หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 138-2 พี่ซิวแสร้งเย็นชา
ตอนที่ 138-2 พี่ซิวแสร้งเย็นชา
จีอู๋ซวงเป็นคนในยุทธภพ ไม่สนใจขนบธรรมเนียมจุกจิกและไม่ให้ความสำคัญกับการห้ามบุรุษสตรีแตะเนื้อต้องตัวกัน เขาทราบว่าอีกฝ่ายเป็นคุณหนูของจวนเอินปั๋ว การที่อีกฝ่ายตัดสินใจฉับไวใจกล้าเช่นนี้ทำให้เขาต้องมองใหม่เล็กน้อย
แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในใจเขายังคงไม่รู้สึกดีกับเฉียวเวยและลูกของนางนัก ประการแรกเขาไม่ได้ถูกซื้อใจง่ายดายอย่างเยี่ยนเฟยเจวี๋ย ประการที่สองคืออดีตของเฉียวเวยกับยิ่นอ๋องยังคงเป็นหนามตำใจเขามาตลอด
เขาปวดใจแทนนายน้อย สตรีใจโลเลเช่นนี้ไม่คู่ควรนั่งตำแหน่งฮูหยินของนายน้อยสักนิด
เพียงแต่ว่าในใจเขาคิดเช่นนี้ แต่บนหน้ากลับไม่แสดงออกมาแต่อย่างใด
“อาจจะเจ็บสักหน่อย” เขาแตะสามนิ้วบนชีพจรของนาง
เฉียวเวยตอบอย่างฉับไว “ข้าไม่กลัวเจ็บ”
จีอู๋ซวงมองนางนิ่งๆ คล้ายกำลังตัดสินว่าคำพูดนางจริงหรือลวง อย่างไรเสียเขาก็ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ว่านางกำลังจงใจแสร้งทำตัวดีเพื่อซื้อใจผู้อื่น จีอู๋ซวงส่งกำลังภายในสายหนึ่งเข้าไปในเส้นลมปราณของเฉียวเวยอย่างไม่เกรงใจสักนิด
เฉียวเวยรู้สึกเหมือนเข็มเรียวเล็กเล่มหนึ่งทะลวงเข้ามาในแขนของตนเอง มันเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางเลือดเนื้อของตนอย่างเหิมเกริมแล้วแล่นขึ้นมาตามท่อนแขน ความเจ็บปวดอันคมกริบทำให้นางเหงื่อเย็นผุดพราย
นางกัดฟันแน่น ไม่ร้องออกมาสักแอะ
“พอแล้วน่า!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยปัดมือของจีอู๋ซวงออก เขาถลึงตาใส่จีอู๋ซวงแล้วว่า “นางไม่เป็นวรยุทธ์สักหน่อย!”
คนที่ฝึกฝนวรยุทธ์ส่วนใหญ่ล้วนเปิดเส้นลมปราณทั้งแปดแล้ว กำลังภายในเคลื่อนไหวในร่างได้ไม่เป็นปัญหา แต่หากเป็นคนธรรมดาจะเจ็บปวดจนยากทานทน
จีอู๋ซวงกล่าวว่า “ในร่างเจ้าไม่มีกำลังภายในแต่อย่างใด”
เฉียวเวยดึงแขนเสื้อลง “ข้าย่อมไม่มี ข้าไม่เคยร่ำเรียนวรยุทธ์ทางนี้ของพวกท่านเสียหน่อย”
จีอู๋ซวงเงียบไป นางร่วมราตรีกับนายน้อยแล้วก็น่าจะแบ่งกำลังภายในสายนั้นในร่างนายน้อยไปไม่มากก็น้อย แต่เขากลับหาร่องรอยของมันในร่างกายนางไม่พบแม้แต่น้อย ช่างแปลกจริงเชียว
“โรคของหมิงซิวจะทำอย่างไร” เฉียวเวยย้อนกลับมายังประเด็นหลัก
ลูกตาของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนแต่แฝงแววเจ้าเล่ห์ “ความจริง…ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้หนทางอย่างสิ้นเชิง เช้าวันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่ามีของสิ่งหนึ่ง…น่าจะแทนน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ได้”
“ของอะไร” เฉียวเวยกับจีอู๋ซวงถามเป็นเสียงเดียว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองเสี่ยวไป๋ที่กำลังแทะถังหูลู่อย่างสุขสำราญอยู่ด้านข้าง
เสี่ยวไป๋ยกอุ้งเท้าปิดเสี่ยวไป๋น้อยของตนอย่างระแวง
พวกเจ้าคนโรคจิตกลุ่มนี้ คิดจะทำอะไรอีก!
