หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 140-2 เล่นงานหญิงชั่ว ตีชิงตามไฟ
ตอนที่ 140-2 เล่นงานหญิงชั่ว ตีชิงตามไฟ
ฝ่ายหลินมามากับสวีซื่อ หลังจากตระหนกลนลานหนีมา พวกนางก็ไม่ได้ไปที่ใดทั้งสิ้น แต่ตรงดิ่งกลับมายังตระกูลเฉียว
เรือนหลังหลักของตระกูลเฉียวมีเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ขาด เฉียวจ้งชิง พี่ใหญ่ของเฉียวอวี้ซี ลูกชายคนโตของสวีซื่อกับเฉียวเย่ว์ซานกลับมาแล้ยว
เดิมเฉียวจ้งชิงไปร่ำเรียนวิชาที่สู่ตี้ เมื่อได้ข่าวว่าบิดาได้รับแต่งตั้งเป็นโหวจึงเร่งเดินทางกลับบ้านมาเพื่อฉลอง คิดไม่ถึงกลับมาถึงช้าไปหนึ่งวัน งานเลี้ยงฉลองจบลงแล้ว แต่นี่มิขัดขวางเขาจากการดีใจแทนบิดา
เขานำของขวัญจากสู่ตี้ไปมอบให้แต่ละเรือนแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดของน้องชายกับน้องสาว
เฉียวอวี้ฉีได้พัดเล่มหนึ่ง “สิ่งนี้คืออะไรหรือ พี่ใหญ่”
เฉียวอวี้ฉีซุกซน แต่กลัวเกรงพี่ใหญ่ยิ่งนัก ถึงจะเห็นว่าพี่ใหญ่มักจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่เฉียวอวี้ฉีรู้ดีว่าพี่ใหญ่ไม่ได้อ่อนโยนไร้อันตรายดังที่เห็นบนเปลือกนอก
“นี่คือตัวอักษรที่ท่านมหาบัณฑิตข่งเขียนด้วยตนเอง” เฉียวจ้งชิงเอ่ยเสียงอ่อนโยนประหนึ่งหยก
เฉียวอวี้ฉีไม่ชื่นชอบมหาบัณฑิตอะไรสักนิด แต่ของที่พี่ชายมอบให้ เขาไม่กล้าไม่ชื่นชม จึงยิ้มหวานตอบว่า “ขอบคุณพี่ใหญ่!”
เฉียวจ้งชิงทดสอบผลการเรียนของน้องชายครู่หนึ่ง พบว่าแม้น้องชายจะซุกซน แต่การเล่าเรียนก็ไม่ได้ย่ำแย่ จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
หลังจากนั้นเฉียวจ้งชิงจึงนำหนังสือรวมบทกวีของท่านข่งไปมอบให้เฉียวอวี้ซี “น้องสาว อย่าได้เชื่อคำกล่าวที่ว่าสตรีไร้ความสามารถจึงจะมีคุณธรรมนั่นเชียว นั่นเป็นคำพูดคร่ำครึ สตรีต้องมีปัญญาและรูปโฉมงดงามทั้งสองประการจึงจะได้รับความสำคัญจากครอบครัวสามี”
“ขอบคุณพี่ใหญ่!” คำพูดของพี่ใหญ่ตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจของนาง เฉียวอวี้ซีจึงรับหนังสือรวมบทกวีมาอย่างเบิกบานใจ
เฉียวจ้งชิงลูบพวงแก้มของน้องสาวแล้วเอ่ยอย่างรักใคร่ “เรื่องของน้องสาว พี่ใหญ่รู้เรื่องหมดแล้ว พี่ใหญ่จะไม่ให้เจ้ากล้ำกลืนความอยุติธรรม ความยุติธรรมที่สมควรทวงกลับมา พี่ใหญ่จะทวงกลับมาให้เจ้ามิขาดสักอย่างเดียว”
เฉียวอวี้ซีพิงหัวไหล่ของเฉียวจ้งชิง “พี่ใหญ่ดีต่อข้าที่สุด! ท่านพ่อกับท่านแม่ล้วนห้ามไม่ให้ข้าก่อเรื่อง!”
