หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 143-2 กรรมตามสนอง สาแก่ใจยิ่งนัก
ตอนที่ 143-2 กรรมตามสนอง สาแก่ใจยิ่งนัก
การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเฉียวอวี้ซีกับเผ่าซยงหนีว์จึงถูกกำหนดลงเช่นนี้ กล่าวความจริงแล้ว ฮ่องเต้รู้สึกว่าผิดต่อรองหัวหน้าสำนักหมอหลวงเฉียวอยู่พอสมควร เขามีบุตรสาวเพียงคนเดียว แล้วยังเป็นคุณหนูผู้บอบบางอีก หากเดินทางไปเผ่าซยงหนีว์จริงก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตได้อย่างไร
ฝูกงกงปลอบโยนว่า “ท่านไม่ใช่เพิ่งแต่งตั้งเขาเป็นโหวหรือพ่ะย่ะค่ะ เขาสมควรรู้จักพอ”
ใช่แล้ว ข้าแต่งตั้งเขาเป็นโหวแล้ว ก็นับว่าเป็นการชดเชยอย่างหนึ่งแล้ว
ฮ่องเต้นึกยินดีที่ตนเองคาดการณ์เรื่องราวล่วงหน้าได้เก่งกาจยิ่งนัก!
หลังจากกำหนดตัวคนที่ต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แล้ว ต่อจากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการหารือเรื่องงานแต่ง ฮ่องเต้เรียกเจ้ากรมพิธีการกับขุนนางใหญ่คนสนิทสองสามคนมายังห้องทรงพระอักษร
“ขุนนางที่รักทั้งหลาย มีข้อเสนอดีๆ อันใดเกี่ยวกับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์หนนี้หรือไม่” ฮ่องเต้ถามอย่างไม่รีบร้อน
เสนาบดีแซ่หยางกล่าวขึ้นว่า “กระหม่อมคิดว่าฐานะของคุณหนูเฉียวยังสูงศักดิ์ไม่พอ ฝ่าบาทอาจลองเลียนแบบเฉิงตี้ รับนางเป็นธิดาบุญธรรม แต่งตั้งเป็นองค์หญิง แต่งงานไปเป็นตัวแทนราชวงศ์ต้าเหลียงของพวกเราอย่างสง่าผ่าเผย”
เฉิงตี้คือปู่ของฮ่องเต้ เขาก็เคยเลือกใช้วิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เพราะความสัมพันธ์แถวชายแดนตึงเครียด ยามนั้นเฉิงตี้ไม่มีธิดาที่อายุเหมาะสมจริงๆ จึงเลือกคุณหนูผู้มีคุณธรรมความสามารถเพียบพร้อมคนหนึ่งจากตระกูลขุนนาง แต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงเกาหยาง ส่งไปแต่งงานยังนอกด่าน
ฮ่องเต้ขานตอบแล้วพยักหน้า
เสนาบดีแซ่โจวกล่าวบ้างว่า “กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะสม เฉิงตี้รับนางเป็นธิดาบุญธรรมเพราะยามนั้นไม่มีองค์หญิงที่ตบแต่งได้จริงๆ แต่ยามนี้ราชวงศ์มีองค์หญิงอย่างน้อยสามพระองค์ที่อายุเหมาะสม ในเมื่อมีหงส์ตัวจริงอยู่แล้วเหตุใดจึงต้องใช้หงส์ตัวปลอมแทนที่ด้วยเล่า หากทำเช่นนี้ไม่แน่ว่ายิ่งกลบเกลื่อนกลับจะยิ่งเด่นชัด”
เสนาบดีหยางแค่นเสียงหยัน “ท่านกล่าวเช่นนี้ ไยมิใช่หมายความว่าตั้งแต่ต้นก็สมควรมอบองค์หญิงให้องค์ชายรอง”
เริ่มแรกก็เคยคิดจะส่งองค์หญิงไปจริงๆ แต่พระธิดาที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจพวกนั้น ฮ่องเต้รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรอจนถึงเผ่าซยงหนีว์ ระหว่างทางก็คงตายกลางทางอย่างเสียเปล่าแล้ว เวลาเช่นนี้ต้องเลือกคุณหนูที่ร่างกายแข็งแรงสักคนจากตระกูลขุนนาง
เสนาบดีโจวแค่นเสียงสวนว่า “ข้ามิได้กล่าวเช่นนั้น ข้าเพียงคิดว่าพวกเราเลือกผู้ใดมาก็ตบแต่งผู้นั้นไป มิจำเป็นต้องสร้างฐานะปลอม ไม่ต้องทำตัวน่ารังเกียจ!”