…
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ยาร้อนควันฉุยถ้วยหนึ่งก็ออกมาจากเตา
ทั้งสามคนมองยาที่วางอยู่บนโต๊ะหินแล้วกระแอมพร้อมกันโดยไม่ได้นัด
“แม่หนู ยาเสร็จแล้ว รีบยกเข้าไปให้นายน้อยสิ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอกด้วยท่าทางเต็มไปด้วยเหตุผล
เฉียวเวยถลึงตา “เหตุใดต้องเป็นข้า ความคิดนี้ไม่ใช่ความคิดของข้าเสียหน่อย ความดีความชอบนี้ข้าไม่สมควรรับ ลุงเยี่ยน ท่านไปเถิด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตัวสั่น “ไก่เฒ่า เจ้าไปสิ! เจ้าเป็นคนรักษาโรคของนายน้อย เจ้ายกเข้าไป นายน้อยถึงจะดื่ม ข้ายกเข้าไปนายน้อยจะแลก็ยังไม่แล เขาไม่เคยยอมสนใจข้า”
จีอู๋ซวงมองคนสองคนที่พยายามปัดภาระสุดชีวิต หนังตากระตุกอยู่พักหนึ่ง “ข้าเป็นคนปรุงยาแล้ว สิ่งที่ข้าควรทำก็ทำเสร็จแล้ว งานที่เหลือเป็นของพวกเจ้า”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นกระสายยาข้าก็เป็นคนหามาให้ ไม่มีเสี่ยวไป๋ของบ้านข้า ท่านจะต้มยาถ้วยนี้ออกมาได้หรือ”
“ถูกแล้ว!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไกล่เกลี่ย
จีอู๋ซวงชะงักครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะเอาเช่นไร”
หัวหน้าพรรคผู้เคยชนะในบ่อนอย่างไร้คู่ต่อกรเลิกคิ้ว “เป่ายิ้งฉุบ ผู้ใดแพ้ คนนั้นไป”
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นหัวหน้าพรรคเฉียวก็พ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี…
เฉียวเวยยกยาเดินเข้าประตูของเรือนตะวันออกแล้วผลักประตูที่ปิดอยู่ให้เปิดออกอย่างแผ่วเบบา ภายในห้องมีกลิ่นหอมของยาอยู่เจือจาง ท่ามกลางกลิ่นยา คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีกลิ่นอายของบุรุษอันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขาสอดแทรกอยู่ด้วยเล็กน้อย
“ข้าเข้าไปแล้วนะ” เฉียวเวยก้าวข้ามธรณีประตู จากนั้นหุบประตูปิดด้วยกลัวว่าเขาจะต้องลมหนาว
จีหมิงซิวเอาผ้าห่มห่อตัวนั่งอยู่บนเตียง สีหน้าเยือกเย็นยิ่งนัก เป็นผู้ใหญ่ยิ่งนัก สุขุมยิ่งนัก!