เฉียวจ้งชิงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านพ่อกับท่านแม่ย่อมมีความลำบากของพวกท่าน”
หลินมามาเหลือบมองจากตรงประตู
เฉียวจ้งชิงกลอกลูกตามองเล็กน้อย แล้วตบหัวไหล่ของน้องสาว “พาน้องของเจ้ากลับไปคัดอักษรที่ห้องก่อน ข้ามีธุระต้องสั่งงานพวกเขาสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ” เฉียวอวี้ซีดึงเจ้าปีศาจน้อยคนนั้นออกไป มีแต่ตอนที่พี่ใหญ่อยู่บ้าน เจ้าปีศาจน้อยถึงจะไม่กล้าเหิมเกริมต่อหน้านาง
พี่น้องสองคนออกไปแล้ว หลินมามาจึงประคองสวีซื่อเข้ามา
สวีซื่อใบหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นบุตรชายดูแข็งแรงแจ่มใสก็ทักด้วยความยินดี “จ้งชิง เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
“ขอรับ ลูกกลับมาแล้ว” เฉียวจ้งชิงประคองมารดามาที่เตียง จากนั้นหยิบหมอนมารองหลังให้นางพิง “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น ท่านจึงตกใจจนเป็นเช่นนี้”
สวีซื่อคว้ามือของบุตรชาย “ผี…ผีหลอก! กลางวันแสกๆ…เจอผีเข้า!”
เฉียวจ้งชิงยิ้มโดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ท่านแม่ ท่านพูดอะไรกัน กลางวันแสกๆ จะมีผีได้อย่างไรเล่า ท่านมองผิดหรือไม่”
สวีซื่อเอ่ยอย่างหวาดกลัว “เจ้าถามหลินมามา! นางก็เห็น!”
เฉียวจ้งชิงมองไปทางหลินมามา หลินมามาตอบทั้งที่ใจยังไม่หายหวาดกลัว “บ่าวเห็นจริงๆ เจ้าค่ะ แต่บ่าวคิดว่า…นั่น…น่าจะไม่ใช่ผี”
สวีซื่อดวงตาดุดันขึ้นมาทันควัน “ไม่ใช่ผีหรือ ถ้าอย่างนั้นเขามีชีวิตกลับมาจริงๆ หรือไร”
“พวกท่านพูดถึงผู้ใด” เฉียวจ้งชิงถาม
สวีซื่อลูบหน้าอกตอบว่า “ลุงใหญ่ของเจ้า!”
ความคิดของเฉียวจ้งชิงล่องลอยไปยังที่ห่างไกล “ท่านแม่จะบอกว่าวันนี้พวกท่านพบท่านลุงใหญ่หรือ”
สวีซื่อตัวสั่นตอบว่า “พบเขา แล้วก็พบนังตัวซวยคนนั้นด้วย! นังตัวซวยคนนั้นกัดไม่ปล่อยจริงๆ! มาก่อเรื่องที่หอหลิงจืออีกแล้ว แล้วยังตีเลี่ยวเกอร์จนตายอีก!”
รอยยิ้มของเฉียวจ้งชิงชะงักค้างอยู่บนริมฝีปาก “อะไรนะ เลี่ยวเกอร์ตายแล้วหรือ”
หลินมามาบอกอย่างคับแค้น “นายน้อย สตรีนางนั้นมิรู้ร่ำเรียนวรยุทธ์มาจากผู้ใดจึงมีฝีมือร้ายกาจขึ้นมา นางตัวคนเดียวแต่กลับอัดคนทั้งกลุ่มจนหมอบ เลี่ยวเกอร์ก็ถูกนางจัดการอย่างอำมหิต! นางยังกล่าววาจาร้ายกาจกลางถนนอีกว่าคุณหนูของเรือนเราแย่งคู่หมายของนางไป! บอกว่านางจะทวงสิ่งที่เป็นของนางกลับคืนมาให้หมด!”