เสนาบดีหยางถลึงตา “เจ้าด่าผู้ใดน่ารังเกียจ!”
การโต้เถียงเช่นนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ฮ่องเต้เฉยชายิ่งนัก รอจนทั้งสองคนเถียงกันจนหน้าแดงคอเป็นเอ็น น้ำลายกระเซ็นทั่วห้องแล้ว ฮ่องเต้จึงเปิดปากอย่างไม่สะทกสะท้าน “อัครมหาเสนาบดีมีความเห็นเช่นไร”
เสนาบดีทั้งสองคนเงียบลงอย่างรวดเร็ว
เอะอะใส่ฮ่องเต้ได้เพราะฮ่องเต้ทรงเป็นเจ้าแผ่นดินที่มีเมตตา ไม่ทำอันใดกับพวกเขา แต่อัครมหาเสนาบดีคนนี้ไม่แน่
ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูคนนี้เคยเป็นคู่หมั้นของอัครมหาเสนาบดีมาก่อน ได้ยินมาว่าถอนหมั้นแล้ว แต่ไม่ทราบว่าคุยเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าเขา เขาจะกระอักกระอ่วนหรือไม่
สิ่งที่ทำให้ผู้คนผิดหวังก็คือ บนใบหน้าของจีหมิงซิวไม่มีความกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย เขาสุขุมจนเสมือนว่าไม่รู้จักคุณหนูเฉียวคนนี้สักนิด
สายตาของจีหมิงซิวหันไปมองฮ่องเต้อย่างนิ่งเฉย ภายในห้องเงียบจนได้ยินเสียงลมพัดหน้าหนังสือ เขาเอ่ยปากเนิบช้า “กระหม่อมคิดว่า องค์หญิงก็ดี คุณหนูก็ดีล้วนเป็นเพียงฉากหน้า ฟังดูดีแต่ไม่แน่ว่าจะใช้ประโยชน์ได้จริง หากต้องการแสดงความจริงใจต้องการปรองดองของต้าเหลียงให้โดดเด่นจริงๆ มอบสิ่งที่เผ่าซยงหนีว์ต้องการแก่พวกเขาก็พอแล้ว มิว่าจะแต่งผู้ใดไป ให้พวกเขาได้ผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริง การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์หนนี้ย่อมนับว่าสำเร็จลงด้วยดี”
ทุกคนพยักหน้า แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นเพียงพิธีการอย่างหนึ่ง จะทำเช่นไรให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์จึงจะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ทั้งสองแคว้นกลับมาปรองดองกัน
เสนาบดีหยางกล่าวว่า “เผ่าซยงหนีว์ยากจน กระหม่อมได้ยินมาว่าราชสำนักของพวกเขายังมีสมบัติสู้จวนของขุนนางขั้นสองคนหนึ่งของต้าเหลียงไม่ได้ มิสู้มอบเงินทองของมีค่าเป็นสินเดิมให้มากสักหน่อย”
เสนาบดีโจวกล่าวว่า “เผ่าซยงหนีว์เกิดโรคระบาด กำลังอยู่ในช่วงที่ขาดแคลนยา นำยาที่ใช้ในยามเร่งด่วนจำนวนหนึ่งติดไปด้วยก็ได้ แล้วก็ตอนนี้ใกล้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว กระหม่อมได้ยินว่าฤดูหนาวของเผ่าซยงหนีว์ยากลำบากยิ่งนัก ไม่มีทุ่งหญ้า วัวแกะล้วนหิวตาย หากติดข้าวของสำหรับข้ามผ่านฤดูหนาวไปอีกก็น่าจะดีที่สุด”
ในจุดนี้ เสนาบดีทั้งสองคนกลับเห็นพ้องต้องกัน
เจ้ากรมพิธีการไม่ส่งเสียงสักแอะ เขาจดบันทึกอยู่เงียบๆ
ทันใดนั้นจีหมิงซิวก็เอ่ยขึ้นว่า “มอบปลาให้คน มิสู้สอนคนตกปลา สิ่งของย่อมมีสักวันหนึ่งที่ใช้หมด มิสู้มอบสิ่งที่พวกเขาจะพัฒนาต่อไปได้ให้สักหน่อย”