แต่แก้มกับแดงก่ำ ขอบตาแดงระเรื่อ ดวงตาฉ่ำวาว ประกายน้ำคลออยู่นิดๆ เหมือนเพิ่งประสบเรื่องที่มิอาจพูดบอกได้ แต่เป็นฝ่ายที่ถูกรังแก
มุมปากของเฉียวเวยยกโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่ฝืนกดลงไปได้อย่างรวดเร็วยิ่ง นางเดินไปหาเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หมิงซิว ข้ามาเยี่ยมท่านแล้ว”
“เหอะ!” จีหมิงซิวหันหน้าหนีอย่างเสแสร้งเย็นชาอย่างยิ่ง!
เฉียวเวยไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน ในความทรงจำของนาง เขามักจะดูสูงส่ง ความคิดลึกซึ้งยากคาดเดา แต่ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นอย่างสิ้นเชิง นี่มันลูกเจี๊ยบน้อยกำลังพองขนชัดๆ!
หัวหน้าพรรคเฉียวถูกความน่ารักเล่นงานอย่างไม่ทันตั้งตัว นางนิ่งตะลึงไปสามวินาทีเต็มๆ ก่อนจะหัวเราะดังพรืดออกมา
พอนางหัวเราะ สีหน้าของจีหมิงซิวยิ่งย่ำแย่!
“หมิงซิว” นางเรียกเขา
จีหมิงซิวทำหน้าบูด ทำท่าไม่อยากสนใจนางสักนิด!
เฉียวเวยจับหน้าผากเขา ร้อนจริงๆ ด้วย!
ตัวร้อนกว่าจิ่งอวิ๋นและวั่งซูเมื่อครั้งนั้นอีก สมองคงไม่ร้อนจนพังไปแล้วกระมัง
“มา รีบดื่มยาเร็ว” นางส่งถ้วยยาให้
“ไม่ดื่ม!” ปฏิเสธอย่างไม่แม้แต่จะหยุดคิด!
เฉียวเวยกล่อมเสียงอ่อนโยน “เป็นเด็กดี ดื่มยาแล้ว พี่สาวจะพาเจ้าออกไปเล่น”
จีหมิงซิวตวัดสายตาคมกริบดั่งใบมีดมา เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะบีบคอเจ้าให้ตาย!
เฉียวเวยหยิกใบหน้าของเขา
หากน่ารักเช่นนี้ทุกวันก็ดีสิ!
จีหมิงซิวสีหน้าเย็นยะเยือก “แม่นาง บีบพอแล้วหรือยัง”
ท่าทางเหมือนประธานเผด็จการยิ่งนัก!
หัวใจสาวน้อยของเฉียวเวยเต้นตึกตักๆ เกือบจะลืมว่าตนเองเข้ามาทำอันใด
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทนดูไม่ได้แล้ว ดื่มยาให้เสร็จแล้วค่อยหยอกกันได้หรือไม่ ผู้อื่นตัวร้อนจนจะสุกแล้วเห็นหรือไม่
ในที่สุดเฉียวเวยก็นึกเรื่องสำคัญออก นางตักยาขึ้นมาช้อนหนึ่งป้อนมาถึงริมฝีปากของเขา “รีบดื่มยาเร็วเข้า หากไม่ดื่มอีกจะเย็นแล้ว”
จีหมิงซิวล้มป่วยจนเป็นเช่นนี้ จมูกดมกลิ่นอะไรไม่ได้แล้ว แต่เขารู้สึกว่าสตรีนางนี้ท่าทางผิดปกติอยู่เล็กน้อย “คงไม่ใช่ว่าเอายาปลอมมาหลอกข้ากระมัง”
“ไม่ใช่แน่นอน!” เฉียวเวยเบิกตาโต
ทุกครั้งที่โกหกเรื่องใหญ่ นางมักจะทำหน้าเช่นนี้
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าดื่มก่อน!”
“ข้าไม่ได้ป่วยเสียหน่อย!”
“เจ้ายังมีตุ่มขึ้นอยู่เลย!”
