หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 135-1 รักษาตัว หมอพเนจรมาเยือนบ้าน
ตอนที่ 135-1 รักษาตัว หมอพเนจรมาเยือนบ้าน
ตั้งแต่ตอนยังเล็กมากเฉียวเวยก็รู้แล้วว่าตนเองป่วยไม่ได้ ป่วยครั้งหนึ่งไม่เพียงหมายถึงค่ายาค่าหมอแพงลิบลิ่ว ยังหมายถึงการต้องทนต่อความโดดเดี่ยวและความเปลี่ยวเหงาอันยาวนาน เมื่อร่างกายอ่อนแอลง จิตใจก็จะอ่อนแอลงด้วย ยามค่ำคืนดึกสงัดนอนอยู่ในห้องว่างเปล่าเพียงลำพัง ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับความเศร้าเสียใจที่ยามปกติเหมือนจะไม่รู้สึกเหล่านั้นก็ราวกับถูกกล้องจุลทรรศน์ขยายใหญ่ขึ้นนับอนันต์อย่างกะทันหัน
เฉียวเวยเกลียดความรู้สึกเช่นนั้นจนถึงขั้นกล่าวได้ว่ากวาดกลัว ดังนั้นน้อยครั้งนักที่เฉียวเวยจะปล่อยให้ตนเองป่วย นางทำงานและพักผ่อนอย่างมีวินัย นางขยันออกกำลังกาย นางกินอาหารที่มีประโยชน์…ทุกสิ่งล้วนเพียงเพื่อรับประกันว่าตนเองจะมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง
ตอนแรกที่มาถึงต่างโลก ร่างกายร่างนี้อ่อนแอจนลมพัดปลิว แต่หลังจากนางออกกำลังกายอย่างหนัก นางในตอนนี้เรียกว่าเป็นโคถึกที่กำยำ (ผอมเพรียว) ตัวหนึ่งก็ไม่เกินไปนัก
แต่เหตุใดร่างกายอันแข็งแกร่งนี้ยังล้มป่วยอีกเล่า
เฉียวเวยมองตุ่มน้อยที่ผุดขึ้นมาบนหน้าท้องด้วยสีหน้ามึนงง เกิดความรู้สึกอยากจิกมันทิ้งแล้วทำเหมือนทุกสิ่งไม่เคยเกิดขึ้น
“เอ๊ะ ท่านแม่ ท่านมีตุ่มขึ้น!” เจ้าซาลาเปาน้อยจิ่งอวิ๋นเบิกตาโต เห็นตุ่มน้อยๆ บนผิวของมารดาเข้าแล้ว เขาเกิดมาก็ฉลาดเฉลียว เมื่อรวมกับบทสนทนาที่ได้ฟังจากผู้ใหญ่เมื่อวาน เขาก็พอเข้าใจแล้วว่าสิ่งนี้คืออะไร เขาเปิดเสื้อแล้วมองดูตนเอง “เหตุใดข้าไม่มี”
ไม่มีแล้วไม่ดีหรือไร เจ้าเด็กหน้าเหม็น เจ้าอยากโดนตีใช่หรือไม่
จิ่งอวิ๋นถอดกางเกงตัวน้อยออก จับนกเขาน้อยขึ้นมาส่องดูสามร้อยหกสิบองศาจนครบรอบ “ไม่มีจริงๆ นะ”
เฉียวเวยอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ลูกชายไม่ติด นางดันติดเสียได้ น่าขายหน้านักเชียว…
เรื่องที่เฉียวเวยมีตุ่มขึ้นแพร่ไปถึงเรือนเล็กอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ชีเหนียงไม่ทันถอดผ้ากันเปื้อนก็วิ่งเข้ามาพร้อมสีหน้าลนลาน “เกิดอันใดขึ้น ฮูหยินเป็นอีสุกอีใสหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้าอย่างเศร้าสร้อย