สวีซื่อกุมมือบุตรชาย “จ้งชิง เจ้าว่าวันนี้แม่เจอผีจริงๆ หรือว่า…หรือว่าท่านลุงใหญ่ของเจ้ามีชีวิตรอดกลับมา หากเขารู้ว่าพวกเราขับไล่บุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาออกจากตระกูล เขาจะขับไล่พวกเราออกไปด้วยหรือไม่”
เฉียวจ้งชิงปลอบโยน “ท่านแม่พูดเหลวไหลอันใด ท่านลุงตายไปนานแล้ว ตอนนำศพลงโลง ผู้อาวุโสทั้งตระกูลก็อยู่ด้วย ท่านลุงพักผ่อนอยู่ในปรโลกแล้ว บุรุษคนนั้นก็เพียงหน้าตาคล้ายท่านลุงใหญ่อยู่บ้างจึงถูกคุณหนูใหญ่เฉียวหามาสวมรอยก็เท่านั้น สองคนนี้คิดจะหลอกจวนเอินปั๋ว ออกจากเพ้อเจ้อเกินไปหน่อยแล้ว”
“เป็น…เป็นเช่นนั้นจริงหรือ” สวีซื่อถามอย่างจิตใจมิอยู่กับเนื้อกับตัว
เฉียวจ้งชิงยิ้ม “แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนี้ หลินมามา ความจริงแล้วคนผู้นั้นก็ไม่เหมือนท่านลุงใหญ่ของข้านักหรอกใช่หรือไม่”
หลินมามาแรกสุดตกตะลึง แต่จากนั้นก็ก้มหน้า “คุณชายใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว มองแวบแรกดูเหมือนอยู่บ้าง แต่เมื่อตรองดูให้ถ้วนถี่ก็เหมือนจะมิใช่เช่นนั้น ดวงตาของนายท่านไม่ใหญ่เท่านั้น จมูกก็แบนไปสักหน่อย หน้าผากก็เล็กกว่าอยู่บ้าง โหนกแก้มก็ไม่ได้สูงปานนั้น”
เฉียวจ้งชิงกุมมือของสวีซื่อ “ท่านแม่ ท่านดูสิ ท่านจำผิดแล้ว คนผู้นั้นไม่ใช่ท่านลุงใหญ่”
สวีซื่อส่ายหน้า “แต่เหล่าเผยบอกว่าเขาเป็น…”
รอยยิ้มของเฉียวจ้งชิงอ่อนโยนชวนให้คนลุ่มหลง “เหล่าเผยไม่ถูกกับเรือนรอง อยากจะคว่ำเรือนรองให้ได้เร็วๆ ย่อมพูดแทนผู้อื่น เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเอง ท่านแม่ไม่ต้องกังวลใจแล้ว ข้าจะ…จัดการอย่างเหมาะสม”
…
ในยุทธภพมีกลุ่มมือสังหารลึกลับอยู่กลุ่มหนึ่ง ผู้คนเรียกขานว่าพรรคโลหิตพิฆาต พรรคโลหิตพิฆาตส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ทางภาคเหนือ รับงานเช่นการสังหาร การลอบสังหารเป็นหลัก ในยุทธภพกล่าวกันว่ามิมีคนผู้ใดที่พรรคโลหิตพิฆาตสังหารไม่ได้ มีแต่นายจ้างจะจ่ายไหวหรือไม่ คำพูดนี้ความจริงแล้วก็กล่าวเกินจริงไปอยู่บ้าง
หากพรรคโลหิตพิฆาตกล้าสังหารทุกคน หากมีนายจ้างจ่ายเงินให้เด็ดศีรษะของหัวหน้าพรรคโลหิตพิฆาต มือสังหารทั้งหลายจะฆ่าหรือไม่ฆ่าดีเล่า
เมื่อรับคำว่าจ้างมาแล้ว ฐานบัญชาการแต่ละแห่งก็จะให้หัวหน้าฐานบัญชาการพิจารณาเป็นอย่างแรก หากเบื้องหลังของผู้ที่จะถูกสังหารแข็งแกร่งเกินไปก็จะต้องขอความเห็นจากหัวหน้าพรรคโลหิตพิฆาต ให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้ตัดสินว่าจะรับงานนี้หรือไม่
สิ่งที่สมควรกล่าวถึงสักหน่อยก็คือ หัวหน้าพรรคของพรรคโลหิตพิฆาตมิใช่ใครอื่น เขาก็คือจีอู๋ซวงหนึ่งในเจ็ดยอดฝีมือใต้บัญชาของจีหมิงซิวนั่นเอง
การที่จีอู๋ซวงอยู่ในตำแหน่งพี่ใหญ่ของทั้งเจ็ดคนได้ นอกจากวิชาแพทย์กับวิชาพิษจะยอดเยี่ยมล้ำเลิศแล้ว สมองกับชั้นเชิงก็อยู่ในระดับที่หกคนที่เหลือเทียบไม่ติดฝุ่น