“ข้าหายดีแล้ว! เดี๋ยวก่อน ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าตุ่มขึ้นอยู่” เฉียวเวยหรี่ตามองเขา
จีหมิงซิวสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ขึ้นอยู่เต็มหน้าเจ้าไปหมด”
ไม่น่าถอดหมวกออกเลย!
เฉียวเวยสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “ดื่มยา”
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ดื่ม ไม่ชอบมาพากล”
ไม่อาจไม่บอกว่าสัญชาตญาณของจีหมิงซิวบางครั้งก็แม่นจนน่ากลัว
ทั้งที่ป่วยจนสมองสับสนมึนงงแล้ว แต่ยังประมือได้เสมอกับนักต้มตุ๋นแซ่เฉียวอีก
เฉียวเวยกะพริบตา แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ข้าน่ะ เพิ่งไข้ลด ตุ่มบนตัวยังไม่ทันหายดีก็ไม่เกรงกลัวความลำบากมาเยี่ยมท่าน ท่านไม่รับน้ำใจก็แล้วไป ยังจะเห็นเจตนาดีของผู้อื่นเป็นเจตนาร้าย ท่านอยากดื่มก็ดื่ม! ไม่อยากดื่มก็เททิ้งไปเสีย! ร่างกายมิใช่ของข้าเสียหน่อย! อย่างมากหากท่านลาโลก ข้าก็พาลูกข้าไปแต่งงานใหม่กับผู้อื่น!”
“เจ้ากล้าหรือ” จีหมิงซิวสีหน้าถมึงทึงอย่างยิ่ง
เฉียวเวยแค่นเสียงเหอะ “ท่านก็คอยดูว่าข้าจะกล้าหรือไม่กล้า”
หากจีหมิงซิวถูกยั่วโมโหจนกลายเป็นคนโง่ได้ง่ายดายปานนั้น ถ้าเช่นนั้นเขาก็คงไม่ใช่จีหมิงซิว “เจ้าดื่มก่อน ข้าค่อยดื่ม”
เฉียวเวยแอบด่าว่าหน้าเนื้อใจเสืออยู่ในใจ แล้วกล่าวว่า “ท่านสงสัยว่าข้าวางยาหรือไร ท่านเป็นเช่นนี้แล้ว ยังมีค่าให้ข้าต้องวางยาอันใดอีก ข้าจะทำอะไรท่านมิใช่ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือหรือ”
จีหมิงซิวไม่หวั่นไหว ศัตรูไม่ดื่ม ข้าก็ไม่ดื่ม
เฉียวเวยโกรธจนกระทืบเท้าจริงๆ แล้ว แววตาวูบไหว ตะโกนไปด้านนอก “ลุงเยี่ยน ลุงจี นายน้อยเรียกพวกท่าน!”
เมื่อได้ยินว่านายน้อยเรียก ทั้งสองคนก็ไม่กล้าชักช้า ก้าวพรวดดั่งดาวตกเดินเข้ามา “นายน้อย!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามขึ้นว่า “นายน้อยเรียกพวกเรา มีเรื่องใดขอรับ”
จีหมิงซิวไม่พูดจา
เฉียวเวยชี้ถ้วยยาที่อยู่บนโต๊ะ แล้วบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “นายน้อยสงสัยว่ายาถ้วยนี้ถูกคนวางยาพิษจึงไม่ยอมดื่ม”
จีอู๋ซวงมุ่นคิ้ว “ข้าต้มยาเองกับมือ จะมีคนวางยาพิษได้เช่นไรเล่า”
เฉียวเวยเม้มปากยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เชิญลุงจีดื่มเองสักคำ เพื่อพิสูจน์ว่ายาถ้วยนี้ไม่ถูกเล่นตุกติกจริงๆ!”
นางเด็กน้อยคนนี้คิดจะตลบหลังเขา!
