จนเรียบร้อย จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งกินข้าวที่โต๊ะ
ทันใดนั้น ชีเหนียงก็เปิดประตูเดินเข้ามา “ฮูหยิน”
เฉียวเวยวางชามลง “มีอะไรหรือ”
ชีเหนียงตอบว่า “เสี่ยวเว่ยเพิ่งมาจากในหมู่บ้าน บอกว่าซิ่วไฉเฒ่าให้มาแจ้งว่าวันนี้ไม่มีเรียน”
เฉียวเวยฉงน “เหตุใดไม่มีเรียน ซิ่วไฉเฒ่ามีธุระหรือ”
ชีเหนียงส่ายศีรษะ “ไม่ใช่เจ้าค่ะ มีเด็กเป็นโรคอีสุกอีใส ซิ่วไฉเฒ่ากลัวจะระบาด จึงให้ทุกคนสังเกตอาการอยู่ที่บ้านของแต่ละคนก่อน”
โรคอีสุกอีกใส หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าไข้สุกใส เป็นโรคติดต่อร้ายแรงอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง มักจะเป็นกันช่วงเหมันต์กับวสันต์สองฤดู ตอนนี้หน้าร้อนแล้วกลับมีคนเป็นหรือ การแพทย์สมัยโบราณย่ำแย่เช่นนี้ เป็นหวัดขึ้นมายังอาจตายได้ โรคอีสุกอีใสยิ่งน่ากลัวกว่า
เฉียวเวยรีบจับหน้าผากลูกทั้งสองคน “พวกเจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
ทั้งสองคนส่ายหน้าพร้อมกัน
“ตามตัวเล่า” เฉียวเวยเปิดเสื้อของทั้งสองคนก็พบผิวขาวเกลี้ยงเกลา เฉียวเวยถอนหายใจ แล้วถามชีเหนียงบ้าง “จงเกอร์ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ชีเหนียงจึงตอบว่า “ตอนอายุสองขวบเขาเคยเป็นแล้วย่อมไม่เป็นอีกแล้ว จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเคยเป็นหรือยังเจ้าคะ”
เคยเป็นแล้วรอดมาได้ล้วนเป็นปาฏิหาริย์ เฉียวเวยไม่ได้รับสืบทอดความทรงจำจากเจ้าของร่างมา ไหนเลยจะทราบว่าเด็กทั้งสองคนเคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนหรือไม่
โรคอีสุกอีใสช่วงก่อนขึ้นตุ่มสองถึงห้าวันจะแพร่โรคได้ เด็กคนนั้นเพิ่งรู้ตัววันนี้ หากเป็นเช่นนี้ตั้งแต่หลายวันก่อนก็ต้องเริ่มแพร่ในชั้นเรียนแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนได้สัมผัสกับเขาหรือไม่ “เด็กคนไหนเป็นหรือ”
ชีเหนียงคิดครู่หนึ่ง “เหมือนจะเป็น เหมือนจะเป็นเอ้อร์โก่วจื่อ”
ดั่งอสนีบาตเส้นหนึ่งผ่าลงมากลางฟ้าแจ้ง!
เอ้อร์โก่วจื่อเป็นสหายตัวน้อยที่สนิทกับจิ่งอวิ๋นที่สุด จิ่งอวิ๋นอยู่กับเขาทุกวัน เขาเป็นอีสุกอีใส แล้วจิ่งอวิ๋นจะโชคดีรอดได้หรือ
ชีเหนียงเอ่ยปลอบ “ฮูหยิน ท่านอย่าเพิ่งกังวลไปก่อน ท่านดูสิเด็กสองคนนี้ไม่ใช่ยังดีๆ อยู่หรือ อาจไม่ติดมาก็ได้”
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนมองมารดาอย่างไร้เดียงสา พวกเขาไม่ป่วยนะ ร่างกายรู้สึกดีมาก ไม่มีอาการไม่สบายสักนิด ท่านแม่ต่างหาก หน้าซีดยิ่งนัก
คืนวันนั้นตรงท้องของหัวหน้าพรรคเฉียวก็มีตุ่มใสๆ ตุ่มหนึ่งผุดขึ้นมา