“ตัวอย่างเช่น” ฮ่องเต้ตรัสถาม
จีหมิงซิวตอบว่า “ตัวอย่างเช่นความรู้ในการทำการเกษตร”
ฮ่องเต้ลูบคาง
เสนาบดีโจวหัวเราะ “อัครมหาเสนาบดีล้อเล่นแล้วกระมัง ดินแดนของเผ่าซยงหนีว์ไม่เป็นทุ่งหญ้าก็เป็นทะเลทรายหินกรวด ไม่ใช่ทะเลทรายหินกรวดก็เป็นทะเลทราย จะทำการเกษตรได้อย่างไร น่ากลัวว่าปลูกพืชได้ไม่กี่วันก็คงแห้งตายหมด”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างสบายๆ “เรื่องที่ท่านเสนาบดีทำมิได้ ก็คิดว่าผู้อื่นทำมิได้ด้วยหรือ นี่ต่างอันใดกับกบก้นบ่อ”
เสนาบดีโจวสะอึก หน้าแดง
ฮ่องเต้ตรัสเหมือนขบคิดบางสิ่ง “เผ่าซยงหนีว์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดทำการเกษตร เพียงแต่ดินของที่นั่นไม่เหมาะจะปลูกพืชนัก ปลูกพืชพรรณไม่ขึ้นสักเท่าใด”
จีหมิงซิวเอ่ยต่ออย่างสบายๆ “กระหม่อมได้ยินในตลาดเล่ากันว่าหมู่บ้านใกล้ๆ นี้มียอดคนผู้หนึ่ง ทำให้ที่ดินร้างในระยะสิบลี้แปดหมู่บ้านปลูกพืชได้ ฮ่องเต้มิสู้ลองส่งคนไปสืบถามดู หากเรื่องนี้เป็นความจริง ถ้าเช่นนั้นก็ให้คุณหนูเฉียวเดินทางไปหมู่บ้านชนบทเรียนรู้วิชาการเกษตร คุณหนูผู้ยอมลดศักดิ์ศรี มิเกรงความลำบาก ร่ำเรียนวิชาการเกษตรด้วยตนเองเพื่อเผ่าซยงหนีว์ จะต้องได้รับความนับถือจากราชสำนักเผ่าซยงหนีว์กับความรักจากประชาชนเผ่าซยงหนีว์เป็นแน่ ทำเช่นนี้จึงจะเป็นบุญของคุณหนูเฉียว เป็นบุญของเผ่าซยงหนีว์ แล้วก็เป็นบุญต่อต้าเหลียงของพวกเรา”
คำพูดนี้หาช่องโหว่ไม่เจอแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ถูกกล่อมจนหวั่นไหวในทันใด เรียกเจ้ากรมคลังกับเจ้ากรมฉางหลวงมาในเวลากลางคืนแล้วแจกจ่ายหน้าที่ให้
เจ้ากรมคลังลงมือรวดเร็วนัก วันเดียวก็สืบพบว่าผู้บุกเบิกที่ดินร้างอยู่ในหมู่บ้านซีหนิว วันที่สามตะวันยังมิทันทอแสง เจ้ากรมคลังกับเจ้ากรมฉางหลวงก็เดินทางมายังหมู่บ้านซีหนิวด้วยกัน
ภายในหมู่บ้านไม่มีขุนนางมาเยือนนานแล้ว หนก่อนก็คือตอนที่จิ่งอวิ๋นสอบได้เป็นทั่นฮวาน้อยในการสอบเสินถง ขุนนางคนหนึ่งเดินทางมาแจ้งข่าวดีด้วยตนเอง หัวหน้าหมู่บ้านจำได้ว่ายามนั้นทุกคนฮือฮายิ่งนัก คนทั้งหมู่บ้านล้วนวิ่งมามุงดู
หนนี้ก็ไม่เว้น ตั้งแต่ตอนที่ใต้เท้าผู้สวมชุดขุนนางสีดำสองคนก้าวลงมาจากรถม้า ชาวบ้านทั้งหลายก็ล้อมเข้ามาอย่างสงสัยใคร่รู้ราวกับกำลังชมละครลิง
เจ้ากรมคลังปัดแขนเสื้อกว้าง เขามาอยางรีบร้อนเล็กน้อยจึงยังไม่ทันได้แจ้งนายอำเภอ พวกลูกน้องไม่รู้ทางจึงถามลุงหน้าตาซื่อคนหนึ่ง “ท่านลุง หัวหน้าหมู่บ้านของพวกท่านอยู่หรือไม่”
ตาเฒ่าซวนจื่อจู่ๆ ถูกถามก็ตกใจ “อยู่ อยู่! หัวหน้าหมู่บ้าน! หัวหน้าหมู่บ้าน! ใต้เท้ามาหาท่านแหนะ!”
