หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 14 ถนนแคบพบคู่แค้น
ตอนที่ 14 ถนนแคบพบคู่แค้น
ใบหน้าของป้าหลัวปรากฏรอยสีแดงก่ำในทันใด เสียงดังลั่นจนเด็กๆ ตกใจทำถังหูลู่หลุดมือ
แววตาของเฉียวเวยเย็นชา พูดไม่เข้าหูคำเดียวก็ตบตีคน แล้วยังทำให้ลูกน้อยผู้บริสุทธิ์สองคนของนางตกใจอีก…
นางวางตะกร้าที่เก็บของเรียบร้อยแล้วลงบนพื้น จากนั้นเอื้อมมือข้ามโต๊ะตัวน้อยที่ใช้ตั้งร้านไปจับหัวไหล่ของฝังมามาเบาๆ
ฝังมามากวาดสายตามองมือบนหัวไหล่ของตนอย่างดูแคลน แล้วไล่สายตาตามท่อนแขน เมื่อมองเข้าไปในดวงตาที่เสมือนมีสายธารถาโถมคู่นั้นของเฉียวเวย ทันใดนั้นหัวใจก็กระตุก
“เจ้าคิดจะทำอันใด” ฝังมามาถามเสียงดุดัน
เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “เจ้าตบแม่ของข้า เจ้าว่าข้าคิดจะทำอันใดเล่า”
เดิมทีฝังมามาไม่ได้ต้องการจะตบป้าหลัว ผู้ที่นางเล็งคือเฉียวเวย แต่นางคิดไม่ถึงว่าป้าหลัวจะโถมเข้ามาอย่างไม่สนใจตนเองแล้วรับหนึ่งฝ่ามือนั้นแทนเฉียวเวย นางใช้อำนาจบาตรใหญ่ในจวนจนเคยตัว จึงไม่เห็นร้านค้าเล็กๆ เหล่านี้อยู่ในสายตา ตบผิดแล้วอย่างไร คนพวกนี้ไม่ยอมทนรับแต่โดยดีได้หรือ
นางขบคิดในใจจบก็เชิดคางขึ้น แล้วเอ่ยอย่างโอหัง “คนที่ข้าจะตบคือเจ้า ใครใช้ให้นางเอาตัวเองเข้ามาขวาง”
เฉียวเวยจ้องนางเขม็งไม่แม้แต่จะกะพริบตา “ตบคน ไม่ขอโทษสักคำแล้วยังจะทำตัวโอหังเช่นนี้อีก ดีมาก ดีมาก หากเป็นเช่นนี้ข้าก็จะไม่บีบให้เจ้าขอโทษแม่ข้าแล้ว”
ตอนฝังมามาได้ยินคำว่า ‘ดีมาก’ สองคำนั้น หัวใจยังกระตุกอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจที่ขึ้นมาจุกที่คอของฝังมามาก็กลับไปอยู่ในอกอย่างสงบ นางก็ว่าแล้ว ร้านค้าแผงเล็กๆ ที่ไร้ชื่อเช่นนี้จะกล้ามีเรื่องกับคนชั้นสูงเช่นนางหรือ
ฝังมามาตะคอกเบาๆ “เอามือสกปรกของเจ้าออกไป! แล้วก็ส่งเพียงพอนหิมะตัวนั้นมาให้ข้า ข้าจะให้อภัยที่พวกเจ้าล่วงเกิน”
“เจ้าตบแม่ข้าแต่กลับมาใส่ร้ายว่าพวกข้าล่วงเกิน แล้วยังจะมายึดสัตว์เลี้ยงของข้าอีก” เฉียวเวยมองนางด้วยแววตาเรียบเฉย “ช่างหน้าไม่อาย”
สิ้นเสียงของนาง ฝังมามายังไม่ทันตามทันว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ได้ยินเสียงดัง กร๊อบ! คล้ายกับมีบางสิ่งแตก แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ความเจ็บแปลบก็แล่นมาจากแขนขวา นางร้องเสียงดังอย่างตื่นตระหนก!
สาวใช้ตกใจจนหน้าถอดสี “ฝังมามา!”