ชีเหนียงเปลี่ยนสีหน้าไปทันที นางมองเด็กน้อยทั้งสองคน คนหนึ่งกำลังคัดตัวอักษร อีกคนหนึ่งกำลังนอนกรนคร่อกๆ แล้วถามขึ้นว่า “จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเล่า ติดหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเวยตอบอย่างน่าสงสาร “ตอนนี้ยัง” หลังจากนี้ก็ไม่แน่ ถึงอย่างไรเจ้าโรคนี้ก็มีระยะเวลาฟักตัว
ชีเหนียงถอนหายใจ ไม่ว่าอย่างไรหากไม่มีตุ่มขึ้นก็บ่งบอกว่าทั้งสองคนยังมีโอกาสไม่ติดโรค อาจเป็นเพราะฮูหยินจำไม่ได้ว่าเด็กทั้งสองคนเคยเป็นอีสุกอีใสหรือไม่ การจะเป็นมารดาที่ดีขนาดนี้ย่อมไม่ง่าย ชีเหนียงคิดว่าตอนนี้อย่าให้เด็กกับคนป่วยสัมผัสกันก่อนจะดีกว่า
“อย่าเพิ่งให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาที่นี่ ให้กลับห้องตนเองก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” ชีเหนียงขอความเห็นของเฉียวเวย
เฉียวเวยพยักหน้า “ฟูกนอนอะไรด้านนั้นล้วนสะอาดหมด เจ้าช่วยข้าปลุกวั่งซูหน่อยเถิด”
“ให้นางนอนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะอุ้มนางไปเอง” ชีเหนียงตอบ แล้วยื่นมือไปอุ้มวั่งซูที่อยู่บนเตียง
พอลองยกขึ้นกลับไม่ขยับ
ลองอุ้มขึ้นมาอีกหนก็ยังอุ้มไม่ขึ้น
นี่เป็นเด็กคนหนึ่งจริงหรือ เหตุใดจึงหนักกว่าอากุ้ยอีกเล่า!
สุดท้ายชีเหนียงก็อุ้มวั่งซูขึ้นมาจนได้ เมื่อวางวั่งซูลงบนเตียงสีทองอร่ามหลังนั้นในห้องของวั่งซูเสร็จ สองแขนของนางก็ชาดิก…
บ้านสกุลหลัวทราบข่าวอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ป้าหลัวกับชุ่ยอวิ๋นรีบขึ้นมาบนเขา เฉียวเวยสั่งให้ชีเหนียงรมน้ำส้มแล้ว ภายในห้องจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นเปรี้ยว ป้าหลัวคันจมูกยุบยิบ จามออกมาหนึ่งหน
“โอ้ย นี่มันกลิ่นอันใดกัน เหตุใดกลิ่นแรงเช่นนี้เล่า” ป้าหลัวบีบจมูกเดินเข้ามาในห้อง
สภาพตอนนี้ของเฉียวเวยยังพอไหว ไข้ต่ำ ตุ่มน้ำขึ้นน้อย ไม่ได้เป็นอะไรมากมายนัก นางมองป้าหลัวกับชุ่ยอวิ๋นที่ทำหน้ากังวลแล้วว่า “แม่บุญธรรม พี่สะใภ้ พวกท่านมาได้อย่างไรกัน ข้าเป็นอีสุกอีใสเสียแล้วล่ะ”
“ก็รู้ว่าเจ้าเป็นอีสุกอีใสน่ะสิถึงมา” ป้าหลัวมองค้อนนางทีหนึ่ง แล้วเดินเข้ามาจับหน้าผากของนาง แต่ถูกเฉียวเวยขยับหลบ โรคอีสุกอีใสเดิมทีก็รุนแรงในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก คนชรายิ่งอันตรายจนอย่าให้พูดถึง นางย่อมไม่อยากให้ป้าหลัวติดไปด้วย
ป้าหลัวชักมือกลับแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่เด็กสักหน่อย เจ้าไปทำอีท่าไหนถึงติดโรคนี้มาได้ โรคนี้อันตรายนัก ยังจำนายช่างเจิ้งได้หรือไม่ บิดาของเขาก็เสียเพราะโรคนี้ บิดากับลูกของเขาเป็นอีสุกอีใสพร้อมกัน เด็กรอดมาได้ แต่ผู้ใหญ่กลับไม่รอด…เฮ้อ!”