เขาแหกปากตะโกนไม่กี่คำ เจ้ากรมคลังกับเจ้ากรงฉางหลวงก็หูอื้อไปทันใด
หัวหน้าหมู่บ้านกำลังทำงานอยู่ในที่นา เมื่อได้ยินเสียงเรียกของตาเฒ่าซวนจื่อก็ทิ้งจอบวิ่งมาอย่างบ้าคลั่ง “ใต้เท้าอะไร ใต้เท้าคนใด นายอำเภอใช่หรือไม่”
เจ้ากรมคลังมุ่นคิ้ว
หัวหน้าหมู่บ้านมองการแต่งกายของทั้งสองคน ไม่เหมือนขุนนางในศาลาว่าการอำเภอนะ แล้วดูเหมือนจะมีอำนาจมากกว่าขุนนางที่มาแจ้งข่าวดีคนนั้นเมื่อหนก่อนมากอีกด้วย หัวหน้าหมู่บ้านรีบเชิญทั้งสองคนเข้ามาในบ้านของตน แล้วเอ่ยกับชาวบ้านที่ตามมาดูเรื่องสนุกเหล่านั้น “ดูอะไรกัน ไม่ไปทำนาหรืออย่างไร แยกย้ายๆ! แยกย้ายได้แล้ว!”
ชาวบ้านทั้งหลายไหนเลยจะยอมแยกย้าย พวกเขาต่างออกันอยู่ที่ประตูบ้าน มองเข้าไปด้านในอย่างอยากรู้อยากเห็น
ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านชงชาสองถ้วยมาด้วยความกังวลและตื่นเต้น “ใต้เท้าทั้งสองเชิญดื่ม นี่เป็นหลงจิ่งที่เพิ่งเก็บปีนี้”
ทั้งสองคนแค่นหัวเราะในใจ ปีนี้แล้งหนัก บ้านข้ายังไม่มีหลงจิ่งให้ดื่ม เจ้าหัวหน้าหมู่บ้านตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่ง จะเอาของดีเช่นนี้มาได้…
พอจิบไปคำเดียว
สมองก็นิ่งงัน
หลงจิ่งจริงเสียด้วย!
หัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้ เอาหลงจิ่งมาได้เช่นไรกัน!
“ฮ่ะๆ” หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มเซ่อ เสี่ยวเฉียวมอบหลงจิ่งให้เขามาสองชั่ง เขาเพิ่งดื่มไปได้นิดเดียวเท่านั้น
เจ้ากรมคลังดื่มไปครึ่งถ้วย ก็วางถ้วยลงด้วยอาการสำรวม
ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านรีบมาเติมให้เต็ม
รินชาจนเต็มไม่ต่างจากสุรา กล่าวได้ว่าซื่อยิ่งนัก!
เจ้ากรมคลังดื่มไปครึ่งถ้วยอย่างไว้หน้าแล้ววางลงบนโต๊ะอีก ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านก็รินจนเต็มอีกหน
เจ้ากรมคลังพอใจมาก พริบตาเดียวความประทับใจที่มีต่อหมู่บ้านแห่งนี้ก็พุ่งสูง!