ฝังมามาล้มลงไปบนพื้น แขนขวาปวดจนนางลุกไม่ขึ้น นางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ดึงให้คนที่เดินผ่านไปมาล้อมเข้ามามุงอย่างรวดเร็ว
จะว่าไปแล้วทุกสิ่งก็ล้วนเป็นนางก่อเรื่องเอง ผู้ที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอด ไม่มีผู้ใดเวทนานางสักคน
กลับเป็นป้าหลัวที่กลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่โต นางจึงถามเฉียวเวยเสียงเบา “นาง นางเป็นอะไร จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “หัวไหล่หลุดข้างเดียวเท่านั้น ไม่ตายหรอก”
ไม่ตายก็จริงอยู่แต่สำหรับแม่นมของตระกูลชั้นสูงที่อยู่ดีกินดีคนหนึ่ง ความเจ็บปวดเช่นนี้คงยากจะทานทนยิ่งกว่าสังหารนางเสียอีก
“เกิดอันใดขึ้น”
เสียงสดใสอ่อนหวานดุจเสียงนกขมิ้นดังขึ้นด้านหลังกลุ่มคน คนเดินถนนตกตะลึงแหวกทางให้อย่างพร้อมเพรียง สาวน้อยผู้สวมกระโปรงคาดเอวสีเหลืองอ่อนเดินเยื้องย่างเข้ามา เรือนร่างนางอรชรอ้อนแอ้น องคาพยพบนใบหน้างดงาม เกล้ามวยผมทรงก้นหอย ปักปิ่นเงินประดับหยกสีชมพูเล่มหนึ่ง ทั้งร่างดูนุ่มนิ่มมีน้ำนวลยิ่งนัก ใบหน้า ลำคอ มือ ผิวทุกส่วนที่เผยออกมาข้างนอกขาวละมุนจนมิอาจพรรณนาราวกับว่าเพียงเป่าลมใส่ก็ช้ำ
ในเมืองยากจนแห่งนี้ การที่สตรีสาวรูปโฉมดุจนางสวรรค์เช่นนี้มาเยือนเทียบได้กับเทพธิดาฉางเอ๋อเสด็จลงมาจากวังจันทรา ฝูงชนที่วินาทีก่อนหน้ายังเอะอะเจี๊ยวจ๊าว เวลานี้เงียบกริบในทันใด
บนร่างนางมีกลิ่นแป้งหอมชวนดมดอม สายลมโชยหอบหนึ่ง ทั่วบริเวณล้วนถูกย้อมด้วยกลิ่นหอมละมุน
นางเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเฉียวเวย “มิทราบว่าแม่นมคนสนิทของข้าล่วงเกินฮูหยินเช่นไร ฮูหยินจึงบันดาลโทสะเช่นนี้”
“เจ้าถามนางสิ” เฉียวเวยเอ่ย
หญิงสาวหันไปมองฝังมามา ฝังมามาอยากจจะฟ้องเจ้าคนชั้นต่ำคนนี้ต่อหน้าคุณหนูยิ่งนัก แต่จนปัญญาที่นางเจ็บจนพูดไม่ออก สาวใช้จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณหนูฟังแทน
หญิงสาวฟังจบจึงพยักหน้าอย่างสง่าสงามแล้วเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “แม่นมคนสนิทของข้าหยาบคายกับท่านก่อน ตัวข้าขอขมาแม่นางแทนนางตรงนี้”
การกระทำอันยุติธรรมไม่เข้าข้างฝ่ายตนของนางได้รับเสียงชื่นชมจากรอบด้าน
เฉียวเวยกลับมองนางด้วยสายตาแปลกพิกล “เจ้าบอกว่านางหยาบคายก่อน ก็หมายความว่าหลังจากนั้นข้าเป็นฝ่ายล่วงเกินสิ เจ้าขอขมาข้า ถ้าเช่นนั้นข้าก็สมควรขอขมานางด้วย แต่น่าเสียดายนัก ข้าไม่คิดจะทำเช่นนั้น”
ดวงหน้างามสง่าของหญิงสาวชะงักไปวูบหนึ่ง
เฉียวเวยอย่างนิ่งสงบ “ผิดถูกข้ารู้อยู่แก่ใจ มิจำเป็นต้องสนสายตาผู้อื่น ข้าจะไม่ยอมรับคำขออภัยที่ข้าไม่ต้องการรับสักนิดเพื่อแสดงความใจกว้างของตนเอง แล้วก็จะไม่บังคับตนเองให้ขออภัยคนที่ไม่สมควรได้รับคำขออภัย”
หญิงสาวเพิ่งเคยพบคนที่ไม่ตอบโต้ตามขนบเช่นนี้เป็นครั้งแรก นางจึงอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “คนที่ทำผิดก็คือพวกเจ้า ข้าเพียงสนองสิ่งที่ใครทำคืนให้คนนั้น แม่นางคิดว่าข้าผิดที่ใดเล่า”
คำพูดนี้ไร้จุดอ่อน ในยุคปัจจุบันการฆาตกรรมอันมีมูลเหตุจากการหยามหมิ่นมารดาจะต้องโทษหนัก แต่ในยุคโบราณการกระทำเช่นนี้กลับได้รับการสรรเสริญจากจักรพรรดิ
มารดาของเฉียวเวยถูกข่มเหง นางไม่ข่มเหงคืนจึงจะถูกคนหัวเราะเยาะเข้าจริงๆ ดังนั้นในสายตาของทุกคน การที่นางจัดการฝังมามาจึงไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย กลับกันยังทำให้คนสาแก่ใจ
หญิงสาวย่อมรับรู้ถึงท่าทีของผู้คน นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยแช่มช้า “ก่อนหน้าข้าใช้คำพูดไม่ระวัง ข้าเป็นผู้ผิด เรื่องในวันนี้แม่นมคนสนิทของข้าหยาบคาย ตัวข้าขอขมาแม่นางจากใจจริง”