จีอู๋ซวงมุมปากกระตุก ปากยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้มตอบว่า “ตอนข้าเทยาลงในถ้วย ทุกสิ่งล้วนปกติดีจริงๆ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ข้ายินดีเอาตัวเองลองยา ทว่ายาถ้วนนี้ข้าไม่ได้เป็นคนยกเข้ามา จะมีคนใส่ของไม่สะอาดอันใดลงในถ้วยระหว่างยกยามาหรือไม่”
เฉียวเวยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “ข้าไม่ได้ใส่อะไรลงไป! “
จีอู๋ซวงยิ้มเย็นชา “พูดแต่ปากไร้หลักฐาน หากเจ้าไม่ดื่มเองคำหนึ่งก็คงยากจะทำให้ทุกคนเชื่อ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองคนสองคนที่หาเรื่องกันจนกำลังจะเผชิญเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่ แล้วหัวเราะจนตัวสั่น
“แล้วก็เจ้า!” เฉียวเวยกับจีอู๋ซวงหันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยพร้อมกันโดยไม่ได้นัด แววตาเย็นยะเยือก “เจ้ายกยาออกมาจากห้องครัว! เจ้าก็มีโอกาสเล่นตุกติกเช่นกัน! เจ้าก็ต้องดื่มด้วย!”
ผลสุดท้ายย่อมกลายเป็นว่าแมลงเคราะห์ร้ายสามตัวล้วนต้องดื่มกันทุกคน เด็กน้อยเสี่ยวจีจึงยอมยกถ้วยยาขึ้นดื่มอย่างเนิบนาบ จิบทีละคำเล็กๆ ดื่มลงไปด้วยท่าทางสง่างามยิ่งนัก
ดื่มฉี่ของเสี่ยวไป๋ด้วยท่าทางเหมือนจิบไวน์แดงได้ เฉียวเวยรู้สึกว่าหมิงซิวร้ายกาจเหมือนกัน
คืนวันนั้น ไม่ผิดจากที่คาดทั้งสี่คนล้วนถ่ายท้องจนสภาพเหมือนสุนัข…
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองเกาะขอบหน้าต่างของเรือนทิศเหนือ มือเท้าแก้ม มองดูคนทั้งหลายวิ่งเข้าออกห้องส้วมด้วยใบหน้าไร้เดียงสา
วั่งซูกะพริบตาปริบๆ ถามว่า “เหตุใดพวกผู้ใหญ่จึงท้องเสียด้วยเล่า”
จิ่งอวิ๋นตอบด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง “คงจะแอบขโมยกินของกินแน่ เจ้าดูสิพวกเราไม่ขโมยกิน พวกเราเป็นเด็กดีดังนั้นพวกเราจึงไม่ท้องเสีย”
วั่งซูถอนหายใจ “เฮ้อ พวกผู้ใหญ่ช่างไม่รู้ความจริงๆ”
…
หลังผ่านพ้นเที่ยงคืน ในที่สุดอาการของทุกคนก็ทุเลาลงแล้ว เจ้าซาลาเปาน้อยได้ลี่ว์จูกล่อมให้หลับ เฉียวเวยไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขาจึงได้แต่มองอยู่ไกลๆ จากประตู หลังจากนั้นจึงเข้าไปในเรือนตะวันออก
ลี่ว์จูตักน้ำร้อนเดินเข้ามาในห้อง “ฮูหยิน ต้องการกินอะไรสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ ข้าวต้มยัง…”
เฉียวเวยโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้ข้าอยากนอนหลับสนิทสักตื่นเท่านั้น เจ้าช่วยข้าเตรียมห้องสักห้อง”
ลี่ว์จูเอ่ยอย่างลำบากใจ “ไม่มีห้องแล้วเจ้าค่ะ คนนอนเต็มแล้ว”
“เต็มแล้วได้เช่นไร” เฉียวเวยถาม
ลี่ว์จูตอบว่า “ท่านจีกับเด็กเก็บสมุนไพรของเขาพักกันคนละห้อง จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูพักห้องหนึ่งก็ไม่มีห้องเหลือแล้ว ไม่เช่นนั้นฮูหยินไปนอนกับข้าดีหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเวยจึงถามว่า “เจ้าเคยเป็นอีสุกอีใสหรือไม่”
“ไม่เคยเจ้าค่ะ” ลีว์จูส่ายหน้า
เฉียวเวยผิดหวัง “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไปไม่ได้ จะแพร่ไปติดเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้น…ท่านก็นอนเรือนตะวันออกดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะตั้งเตียงเล็กให้ท่าน” ลี่ว์จูถามอย่างระมัดระวัง