“ใต้เท้าทั้งสองคือ…” หัวหน้าหมู่บ้านถามยิ้มๆ
เจ้ากรมคลังแนะนำฐานะของตนเองกับเจ้ากรมฉางหลวง หัวหน้าหมู่บ้านตกใจจนก้นไถลลื่นบนเก้าอี้
คุณพระ ขุนนางใหญ่จากเมืองหลวงนี่!
เจ้ากรมคลังเอ่ยขึ้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “ข้าได้ยินว่าหมู่บ้านของพวกเจ้ามียอดคนผู้หนึ่ง ทำให้ที่นาร้างปลูกพืชขึ้นได้ มีเรื่องนี้จริงหรือไม่”
หัวหน้าหมู่บ้านสะกดความตื่นเต้นในหัวใจ แล้วกลืนน้ำลายคำหนึ่งก่อนตอบว่า “มีขอรับๆ อยู่บนเขา ใต้เท้าเจ้ากรมต้องการพบหรือไม่ขอรับ”
เจ้ากรมคลังตอบว่า “ยังไม่ต้องรีบร้อน เจ้าพาข้ากับเจ้ากรมฉางหลวงไปดูที่นาที่เขาปลูกก่อน”
“ขอรับ!”
หัวหน้าหมู่บ้านนำใต้เท้าทั้งสองไปยังไร่ข้าวฟ่างหวานผืนนั้นทางตะวันออกของหมู่บ้าน เวลาผ่านไปสามเดือนแล้ว ข้าวฟ่างหวานใกล้จะโตเต็มที่ มองจากไกลๆ เขียวชอุ่มเหมือนกับโอเอซิสน้อยอันเต็มไปด้วยชีวิต
ก่อนหน้านี้เจ้ากรมฉางหลวงเรียกหาบันทึกภูมิประเทศแถบนี้มาดูแล้ว ที่แห่งนี้เป็นที่ดินร้างที่ปลูกสิ่งใดไม่ขึ้นมาสิบกว่าเกือบยี่สิบปีจริงๆ
เจ้ากรมคลังไม่ค่อยเข้าใจการทำไร่ทำนานักจึงหันไปมองเจ้ากรมฉางหลวง
เจ้ากรมฉางหลวงมองคลองส่งน้ำใกล้ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาคำหนึ่ง “มิน่าจึงกลายเป็นที่ร้าง”
หัวหน้าหมู่บ้านตกตะลึง “เอ๋! ตอนนั้นเสี่ยวเฉียวก็บอกเช่นนี้!”
เจ้ากรมฉางหลวงทดสอบดินดูก่อน เสร็จแล้วก็พยักหน้า จากนั้นจึงสำรวจดูข้าวฟ่างหวาน “ลองกินสักต้นได้หรือไม่”
“ได้แน่นอนขอรับ!” หัวหน้าหมู่บ้านหักข้าวฟ่างหวานต้นหนึ่งให้เจ้ากรมฉางหลวง
ข้าวฟ่างหวานกับต้นอ้อยมีวิธีกินเหมือนกัน เจ้ากรมคลังมองเจ้ากรมฉางหลวงผู้วางตัวสง่างามสูงส่งมาตลอดกัดเปลือกข่าวฟ่างทิ้งแล้วเคี้ยวเนื้อข้าวฟ่างด้านในอย่างไร้ความประณีต
“เป็นเช่นไร” เจ้ากรมคลังถาม
เจ้ากรงฉางหลวงพยักหน้า “หวาน”
ใช้ที่ดินร้างปลูกข้าวฟ่างที่หวานเช่นนี้ออกมาได้ คนผู้นี้มีความสามารถอยู่จริงๆ
“มีที่ดินร้างแปลงอื่นอีกหรือไม่” เจ้ากรมฉางหลวงถาม
หัวหน้าหมู่บ้านครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ในหมู่บ้านของพวกเรามีแต่แปลงนี้ หมู่บ้านข้างๆ ยังมีอีกสองสามแปลง”