อัตราการตายของผู้ใหญ่ที่เป็นอีสุกอีใสสูงกว่าเด็กถึงสามสิบสี่สิบเท่า หลังจากเด็กติดโรค แม้จะมีอาการเช่นมีไข้ต่ำ มีตุ่มขึ้นเป็นต้น แต่ขอเพียงรักษาทันเวลา โดยทั่วไปหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก็หายดี แต่ผู้ใหญ่คนที่มีอาการรุนแรงอาจมีไข้สูงมากกว่าสี่สิบองศา ระยะเวลาที่ป่วยก็ยาวนานกว่า
แน่นอนว่านั่นคือในกรณีที่อยู่ในยุคปัจจุบัน ในยุคโบราณที่การแพทย์ล้าหลัง ต่อให้เป็นเด็กน้อยก็ยังอันตรายอย่างยิ่งอยู่เหมือนกัน
“เด็กบางคนก็ไม่รอดเหมือกนัน” ชุ่ยอวิ๋นรำพึง
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “พวกท่านกังวลว่าข้าจะไม่รอดหรือ ตอนนี้ข้าก็ยังดีอยู่ไม่ใช่หรือไร โรคนี้สิ่งสำคัญก็คือต้องดูภูมิต้านทาน ภูมิต้านทานข้าแข็งแรงมาก กินยาไม่กี่เทียบก็ไม่เป็นอะไรแล้ว!”
“เจ้า ภูมิอะไรของเจ้านะ” ป้าหลัวไม่เข้าใจ
เฉียวเวยอธิบาย “ภูมิต้านทาน ก็คือความสามารถในการต้านทานโรคภัยของข้า หมายความว่าร่างกายของข้าแข็งแกร่งมากอย่างยิ่งของอย่างยิ่ง”
เฉียวเวยเป็นคนที่เคยร่ำเรียนหนังสือมาก่อน ป้าหลัวรู้สึกว่าตนเองจะฟังคำที่นางพูดไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องปกติ หากฟังเข้าใจหมดสิถึงจะแปลก ดังนั้นนางจึงไม่เคยสงสัยว่าเหตุใดคำที่เอ่ยออกมาจากปากของเฉียวเวยจึงมักจะมีคำที่นางฟังไม่เข้าใจโผล่ขึ้นมาเสมอ
หากเฉียวเวยพูดคำนี้กับป้าหลัวเมื่อหนึ่งปีก่อน ป้าหลัวย่อมไม่เชื่อ แต่ครึ่งค่อนปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงของเฉียวเวยกับเด็กทั้งสองคนอยู่ในสายตาของนางมาตลอด กล่าวได้ว่าครอบครัวสามคนบำรุงสุขภาพได้แข็งแรงอย่างยิ่ง
ป้าหลัวจึงเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้พี่ชายเจ้าไปเชิญหมอในตัวเมืองมาสักคน”
หมอในตัวเมืองอย่าดีกว่า วิชาแพทย์กระจอกงอกง่อยนั่นยังสู้นางไม่ได้ด้วยซ้ำ เฉียวเวยกางกระดาษขาวแผ่นหนึ่งแล้วจับพู่กันขึ้นมา เขียนไปพลางก็บอกไปด้วย “ข้าจะเขียนเทียบยาเทียบหนึ่ง ท่านให้พี่ใหญ่ไปจัดยามาตามนี้ก็พอแล้ว ข้ากินวันสองวันก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ป้าหลัวไม่รู้ตัวหนังสือ แต่รู้สึกว่าตัวอักษรที่เสี่ยวเว่ยเขียนกับที่ซิ่วไฉเฒ่าเขียนไม่ค่อยเหมือนกันนัก ตัวอักษรของซิ่วไฉเฒ่าดูแล้วสบายตาอย่างยิ่ง แต่ตัวอักษรของเสี่ยวเวย…มองแล้วหนังตาของนางกลับกระตุก “เจ้าแน่ใจหรือว่าเทียบยานี่จะได้ผล”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างมั่นใจ “นี่เป็นเทียบยาที่บันทึกอยู่ในตำราแพทย์ ท่านให้พี่ใหญ่ไปหายามาก็พอ ข้าดื่มสักหน่อย นอนสักตื่น วันพรุ่งนี้เช้าไข้ก็ลดแล้ว”
ป้าหลัวถือเทียบยาจากไป
ตอนเที่ยงวันหลิวหย่งจื้อก็ซื้อยากลับมาให้ ชีเหนียงต้มหนึ่งถ้วย หลังจากเฉียวเวยดื่มเข้าไป คืนนั้นก็ไข้ขึ้นสูง
คนที่พบคนแรกว่านางผิดปกติคือเสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋มีร่างกายที่ร้อยพิษมิอาจกล้ำกราย มันย่อมไม่หวาดกลัวอีสุกอีใส มันยังคงนอนตัวนุ่มนิ่มแปะอยู่บนหน้าอกของนางอย่างถือโอกาส ผลปรากฏว่านอนไปได้ครึ่งคืนก็ร้อนจนขนมันเกือบไหม้!