จีอู๋ซวงมักอยู่บนคฤหาสน์ภูเขาเพื่อศึกษาทางรักษาจีหมิงซิว แต่คฤหาสน์ภูเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงค่อนข้างไกล ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้แวะมาที่พรรคโลหิตพิฆาตนานแล้ว วันนี้บังเอิญว่าสมุนไพรที่เขามีถูกใช้ไปหมดแล้วจึงออกมาซื้อหาสักหน่อย แล้วก็บังเอิญพบกับหัวหน้าฐานบัญชาการประจำเมืองหลวงพอดี
หัวหน้าฐานบัญชาการไม่ค่อยได้โผล่หน้ามาอยู่ต่อหน้าหัวหน้าพรรคนัก เขาจึงต้องการตีสนิทหัวหน้าพรรคสักหน่อย แต่มิรู้จะเริ่มประจบจากที่ใด ทันใดนั้นก็เกิดความคิดขึ้นมา เล่าถึงลูกค้าที่รับมาวันนี้ “เฮ้อ ท่านหัวหน้าพรรค เจองานยุ่งยากเข้าน่ะสิ ไม่รู้ว่าสมควรจะรับหรือไม่รับดี”
โกหก รู้อยู่แล้วแท้ๆ
จีอู๋ซวงมองออกว่าเขาพยายามจะหาเรื่องคุย แต่ไม่ได้เปิดโปงเขา กลับถามอย่างไว้หน้าว่า “งานอะไรหรือ”
หัวหน้าฐานบัญชาการกล่าวว่า “คุณชายคนหนึ่งจ่ายเงินหนึ่งพันตำลึงต้องการจะเอาชีวิตหญิงชาวบ้านแถวบ้านนอกคนหนึ่ง ท่านหัวหน้าพรรคว่าหญิงชาวบ้านอะไรมีค่าตั้งหนึ่งพันตำลึงเงิน นางคงไม่ใช่ยอดฝีมือผู้ซ่อนเร้นฝีมืออยู่สักคนหรอกกระมัง”
“เจ้าไม่ได้ถามตัวตนให้ชัดหรือ” จีอู๋ซวงถาม
หัวหน้าฐานะบัญชาการอับอาย “ไม่ ไม่ทันได้ถามขอรับ”
แน่นอนต้องถามแล้ว! หัวหน้าพรรคท่านอย่าคลางแคลงความเป็นมืออาชีพของข้าสิ!
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปสืบให้ชัดอีกรอบ พรรคโลหิตพิฆาตไม่รับงานที่ความเป็นมาคลุมเครือ” คำกล่าวที่ว่าขอเพียงมีเงินพอ โอรสสวรรค์ก็กล้าสังหารอะไรทำนองนี้ใช้ไม่ได้กับจีอู๋ซวง คนเราต้องรู้จักยืดหยุ่น จะเห็นแก่ชื่อเสียงในยุทธภพจนมิสนใจไยดีชีวิตของตนมิได้ ผู้ใดสังหารได้ ผู้ใดสังหารไม่ได้ ต้องแบ่งแยกให้ชัด
“ท่านหัวหน้าพรรคเชิญนั่งที่พรรคโลหิตพิฆาตก่อน ข้าจะไปสืบเดี๋ยวนี้!” หัวหน้าฐานบัญชาการจนปัญญา จึงแสร้งทำเหมือน ‘ออกไปติดต่อกับนายจ้าง’ แต่ความจริงเพียงไปกินกุ้งเย็นชามหนึ่งที่โรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ถือภาพวาดภาพหนึ่งกลับมายังรังของพรรคโลหิตพิฆาต “เรียนหัวหน้าพรรค นี่คือคนที่นายจ้างต้องการสังหาร”
จีอู๋ซวงคลี่ภาพวาดออกดู นางเองหรือ
หัวหน้าฐานบัญชาการกล่าวว่า “แม่นางน้อยหน้าตาอ่อนเยาว์นัก ดูไม่ออกเลยว่าเป็นภรรยาของผู้อื่นแล้ว นางคือคุณหนูใหญ่ที่ถูกขับออกจากจวนเอินปั๋ว มิรู้ว่าไปล่วงเกินนายจ้างคนนั้นอย่างไร จึงใช้เงินมากมายเพียงนั้นหมายเอาชีวิตนาง แล้วก็ยังมีบุรุษอีกคน นายจ้างไม่ได้ให้ภาพวาดมา แต่บอกว่าที่ศีรษะบาดเจ็บหนัก ระบุตัวง่ายมาก”
“บุรุษผู้นั้นคือผู้ใด” จีอู๋ซวงถาม
“เอินปั๋วผู้ล่วงลับไปแล้ว!” หัวหน้าฐานบัญชาการตอบ
คำพูดนี้ฟังดูย้อนแย้ง แต่เมื่อพิจารณาให้ดีก็จะเข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จะเป็นเรื่องอะไรเสียนอกจากเฉียวเอินปั๋วที่ล่วงลับเมื่อหลายปีก่อนคนนั้นมิได้จากโลกไปจริงๆ เพียงแต่หายสาบสูญไปหลายปีเท่านั้น วันนี้เขามีชีวตรอดกลับมา เรื่องนี้ย่อมเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงสำหรับท่านปั๋วคนปัจจุบันผู้สืบทอดตำแหน่งมาอย่างมิต้องสงสัย
คำสั่งเช่นนี้ พรรคโลหิตพิฆาตเคยรับมาไม่น้อย มีทั้งเจ้าตระกูลรุ่นก่อนจ้างวานให้สังหารเจ้าตระกูลคนปัจจุบัน แล้วก็มีทั้งเจ้าตระกูลคนปัจจุบันจ้างวานให้สังหารเจ้าตระกูลรุ่นก่อน สรุปก็คือการต่อสู้ภายในตระกูล มีไม่กี่ตระกูลที่มือไม่เปื้อนคาวโลหิต