ก็คงได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว
จีหมิงซิวทรมานอยู่ครึ่งค่อนคืน ไข้สูงก็ลดลงมาเล็กน้อย แต่เพราะกินยามาตั้งแต่เล็กจนโต ความทนทานต่อยาจึงมากกว่าคนธรรมดา ต้องรออีกหนึ่งถึงสองวันจึงจะหายไข้สนิท
เฉียวเวยจับหน้าผากของเขา “หมิงซิว หมิงซิว”
ไม่มีปฏิกิริยา
เฉียวเวยเอนกายนอนบนเตียงหลังเล็ก แม้จะเป็นเตียงหลังเล็กแต่ปูฟูกชั้นเลิศจึงยังคงนุ่มนิ่มและสบาย
เฉียวเวบหลับตาลง
เพียงครู่เดียวก็ลืมตาขึ้นมองแผ่นหลังของหมิงซิวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านหลับแล้วหรือ”
ยังไม่มีปฏิกิริยา
เฉียวเวยขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “ท่านคงไม่ได้โกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่”
นางเดินทางตั้งไกลมาเยี่ยมเขา หากเป็นยามปกติเขาคงดีใจมาก แต่วันนี้กลับหน้าบูดจมูกเบี้ยว ตาค้อนควัก ตอนแรกนางมัวแต่พะวงมีชนักติดหลังกับยาถ้วยนั้น ตอนนี้เมื่อจิตใจสงบแล้วครุ่นคิดดู จึงรู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อย
“เหตุใดท่านจึงโกรธข้าเล่า ข้าทำสิ่งใด โรคอีสุกอีใสของท่านไม่แน่ว่าจะติดมาจากข้าเสียหน่อย ไม่แน่ท่านอาจแพร่โรคมาให้ข้าก็ได้ ของสิ่งนี้มีระยะฝักตัว ท่านรู้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าใครตุ่มขึ้นก่อน คนนั้นก็จะเป็นต้นตอแพร่โรคนะ”
ค่ำคืน เงียบสงัดจนเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย
“ท่านอย่าเงียบสิ ข้ารู้ว่าท่านยังไม่หลับ ข้าทำอะไรท่านหรือ ท่านอย่าเก็บไว้ในใจแล้วหวังว่าข้าจะเดาออกเองสิ ข้าเดาไม่ออกหรอก”
เฉียวเวยชะเง้อคอ “หลับแล้วจริงหรือ”
“เฉียวเวย”
ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยปาก
เฉียวเวยอึ้งเล็กน้อย เจ้าหมอนี้ไม่เคยเรียกชื่อนางมาก่อน “อะไรหรือ”
“หนาว”
เฉียวเวยลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหน้าเตียง หยิบผ้าห่มผืนบางขึ้นห่มบนตัวเขา ร่างกายของเขาสั่นระริกเหมือนใบไม้ร่วงที่โรยรากลางสายลมหนาว
เฉียวเวยขยับมานั่งบนเตียง กอดเขาเข้ามาในอ้อมแขน ใบหน้าร้อนผ่าวของเขาแนบกับหน้าอกนุ่มนิ่มของนาง “ยังหนาวอยู่หรือไม่”
“อืม”
เฉียวเวยกอดแน่นขึ้นอีก ร่างกายของเขาร้อนระอุ เฉียวเวยรู้สึกเหมือนตนเองกำลังกอดเตาไฟขนาดใหญ่ ร้อนจนเหงื่อผุดพรายออกมามากมาย
จีหมิงซิวกลับสบายยิ่งนัก ร่างกายของนางเย็นสบายและนุ่มนิ่ม ลมหายใจอ่อนละมุนมีกลิ่นอายที่ทำให้คนจิตใจสงบ
จีหมิงซิวฟังเสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็วเล็กน้อยของนางแล้วหลับตาพริ้ม
หายากที่เจ้าหมอนี่จะทำตัวเชื่องเช่นนี้ เฉียวเวยหยิกใบหน้าของเขา แล้วจิ้มหัวไหล่เขาอีกเล็กน้อย กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง แต่ไม่ปูดนูนเป็นลูกๆ เป็นประเภทที่สวมอาภรณ์แลดูผอมเพรียว ถอดอาภรณ์ดูมีกล้ามเนื้อ
ปลายนิ้วของเฉียวเวยไล้ไปมาบนหัวไหล่ของเขาสองสามรอบก็ไถลต่อไปยังแผ่นอกของเขาอย่างซุกซน
กล้ามอก! กล้ามท้อง! วีไลน์!