“เขาเป็นคนปลูกทั้งหมดเลยหรือ” เจ้ากรมฉางหลวงคิดว่าเป็นบุรุษคนหนึ่ง
หัวหน้าหมู่บ้านส่ายศีรษะ “เป็นคนอื่นปลูกตามวิธีที่บอกมาขอรับ ใต้เท้าต้องการจะไปดูสักหน่อยหรือไม่”
แน่นอนว่าต้องไป
หัวหน้าหมู่บ้านพาใต้เท้าทั้งสองคนไปตระเวนทั่วหมู่บ้านด้านข้างรอบหนึ่ง ที่ดินร้างฝั่งนั้นยังอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงดิน พืชที่ปลูกอยู่ไม่ใช่พืชผลผลิตทางการเกษตร แต่เป็นต้นเก๋ากี้ที่ช่วยปรับปรุงดินบริเวณโดยรอบ พวกมันล้วนเติบโตได้ดีอย่างยิ่ง
เจ้ากรมฉางหลวงเกิดความรู้สึกอยากจะผลักดันคนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ปีนี้เขาอายุเท่าใดแล้ว เคยเรียนหนังสือหรือเปล่า ฐานะครอบครัวเป็นเช่นไร”
หัวหน้าหมู่บ้านยิ้ม “นางอายุเท่าใดข้าไม่แน่ใจ ลูกของนางอายุห้าขวบแล้ว เคยเรียนหนังสือ รู้อักษรอยู่ ฐานะทางบ้านหรือ…ก็เป็น…นางเป็นแม่ม่ายยังสาวคนหนึ่ง”
ผู้หญิงหรือ!
เจ้ากรมคลังกับเจ้ากรมฉางหลวงตกตะลึง
ไม่นานเจ้ากรมฉางหลวงก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมา เป็นสตรี ถ้าเช่นนั้นก็เข้าราชสำนักเป็นขุนนางไม่ได้แล้ว
เจ้ากรมคลังกลับรู้สึกว่าดียิ่งนัก อีกฝ่ายเป็นแม่ม่ายคนหนึ่ง ย่อมแสดงว่าในบ้านนางไม่มีผู้ชาย หากเป็นเช่นนี้ คุณหนูเฉียวก็มาร่ำเรียนในบ้านของนางได้อย่างวางใจ ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องชื่อเสียงความบริสุทธิ์แล้ว
ใต้เท้าทั้งสองกล่าวว่าอยากพบหน้าเฉียวเวย หัวหน้าหมู่บ้านจึงขึ้นเขาไปเชิญ แต่บังเอิญว่าเฉียวเวยเดินทางไปคุยธุรกิจกับเถ้าแก่หรง ทั้งสองคนรอจนถึงบ่ายก็ยังไม่เห็นเฉียวเวยกลับมา จึงเก็บข้าวของ (ข้าวฟ่างฟ่อนใหญ่) กลับไป
ตกกลางคืนหัวหน้าหมู่บ้านขึ้นมาที่คฤหาสน์อีกหน แล้วแจ้งเฉียวเวยว่าราชสำนักจะส่งคนมาเรียนวิชาการเกษตรที่บ้านของนาง แล้วก็ถือโอกาสนำเงินค่าข้าวฟ่างมาให้เฉียวเวยด้วย
บ่ายวันต่อมาเฉียวเวยก็ได้พบคนที่บอกว่าจะมาเรียนวิชาการเกษตร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีนางหนึ่ง แล้วยังเป็นสตรีที่เคยล่วงเกินนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกด้วย
ฮ่า นี่น่าสนุกแล้ว!