จวนเอินปั๋ว พรรคโลหิตพิฆาตยังหาเรื่องด้วยไหว สังหารไปก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องพรรคโลหิตพิฆาต ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าตระกูลคนปัจจุบันก็กำลังรุ่งโรจน์ เพิ่งได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นโหว หากพูดถึงอำนาจ ทิ้งห่างเจ้าตระกูลรุ่นก่อนไปมิรู้กี่ถนน
เจ้าตระกูลรุ่นก่อนตายแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดออกหน้าแทนเขาอีก
งานเช่นนี้ ไม่รับย่อมเสียเปล่า
“เจ้ารับแล้วหรือ” จีอู๋ซวงถามเหมือนกำลังขบคิดสิ่งใดอยู่
หัวหน้าฐานบัญชาการยิ้มตอบว่า “ยังไม่ได้รับขอรับ ข้าจำกฎของพรรคโลหิตพิฆาตของพวกเราได้ ไม่ตอบรับงานต่อหน้า”
เรื่องนี้ก็เพื่อความรอบคอบ กลัวว่าจะมีผู้ใดใจร้อนชั่ววูบ รับงานที่ยากจะทำสำเร็จมาโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมาทีหลัง
จีอู๋ซวงเก็บภาพวาด “อย่าเพิ่งตอบรับ รอข่าวจากข้า”
หัวหน้าฐานบัญชาการงุนงง “ขอรับ”
หลังออกจากพรรคโลหิตพิฆาตจีอู๋ซวงก็นั่งรถม้าของตนเอง แต่ไม่ได้ให้เด็กเก็บสมุนไพรออกรถ เขานั่งอยู่ในตัวรถที่จอดนิ่งสนิทไม่มีแสงสักเสี้ยวลอดเข้ามา ปลายนิ้วเคาะม้วนภาพวาด สีหน้าเคร่งขรึม
เขาไม่สนใจความขัดแย้งภายในตระกูลเฉียว ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหลังการ ‘ล่วงลับ’ ของเฉียวปั๋ว ความจริงของการหวนคืนมา เขาจะถูกสังหารหรือไม่ เขาไม่สนใจสักนิดเดียว สิ่งที่เขาสนใจคือเฉียวเวย
แม้ว่าเฉียวเวยในตอนนี้จะไม่ชวนให้คนชิงชัง แล้วยังเฉลียวฉลาด ไม่หยิ่งยโส นิสัยตรงไปตรงมาชวนให้คนชมชอบอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่นางเคยลุ่มหลงยิ่นอ๋อง เขาก็ไม่ยินดีจะให้นายน้อยข้องเกี่ยวอันใดกับนางอีก
นายน้อยเป็นเจ้าตระกูลในอนาคตของตระกูลจี ฐานะของเขายิ่งใหญ่กว่าที่คนภายนอกจินตนาการไว้มากนัก สตรีที่คู่ควรกับเขาต้องเป็นคุณหนูผู้มีรูปโฉม ชาติกำเนิด ความสามารถและอดีตอันยอดเยี่ยม มิว่าเฉียวเวยจะเคยมีสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากับยิ่นอ๋องจริงหรือไม่ เฉียวเวยก็เคยแสดงความรักที่มีต่อยิ่นอ๋องอย่างเปิดเผย นี่เป็นมลทินที่เฉียวเวยมิอาจลบออกชั่วชีวิต
เขาไม่ปรารถนาจะให้บนตัวของนายน้อยมีมลทินเช่นนี้ปรากฏอยู่
เพียงแต่ว่าในใจเขาคิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้วางแผนจะทำอย่างไรกับเฉียวเวยจริงๆ เรื่องนี้หากจะเปรียบเทียบก็เหมือนเขาชอบเงิน แต่เขามิได้จะไปฉกชิงเงินของผู้อื่นมาตามใจ
แต่การที่งานชิ้นนี้เข้ามาหา ทำให้ทุกสิ่งยุ่งเหยิงไปหมด
หากเขาไม่ได้พบกับหัวหน้าฐานบัญชาการ เมื่อรับงานนี้มาแล้ว เฉียวเวยย่อมมีชีวิตอยู่ไม่พ้นคืนนี้
และทุกสิ่งนี้ ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเขา
แต่เหตุใด…ต้องมาพบเขาด้วยนะ
“เสี่ยวโต้วจื่อ”
“ขอรับนายท่าน” เด็กเก็บสมุนไพรตอบรับ
จีอู๋ซวงสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง “ไปหมู่บ้านซีหนิว”
“ขอรับ!”