มันรีบร้องปลุกชีเหนียง ชีเหนียงสวมเสื้อผ้าลงไปบ้านสกุลหลัว
หลัวหย่งจื้อไปหาหมอพื้นบ้านจากหมู่บ้านข้างๆ มาเป็นคนแรก หมอพื้นบ้านคนนั้นผูกผ้าเช็ดหน้าปิดปากเข้ามาจับหน้าผากของเฉียวเวยได้นิดเดียวก็ตกใจกลัว ชักมือกลับจากไปทันที
หลัวหย่งจื้อรีบขับเกวียนวัวเข้าไปในตัวเมือง เชิญหมอจากร้านยามา
หมอผู้นี้กลับไม่ได้ตกใจกลัวอาการของเฉียวเวย เขาเขียนเทียบยาให้อย่างสุขุมยิ่ง หลัวหย่งจื้อรีบไปซื้อยาในตัวเมือง สิ่งที่ทำให้คนสิ้นหวังก็คือต่อให้เฉียวเวยเปลี่ยนเทียบยาแล้ว อาการของนางก็ไม่ดีขึ้นสักนิด
อุณหภูมิร่างกายของนางยังคงไต่สูงขึ้น
วางผ้าเย็นลงบนหน้าผาก พริบตาเดียวก็อุ่นร้อน
ป้าหลัวร้อนรนจนหัวหมุน
ชีเหนียงก็อับจนหนทาง
ปี้เอ๋อร์สวมเสื้อผ้าเดินออกมาจากห้องของวั่งซูก็เห็นทั้งสามคนกำลังอับจนหนทางอยู่ “ฮูหยินยังไม่ดีขึ้นอีกหรือ”
หลัวหย่งจื้อขมวดคิ้ว “ในตัวเมืองยังมีหมอโจวอีกคน ข้าจะไปหาเขา!”
เวลานี้ร้อนรนย่อมหาหมอส่งเดชแล้ว
หากเฉียวเวยได้สติอยู่ คงไม่มีทางเรียกหมอโจวคนนี้มาแน่นอน เพราะครั้งที่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไม่สบาย หมอโจวคนนี้เคยวินิจฉัยไข้หวัดหน้าร้อนพลาดเป็นไข้หวัดธรรมดา ให้เทียบยาไม่ตรงกันโรค จนเด็กทั้งสองไข้ขึ้นตอนกลางคืนจนหมดสติ
โชคดีที่พอหมอโจวผู้นั้นได้ยินว่าเป้นโรคติดต่อร้ายแรงก็กลัวยิ่งนัก ไม่วิ่งมาทำร้ายเฉียวเวย
หลัวหย่งจื้อกลับมาจากตัวเมืองอีกหน ฟ้าก็สว่างแล้ว
วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไม่ได้นอนกับมารดาเป็นคืนแรกจึงไม่ชินอย่างยิ่ง ทั้งสองคนนอนบนเตียง ดวงตาจับจ้องกันและกัน เที่ยงคืนจึงนอนหลับ เมื่อฟ้าสว่างก็ตื่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัด แม้แต่วั่งซูผู้รักการนอนขี้เกียจบนเตียงก็ยังตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ท่านแม่” เจ้าซาลาเปาน้อยสองคนจูงมือกันเดินไปที่ห้องของเฉียวเวย แต่ถูกชีเหนียงขวางไว้ด้านนอก “พวกเจ้าเข้าไปไม่ได้ ฮูหยินป่วย โรคจะแพร่มาหาพวกเจ้าได้”
“พวกเราไม่กลัวเสียหน่อย” วั่งซูมองพี่ชาย “ใช่หรือไม่ท่านพี่ พวกเราไม่กลัวป่วย”
จิ่งอวิ๋นเอ่ยอย่างหนักแน่น “อืม ไม่กลัว”
หัวใจของชีเหนียงถูกเด็กน้อยสองคนทำให้อุ่นวาบ นางลูบหัวไหล่น้อยของทั้งสองคนเบาๆ แล้วกล่อมด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกล้าหาญยิ่งนัก ไม่กลัวล้มป่วย ไม่กลัวการกินยา แต่มารดาของพวกเจ้ากลัว พวกเจ้าลองคิดดู ตอนพวกเจ้าล้มป่วย นางเสียใจมากใช่หรือไม่ นางคนเดียวดูแลพวกเจ้าสองคนลำบากมากใช่หรือไม่”