สวรรค์!
รูปร่างดีปานนี้ได้เช่นไร!
เฉียวเวยกลืนน้ำลาย อดใจไม่อยู่ลากมือเข้าไปใต้เสื้อตัวในของเขา ผิวเรียบลื่นแล้วยังเด้งสู้มือ…
เฉียวเวยอดไม่ไหวลูบไล้เรือนร่างของเขาจนสมอยาก ตั้งแต่ท้องน้อยไปจนถึงเอว แล้วเลยไปยังแผ่นหลัง
แม้แต่กล้ามหลังก็มีด้วย!
เฉียวเวย ‘มีความสุข’ จนอยากจะหลั่งน้ำตา หากวันใดไม่ทันระวังข้ามมิติกลับไปก็ไม่ต้องน้ำลายยืดดูดาราวัยรุ่นยอดนิยมพวกนั้นแล้ว
เฉียวเวยกินเต้าหู้ใครบางคนอย่างตะกละตะกลาม แล้วหลับตาลงอย่างพึงพอใจ เดิมทีคิดจะพักสายตาครู่หนึ่งแล้วกลับไปยังเตียงหลังเล็กของตนเอง ทว่าพอได้หลับตาลงก็ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ แล้ว
…
ฉี่ลูกเพียงพอนของเสี่ยวไป๋ได้ผลน่าตะลึงนัก พอฟ้าสว่างไข้ของหมิงซิวก็ลดลงไปเกือบหมดแล้ว ยาวิเศษเช่นนี้ใช้ครั้งหนึ่งยังพอได้ หากใช้มากครั้งเข้าคงมีคนตาย จีอู๋ซวงจึงเปลี่ยนสูตรยา
เฉียวเวยเก็บข้าวของในห้อง “เมื่อคืน…”
“เมื่อคืนอะไร เจ้าปีนเตียงข้าแล้วหรืออย่างไร” จีหมิงซิวน้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง
ตอนเช้าเฉียวเวยตื่นขึ้นมาก่อน เมื่อตื่นแล้วจึงรีบกลับไปยังเตียงเล็กของตนเอง ดังนั้นตามหลักแล้ว เขาสมควรจะไม่รู้ว่าตนนอนยู่บนเตียงเขาทั้งคืนสิ
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “แน่นอนว่าไม่! ท่านนอนของท่าน ข้านอนของข้า พวกเราน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง! แต่เมื่อคืนวานท่านบอกว่าหนาว ดังนั้นข้า….จึงห่มผ้าห่มให้ท่าน!”
จีหมิงซิวหรี่ตาลงด้วยท่าทางดูอันตราย “เพียงห่มผ้าห่มให้เท่านั้นหรือ แน่ใจนะว่าไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบข้า”
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่มีแน่นอน!”