เด็กเก็บสมุนไพรไม่เคยไป แต่เขาถามทางได้ ใช้เวลาภายในยามบ่าย รถม้าก็มาถึงถนนเส้นน้อยใกล้กับหมู่บ้าน
จีอู๋ซวงไม่ได้ให้เด็กเก็บสมุนไพรขับรถม้าเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ให้เขาจอดบนทางเปลี่ยวเส้นน้อยเส้นหนึ่ง ตนเองใช้วิชาตัวเบา อ้อมด้านหลังภูเขาไปยังที่พำนักของเฉียวเวย
เฉียวเวยเพิ่งทำแผลให้เฉียวเจิงเสร็จ นางกำลังจะกลับห้องไปพัก เมื่อเดินมาถึงประตูห้องก็พลันรู้สึกถึงกลิ่นอายผิดแปลกสายหนึ่ง แววตาของนางเย็นยะเยือก ชักมีดสั้นออกมา
“เก็บมีดสั้นไปเสีย เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้”
จีอู๋ซวงหันหลังให้เฉียวเวยแล้วบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เฉียวเวยได้ยินเสียงก็พอจะจำเขาได้ จึงเดินเข้าไปในห้อง มองเงาแผ่นหลังของเขาแล้วถามว่า “ท่านลุงจีหรือ”
จีอู๋ซวงหันกลับมา “ข้าเอง ตั้งแต่จากกันสบายดีหรือไม่ คุณหนูเฉียว”
เขาเพียงเรียกนางด้วยแซ่ ไม่ได้สื่อความนัยลึกซึ้งอะไร แต่เฉียวเวยกลับรู้สึกว่าผู้ที่เขาเรียกคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนเอินปั๋ว
ในเมื่อเขาเป็นคนของจีหมิงซิว จะล่วงรู้ตัวตนของตนก็ไม่น่าแปลกใจ
เพียงแต่ดูจากสีหน้าของเขาเหมือนจะไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก
เฉียวเวยเก็บมีดสั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ นางเดินไปที่หน้าต่างแล้วปิดหน้าต่างเสีย จากนั้นปรับไส้โคมให้สลัวลงเล็กน้อย
จีอู๋ซวงไม่ได้เก็บลมปราณของตนเองแม้แต่น้อย เขาเชื่อว่าด้วยสัมผัสอันเฉียบคมของเฉียวเวยคงรับรู้ถึงความไม่เป็นมิตรของเขาได้ไม่ยาก แต่นางกลับไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย “ไม่เปิดหน้าต่างเรียกคนหน่อยหรือ แล้วยังจงใจปรับไส้โคมให้มืดเช่นนี้อีก”
เฉียวเวยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เรียกคนมาทำอะไร เรียกมาดูว่าข้าลอบพบกับบุรุษชราที่อายุมากยิ่งกว่าบิดาของข้าระหว่างที่บิดาของข้ายังบาดเจ็บอยู่หรือ”
ใบหน้าของจีอู๋ซวงไม่มีความขบขันแม้แต่น้อย “ฝีปากช่างร้ายกาจนัก”
เฉียวเวยแสยะยิ้มน้อยๆ “ตอนพบท่านที่เรือนสี่ประสานก็รู้สึกแล้วว่าท่านไม่ชอบข้านัก เห็นแก่หน้าหมิงซิวกับลุงเยี่ยน ข้าจึงไม่เปิดโปง ท่านผู้เฒ่าคงไม่คิดว่าท่านเสแสร้งแนบเนียนมากมายนักจริงๆ กระมัง”
ไม่ผิด จีอู๋ซวงคิดเช่นนั้นจริงๆ ในใจเขาไม่ชอบหน้าสตรีคนนี้ แต่บนใบหน้าไม่ได้เผยร่องรอยออกไปแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมองออก
จีอู๋ซวงหัวเราะแกนๆ เอ่ยขึ้นว่า “แค่เรื่องที่เจ้าเคยทำกับนายน้อยก็เพียงพอให้นายน้อยฉีกร่างเจ้าเป็นแปดส่วนแล้ว แต่เจ้ายังมาทำให้นายน้อยลุ่มหลงจนมัวเมามิรู้ทิศทาง ช่างมีความสามารถจริงๆ”
เฉียวเวยเหนื่อยใจ คร้านจะทายปริศนากับเขา จึงถามอย่างตรงไปตรงมา “ท่านมาเยี่ยนเยือนมืดค่ำเพราะต้องการจะวิวาทะกับข้าหรือ ท่านไม่ชนะหรอก”