วั่งซูจดจำไม่ได้ แต่จิ่งอวิ๋นจดจำวันนั้นเมื่อหนึ่งปีก่อนได้ ท่านแม่อุ้มน้องสาวไว้ข้างหน้า แบกเขาไว้ด้านหลัง ดั้นด้นเดินทางสิบลี้ด้วยตัวคนเดียว จากหมู่บ้านเข้าไปหาหมอในตัวเมือง เวลานั้นร่างกายของท่านแม่ยังไม่แข็งแรง หลายครั้งที่ตื่นขึ้นมาเขาได้ยินเสียงหอบหายใจหนักหน่วงของมารดา รู้สึกว่ามารดาใกล้จะไม่ไหวแล้ว
ต่อมายังเดินทางไปเมืองหลวง ตระเวนตามหาหมอไปทั่ว
เขาปวดใจเมื่อเห็นมารดาเป็นเช่นนั้น
เขาไม่อยากล้มป่วยอีกแล้ว ไม่อยากให้มารดาเหน็ดเหนื่อยเช่นนั้นแล้ว
“น้องสาว พวกเรารอให้ท่านแม่ดีขึ้นค่อยมาหานางเถิด” จิ่งอวิ๋นหักห้ามความรู้สึกอยากจะถลาเข้าไปในอ้อมแขนของมารดาแล้วจูงวั่งซูกลับห้อง
ชีเหนียงโล่งอก
ปี้เอ๋อร์ไปอาบน้ำให้พวกเด็กๆ แล้วถือโอกาสทำอาหารเช้าให้คนทั้งบ้านด้วย
“แล้วทีนี้จะทำเช่นไรดีเล่า” ป้าหลัวนั่งอยู่ในห้องอย่างอับจนหนทาง
“ถ้าไม่อย่างนั้น เรียกหมอพื้นบ้านคนนั้นมาเถิด” หลัวหย่งจื้อเสนอ
“เขาไม่ได้บอกว่ารักษาไม่ได้หรือ” ป้าหลัวแย้ง
หลัวหย่งจื้อคิดครู่หนึ่งก็ว่า “อย่างน้อยก็ทำอะไรได้สักหน่อย ดีกว่าพวกเราเบิ่งตามองเฉยๆ”
ดังนั้นหมอพื้นบ้านที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มหลงอยู่ในดินแดนแห่งฝันจึงถูกหลัวหย่งจื้อลากตัวมา หมอพื้นบ้านไม่อยากมาจริงๆ แต่หลัวหย่งจื้อเอ่ยปากว่าจะให้เงินห้าตำลึง คุณพระ ชั่วชีวิตนี้เขายังไม่เคยเห็นเงินมากเช่นนี้เลย! เขาจึงพาวิชาแพทย์ที่รักษาโรคอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นนั่นขึ้นเขามาอย่างหน้าไม่อายยิ่งนัก
หมอพื้นบ้านดูเทียบยาของเฉียวเวยกับของหมอร้านยาแล้วว่า “เทียบยาของฮูหยินเหมาะสมกว่าเล็กน้อย เปลี่ยนมากินยาเทียบนั้นที่ฮูหยินเขียนเถิด”
ป้าหลัวมุ่นคิ้ว “ยานี่ไม่มีประโยชน์ นางดื่มไปตกกลางคืนก็ลุกไม่ขึ้น”
หมอพื้นบ้านเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ถ้าเช่นนั้นข้าถามเจ้า นางดื่มยาของตนเองแล้วตัวร้อนมากกว่า หรือดื่มยาของหมอจากร้านยาแล้วตัวร้อนมากกว่า”
ป้าหลัวนึกทบทวนอย่างละเอียดครู่หนึ่ง “ของหมอจากร้านยา”
หมอพื้นบ้านฟาดหลังมือลงกลางฝ่ามือ “นั่นอย่างไรเล่า! เทียบยาของหมอจากร้านยาไม่ถูกกับโรคมากกว่าเห็นหรือไม่!”