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่รับ”
“เจ้า…”
เฉียวเวย “หากตบแม่ข้าแล้วขอโทษคำเดียวก็จบเรื่อง ถ้าเช่นนั้นหลังจากนี้ผู้ใดก็วิ่งมาตบตีแม่ข้าแล้วเอ่ยขอโทษคำเดียวก็พอใช่หรือไม่”
หญิงสาวหน้าแดง “เจ้าสั่งสอนฝังมามาไปแล้วไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยพยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษแล้ว คนทำชั่วย่อมได้ชั่ว เรื่องในวันนี้จบแต่เพียงเท่านี้ แม่นางกลับดีๆ ข้าไม่ส่ง”
หญิงสาวหน้าเขียวก้าวขึ้นรถม้าไป
ฝังมามาก็ถูกคนแบกขึ้นรถไปด้วย
เฉียวเวยมองแผ่นหลังที่เดินจากไปไกลของหญิงสาว ในใจเกิดความรู้สึกเป็นอริอย่างไม่มีที่มา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
“โอ้ย พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ยังจะกล้าชมดูเรื่องของนางอีก” ขอทานเฒ่าที่นั่งอยู่ข้างถนนคนหนึ่งดื่มเหล้าในน้ำเต้าพลางเอ่ยขึ้นมา
หญิงคนหนึ่งถามว่า “ใครหรือ ตาเฒ่าหลี่ เจ้ารู้จักหรือ”
ตาเฒ่าหลี่กระดกเหล้าคำหนึ่งแล้วตอบว่า “รถม้าคันนั้นของนางสลักรูปซานชีเฉ่า[1]เอาไว้ นั่นเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลของจวนเอินปั๋ว”
“แล้วจวนเอินปั๋วคืออะไรเล่า” หญิงสูงวัยถามต่อ
“แม้แต่จวนเอินปั๋วยังไม่รู้จัก” ตาเฒ่าหลี่กลอกตาใส่ “จวนเอินปั๋วก็คือหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ทางวิชาแพทย์ของเมืองหลวง ชื่อเสียงโด่งดังนัก! แม่นางน้อยคนนั้น หากข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็น ‘บุตรีคนโต’ คนปัจจุบันของจวนเอินปั๋ว”
หญิงสูงวัยหัวเราะ “ตาเฒ่าหลี่แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ เจ้าไปดูละครมาอีกแล้วใช่หรือไม่”
ตาเฒ่าหลี่ถลึงตาใส่นาง “เจ้าสิไปดูละครมา! ตอนที่ข้าตระเวนทั่วเมืองหลวง เจ้ายังไม่เกิดออกมาจากท้องมารดาเจ้าเลย!”
“ชิชะ ตาเฒ่าหลี่ นี่เจ้ากล้าย้อนข้าหรือ!” หญิงนางนั้นทำท่าจะตีเขาแต่เมื่อเห็นเขาสกปรกปานนั้นจึงหดมือกลับไป
ตาเฒ่าหลี่ยื่นมือออกมา “ให้ข้าสักอีแปะสิ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังต่อ”
“ข้าขี้เกียจจะฟัง เจ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า!” หญิงนางนั้นหิ้วตะกร้าเดินจากไป
ตอนนั้นเองเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งก็ร่วงลงมาจากฟ้า หล่นลงไปในชามของตาเฒ่าหลี่อย่างตรงเผงไม่เบี้ยวไม่เฉ
ตาเฒ่าหลี่รีบเงยหน้ามอง ด้านบนคือโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง มิรู้ว่าเงินของผู้ใดเพราะไม่เผยตัว
เฉียวเวยอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตาเฒ่าหลี่จึงบังเอิญเห็นคนบนตึกที่โยนเหรียญทองแดงลงมาพอดี เขาเป็นบุรุษที่สวมหมวกปีกกว้างคนหนึ่ง
ตาเฒ่าหลี่ได้เงินแล้วจึงเล่าต่อ “จวนเอินปั๋วก่อนหน้านี้มีทายาทสามสาย บ้านหลักได้สืบทอดบรรดาศักดิ์ นั่นก็คือท่านเอินปั๋วรุ่นก่อน แต่ท่านเอินปั๋วรุ่นก่อนโชคไม่ดียิ่งนัก ตอนที่เขากับภรรยาออกไปท่องเที่ยวพบน้ำหลากเข้าจนถูกน้ำพัดโชคร้ายเสียชีวิตทั้งคู่ เขาไม่มีบุตรชาย มีเพียงบุตรีอายุห้าปีเพียงคนเดียว บ้านรองจึงได้สืบทอดบรรดาศักดิ์แทน คุณหนูคนนี้ก็คือลูกของบ้านรอง”
หญิงนางนั้นที่เดินออกไปแล้วหวนกลับมา “เจ้าไม่ได้บอกว่าท่านเอินปั๋วรุ่นก่อนมีบุตรีคนหนึ่งหรือ ทำไมนางไม่ใช่คุณหนูใหญ่เล่า”
ตาเฒ่าหลี่ตอบว่า “แต่เดิมก็ใช่ แต่เมื่อหลายปีก่อนนางทำความผิดจึงถูกขับออกจากตระกูลไปแล้ว”
[1] ซานชีเฉ่า สมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ห้ามเลือดและแก้พิษ