จีอู๋ซวงมุมปากกระตุก “มีคนจ่ายเงินหนึ่งพันตำลึง ซื้อชีวิตเจ้ากับบิดาของเจ้า”
เฉียวเวยได้ยินก็หัวเราะอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ดีเลวข้าก็เป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนเอินปั๋ว บิดาข้าเป็นนายท่านใหญ่แห่งจวนเอินปั๋ว ชีวิตของพวกเราสองคนกลับมีค่าเพียงหนึ่งพันตำลึง ผู้ใดกันขี้เหนียวถึงเพียงนี้”
จีอู๋ซวงหรี่ตาลงอย่างคลางแคลง “ไม่ต้องเสแสร้งทำตัวนิ่งสงบหรอก”
เฉียวเวยผายมือ “ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกคนอื่นไล่ฆ่าเสียหน่อย ท่านคิดว่าข้าจะหวาดกลัวมากมายนักหรือ”
จีอู๋ซงหน้าขรึม “เจ้าเคยได้ยินชื่อพรรคโลหิตพิฆาตหรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่เคย แล้วก็ไม่สนใจด้วย”
ถ้อยคำมากมายที่จีอู๋ซวงเตรียมมาเป็นอย่างดีติดอยู่ในลำคอจนเขาเกือบสำลักตาย!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากคนของพรรคโลหิตพิฆาตลงมือแล้ว จะไม่เหลือทางรอดอีกต่อไป” ภารกิจของพรรคโลหิตพิฆาตไม่เคยล้มเหลว หากเป็นคนที่ถูกพรรคโลหิตพิฆาตหมายหัว ไม่เคยมีผู้ใดรอดมาเห็นดวงตะวันของวันถัดไป นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมพรรคโลหิตพิฆาตเข้มงวดกับการรับงาน แต่กลับยังมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อพรรคโลหิตพิฆาตรับงานแล้ว คนผู้นั้นต้องตายอย่างแน่นอน
“อ้อ ที่แท้ท่านก็เป็นคนของพรรคโลหิตพิฆาต” เฉียวเวยจับความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเขาได้อย่างฉับไว
จีอู๋ซวงต้องนับถือสมองของนาง ความคิดฉับไวจนวางกับดักเขาได้ “ข้าชื่นชมเจ้ามาก แต่น่าเสียดาย ข้าถูกลิขิตให้มิอาจอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าได้ เจ้ารู้ตัวตนของข้าก็ไม่เป็นอะไร ต่อให้เจ้าพูดออกไปก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ”
เฉียวเวยท่าทางเฉยเมย “นั่นก็ใช่ ถ้าเช่นนั้นท่านอู๋ซวงตั้งใจมาบอกความลับกับข้า คิดจะให้ข้ารับปากเงื่อนไขอะไรของท่านเล่า”
จีอู๋ซวงเอ่ยอย่างจริงจัง “ขอเพียงเจ้าเลิกยุ่งกับนายน้อย ข้าก็จะไม่รับงานนี้ แล้วยังรับประกันกับเจ้าว่า ในอนาคตพรรคโลหิตพิฆาตจะไม่รับงานใดที่ต้องสังหารเจ้ารวมถึงบิดาของเจ้าอีก”
เฉียวเวยหัวเราะหยัน “เสียเวลามาตั้งนาน ท่านคิดจะมาตีชิงตามไฟนี่เอง ข้าไม่เข้าใจ ข้ากับหมิงซิวไปขัดขวางอะไรพวกท่าน เหตุใดพวกท่านแต่ละคน คนที่รู้ชาติกำเนิดของข้า คนที่ไม่รู้ชาติกำเนิดของข้า คนที่รู้ความจริงระหว่างข้ากับยิ่นอ๋อง และคนที่ไม่รู้ความจริงระหว่างข้ากับยิ่นอ๋อง ถึงวิ่งมาขัดขวางข้ากันหมด”
จีอู๋ซวงตอบอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่คู่ควร!”
เฉียวเวยโต้อย่างเรียบเฉย “ข้าคู่ควรหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะตัดสินใจ!”