ป้าหลัวรู้สึกเลือนรางว่าคำพูดนี้มีตรงไหนไม่ถูกต้องสักแห่ง แต่นางร้อนรนจนสมองเลอะเลือนไปหมดแล้ว ชั่วขณะนั้นจึงไม่ทันฉุกคิดว่าไม่ถูกต้องตรงที่ใด ป้าหลัวเปลี่ยนกลับมาใช้เทียบยาที่เฉียวเวยเขียนเองอีกครั้ง
ตอนที่จะป้อนยา หมอพื้นบ้านก็เรียกไว้อีก “พวกเจ้าอย่าป้อนสิ หาคนที่เคยเป็นอีสุกอีใสมา!”
บนเขาไม่มีผู้ใดเคยเป็นอีสุกอีใส นอกจากจงเกอร์ แต่จงเกอร์เพิ่งอายุหกขวบ
“ข้า ข้า ข้า! ข้าเคยมีตุ่มขึ้น!” เสี่ยวเว่ยชูมือวิ่งเข้ามา
เสี่ยวเว่ยเป็นบุรุษ ป้าหลัวไม่ค่อยพอใจนัก
หมอพื้นบ้านเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “คนป่วยจะตายแล้ว เจ้ายังจะสนใจเรื่องนี้อีกหรือ”
คนเป็นหมอกับผู้ชันสูตรศพมักจะไม่เคร่งครัดเรื่องข้อห้ามระหว่างชายหญิงเท่าผู้อื่น หมอพื้นบ้านบ่นป้าหลัวอีกสองสามคำ ป้าหลัวถึงส่งถ้วยยาให้เสี่ยวเว่ย
เสี่ยวเว่ยเพิ่งจะเคยดูแลผู้อื่นเป็นหนแรก มือไม้งุ่มง่ามยิ่งนัก เขาถือถ้วยยาไปยืนหน้าเตียงแล้วสับสนทำอันใดไม่ถูก
พรสวรรค์ในการสั่งการอันยอดเยี่ยมของชีเหนียงจึงได้ปรากฏโฉมออกมาในตอนนี้ “วางถ้วยไว้ที่ม้านั่งก่อน ประคองฮูหยินขึ้นมา เอาหมอนสองใบรองหลังของฮูหยินไว้ ให้ฮูหยินพิงดีๆ จากนั้นพันผ้ารอบคอของฮูหยินไม่ให้ยาหกเลอะ”
เสี่ยวเว่ยทำตามทีละขั้นตอน นอกจากทำให้ท้ายทอยของเฉียวเวยกระแทกหัวเตียงสองหน หน้าผากชนอีกสามหน ข้อศอกถูกหนีบอีกห้าที นิ้วโดนทับจนบวมแดง ทุกสิ่งที่เหลือก็ล้วนเป็นไปด้วยดีทีเดียว!