จีอู๋ซวงมองนางอย่างเย็นชา “ตอบมาคำเดียว เจ้าจะตกลงหรือไม่”
เฉียวเวยสบสายตากดดันของเขา “ที่ว่าให้ข้าเลิกยุ่ง หมายถึงให้ข้าจากไปคนเดียวหรือพาลูกๆ จากไปด้วยเล่า”
“ลูกเป็นของนายน้อย เจ้าย่อมมิอาจพาไปด้วยได้ แล้วเพียงพอนหิมะของเจ้าก็ต้องทิ้งไว้ด้วย” จีอู๋ซวงตอบ
เฉียวเวยถาม “เหตุใดแม้แต่เพียงพอนหิมะของข้าก็ต้องทิ้งไว้ด้วย”
จีอู๋ซวงตอบโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “มันเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณหนูกับคุณชายน้อย ย่อมต้องทิ้งไว้ด้วย”
ปล้นกันหน้าด้านๆ เช่นนี้ เฉียวเวยได้เปิดหูเปิดตาแล้ว นางตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูก ข้าเป็นคนคลอดมา ข้าเป็นคนเลี้ยงมา ไม่ว่าผู้ใดก็มาพรากพวกเขาไปจากข้าไม่ได้ แล้วก็เพียงพอนหิมะของข้า ข้าเสี่ยงตายช่วยมันมาจากปากเสือ จะให้ข้ายกให้ท่านง่ายๆ หรือ ท่านฝันไปแล้ว!”
ดวงตาของจีอู๋ซวงฉายแววอันตรายวูบหนึ่ง “สุราคารวะเจ้าไม่ดื่ม อยากดื่มสุราลงทัณฑ์ใช่หรือไม่ เจ้ามีเวลาตัดสินใจหนึ่งจิบชา อย่าหวังว่าจะถ่วงเวลาจนนายน้อยมาพบเจ้า แล้วก็อย่าเสียแรงเปล่าคิดว่าเจ้าจะส่งข่าวออกไปได้ ข้ามีทางเลือกให้เจ้าเพียงสองทาง จะเก็บสัมภาระจากไปแต่โดยดี หรือจะรอคนมาตัดศีรษะ”
เฉียวเวยมองเขาอย่างไร้ความหวาดกลัว “ท่านคิดว่าข้าจะเชื่อท่านหรือ ต่อให้ข้าจากไปโดยดี ระหว่างทางก็ยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้นับไม่ถ้วน”
“เจ้าไม่เชื่อถือข้า” น้ำเสียงของจีอู๋ซวงเข้มขึ้น
เฉียวเวยว่าอย่างไม่สบอารมณณ์ “คนที่มาถึงก็จะมาพรากข้ากับลูกออกจากกัน เอาอะไรมาให้ข้าเชื่อถือ”
จีอู๋ซวงจ้องนาง “เจ้าจะเสียใจ เจ้าไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายอยากให้เจ้าตายมากเพียงใด”
เฉียวเวยยิ้มหยัน “ท่านไม่ต้องพูดว่าอีกฝ่ายๆ หรอก พูดมาตรงๆ เลยว่าจวนเอินปั๋ว นอกจากพวกเขา ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่ามีผู้ใดจะยอมเสียเงินหนึ่งพันตำลึงซื้อชีวิตข้ากับบิดา!”
ศัตรูของนางมีไม่น้อย แต่ศัตรูของบิดานางมีเพียงหนึ่งเดียว ใช้หัวแม่เท้าคิดก็เดาออกว่าเป็นฝีมือผู้ใด
ไม่ต้องพูดถึงว่าจีอู๋ซวงไม่น่าจะยอมปล่อยนางไป ครอบครัวนั้นก็น่าจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดีง่ายๆ จีอู๋ซวงเพียงรับปากว่าพรรคโลหิตพิฆาตจะไม่รับงานจากครอบครัวนั้น แต่พรรคอื่นในยุทธภพเล่า จีอู๋ซวงไม่ได้รับปากว่าจะปกป้องนางตลอดชีวิตเสียหน่อย นางจะต้องใช้ชีวิตหนีตายเช่นนี้ไปตลอดเลยหรืออย่างไร
จีอู๋ซวงลงจากเขาไปแล้ว
เงาดำร่างหนึ่งเหินลงมาจากท้องฟ้า คุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าเขา “หัวหน้าพรรค”
จีอู๋ซวงเอ่ยเสียงเย็นชา “กลับไปบอกหัวหน้าฐานบัญชาการของพวกเจ้า งานนี้ พรรคโลหิตพิฆาตรับแล้ว”