เฉียวเวยไม่ได้หมดสติอย่างสิ้นเชิง นางเพียงตัวร้อนมากเกินไปจนสติไม่ค่อยแจ่มชัด ความรู้สึกเจ็บปวดก็รับรู้ได้เลือนราง จึงไม่รู้ว่าตนเองกระแทกจนหัวปูดโนลูกเบ้อเริ่มแล้ว
เสี่ยวเว่ยกระแอม
สีหน้าของชีเหนียงก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ฮูหยินดื่มยาขอรับ” เสี่ยวเว่ยตักช้อนหนึ่งป้อนเข้าปากของนาง
ขมมาก
เฉียวเวยบ้วนออกมา
เสี่ยวเว่ยป้อนอีกช้อน เฉียวเวยก็บ้วนออกมาอีก
เสี่ยวเว่ยจึงบอกว่า “ฮูหยิน ท่านต้องดื่มยานะ ไม่ดื่มจะไม่หาย”
เฉียวเวยบ้วนออกมาอีกหน
ป้าหลัวร้อนใจบอกว่า “ยาดีย่อมขม หากป่วยเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะไม่เหลือชีวิตเอานะ”
ก็ยังบ้วนออกมาอีก
เสี่ยวเว่ยมองทุกคนอย่างอับจนหนทาง
ชีเหนียงดวงตาทอประกายวูบหนึ่งก็กระซิบเสียงเบาว่า “อากุ้ย ทองของฮูหยินฝังอยู่ท้ายคฤหาสน์ใช่หรือไม่ เจ้าไปขุดมานิดหนึ่ง อย่างไรเสียฮูหยินก็ไม่รู้”
เฉียวเวยงับช้อนเข้าปาก ดื่มลงไปแล้ว
อากุ้ยที่กำลังทำงานอยู่ในโรงงาน ‘จู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบ…’
เสี่ยวเว่ยป้อนยาเฉียวเวยจนหมด แล้วเอ่ยกับหมอพื้นบ้านว่า “ผู้หญิงร่างกายบอบบางเสียจริง ตุ่มขึ้นก็จะเป็นจะตายแล้ว ตอนนั้นข้ายังไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
มือที่เทยาของหมอพื้นบ้านชะงัก “ตุ่มขึ้นก็ไม่เป็นอะไรเลยหรือ เป็นตอนยังเล็กมากหรือ” อาการของเด็กเบากว่าผู้ใหญ่ เรื่องนี้เขารู้อยู่
เสี่ยวเว่ยส่ายหน้า “ไม่ใช่นะ เพิ่งเมื่อสองปีที่แล้ว เป็นนานนักเชียว”
“นานเท่าไร” หมอพื้นบ้านฟังแล้วเริ่มรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
เสี่ยวเว่ยเบ้ปาก “ครึ่งค่อนปีได้กระมัง ขึ้นเต็มหน้าไปหมด อัปลักษณ์แทบแย่”
ในที่สุดหมอพื้นบ้านก็รู้ว่าตรงไหนไม่ถูกต้องแล้ว ฝ่ามือฟาดใส่กะโหลกของเขาทันควัน ไอ้เด็กโง่ ที่เจ้าเป็นนั่นมันสิว!
เมื่อคนสามสิบคนมาทำงานในโรงงาน พวกเขาก็รู้เรื่องที่เฉียวเวยเป็นอีสุกอีใส ไม่ถึงครึ่งวัน ทั้งหมู่บ้านจึงรู้เรื่องเฉียวเวยเป็นอีสุกอีใสด้วย
หัวหน้าหมู่บ้านกับซิ่วไฉเฒ่าขึ้นมาหาบนภูเขา
หลังจากนั่งลงในห้องโถง หัวหน้าหมู่บ้านก็ถามอย่างงุนงง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น นี่ นี่ไม่ใช่โรคของเด็กๆ หรอกหรือ นางเป็นผู้ใหญ่แล้ว ติดได้อย่างไรกัน”
ซิ่วไฉเฒ่าก็คิดไม่ถึงว่าคนที่เป็นอีสุกอีใสจะกลายเป็นเฉียวเวย เขาคิดว่าเป็นจิ่งอวิ๋นเสียอีก ถึงอย่างไรคนที่เป็นอีสุกอีใสคนแรกสุดก็คือเอ้อร์โก่วจื่อ จิ่งอวิ๋นกับเอ้อร์โก่วจื่อเล่นด้วยกันบ่อยที่สุด แต่ตอนนี้จิ่งอวิ๋นกลับรอด แต่เฉียวเวยดันติดแทน
“ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง” หัวหน้าหมู่บ้านถาม
ป้าหลัวถอนหายใจตอบว่า “นางเขียนเทียบยาให้ตัวเองชุดหนึ่ง แต่กินลงไปแล้วไม่มีผลอะไร หมอจากร้านยาในตัวเมืองให้เทียบยาใหม่มาอีกชุด ยิ่งไม่ได้ผลมากกว่า ตาเฒ่ากัวบอกว่าให้กลับไปกินเทียบยาของนางเอง เพิ่งดื่มเสร็จ หลับไปแล้ว”
ชีเหนียงรินชาให้หัวหน้าหมู่บ้านกับซิ่วไฉเฒ่า
ทั้งสองคนล้วนไม่ยกขึ้นมาดื่ม