เฉียวเวยยกสองแขนขึ้นกอดอก แล้วมองนางพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม “ที่แท้ก็คุณหนูเฉียวนี่เอง ไม่พบกันนาน คุณหนูเฉียวตั้งแต่จากกันสบายดีหรือไม่”
เฉียวอวี้ซีอึ้งงัน “เจ้าเองหรือ เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”
เฉียวเวยตอบอย่างขบขัน “นี่เป็นบ้านข้า ข้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วจะไปอยู่ที่ใดเล่า”
“บ้านเจ้าหรือ เจ้า…เจ้า…เจ้า…” เฉียวอวี้ซีชี้หน้านาง ร่างกายสั่นเทา “เจ้าคือคนที่…บุกเบิกที่ดินรกร้างคนนั้นหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ข้าเอง ถ้าเช่นนั้นคุณหนูเฉียว เจ้าก็เป็นอืม…อะไรน้า คนที่มาร่ำเรียนวิชาการเกษตรคนนั้นสินะ”
ลมหายใจของเฉียวอวี้ซีหยุดกึก แต่เดิมนางก็ไม่อยากเรียนวิชาการเกษตรอะไรนี่อยู่แล้ว นางเป็นคุณหนูแห่งจวนเอินปั๋ว นางเป็นคุณหนูตระกูลผู้ดี ไฉนจะมาทำงานสกปรกและเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้เหมือนหญิงสาวบ้านนอกในชนบทคนหนึ่ง ยามนี้เมื่อได้ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ม่ายสาวผู้มีแค้นแย่งชิงสามีของตนไปอีก ถึงนางต้องตาย…ก็ไม่ขออยู่ที่นี่ต่อแล้ว!
นางถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างชิงชัง แล้วสะบัดหน้าหมายจะเดินจากไป!
มัวมัวหน้าตาดุร้ายสองคนขวางนางไว้อย่างไม่ปราณีแม้แต่น้อย
ฟางมัวมัวลากเสียงยาว “ฝ่าบาทมีรับสั่ง คุณหนูเฉียวต้องอยู่ที่นี่ร่ำเรียนวิชาการเกษตร จนกระทั่งบรรลุวิชา”
เฉียวอวี้ซีเอ่ยอย่างกล้ำกลืน “ข้าไม่อยากเรียนกับนาง นางมีความแค้นกับข้า นางต้องทำร้ายข้าแน่!”
เฉียวเวยทำหน้าไม่รู้เรื่อง “คุณหนูเฉียวกล่าวอันใดกัน ข้าไม่มีแค้นกับเจ้า ข้าจะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร เจ้าคือคนที่ฝ่าบาทส่งมาร่ำเรียนวิชาการเกษตร หากข้ากลั่นแกล้งเจ้า ฝ่าบาทไยไม่ตำหนิข้าด้วย อีกอย่างหนึ่ง ข้างกายเจ้าไม่ใช่ยังมีมัวมัวสองคนตามมาคอยดูด้วยหรือ มีพวกนางจับตาดูอยู่ คงไม่ปล่อยให้เจ้าถูกผู้อื่นรังแกหรอกกระมัง”
“ฟางมัวมัว…ซุนมัวมัว…” เฉียวอวี้ซีมองทั้งสองคนอย่างวิงวอน
น่าเสียดายทั้งสองคนล้วนเป็นคนในวังที่ฮ่องเต้ส่งมาด้วยตนเองจึงไม่ฟังคำสั่งจากนาง
ฟางมัวมัวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณหนูเฉียวว่าง่ายเข้าไปเถิด นับจากวันนี้เป็นต้นไป ถ่อมตัวร่ำเรียนวิชาการเกษตรจากฮูหยินท่านนี้เสีย ถึงเวลาเดินทางไปยังเผ่าซยงหนีว์ ท่านจะได้สร้างบุญกุศลแก่ประชาชนในแผ่นดิน เป็นเกียรติยศให้แก่ราชวงศ์ต้าเหลียงของพวกเรา”
ความคิด “ร้ายกาจ” นี่ ผู้ใดเป็นคนคิดกัน ส่งคุณหนูสูงศักดิ์ผู้บอบบางคนหนึ่งมายังสถานที่ลำบากเช่นนี้เพื่อมากราบอาจารย์ร่ำเรียนวิชากับแม่ม่ายที่นางดูแคลนมาตลอดคนหนึ่ง นี่ไม่ใช่การตบหน้าเฉียวอวี้ซีดัง ป้าบ! ป้าบ! ป้าบ! หรอกหรือ
มุมปากของเฉียวเวยยกโค้ง แม้ถูกตนเองกดลงไปแล้วก็ยังยกโค้งขึ้นมาอีกหน
ฟางมัวมัวหันมามองเฉียวเวย “ฝ่าบาทมีพระดำรัสฝากให้บ่าวนำมาถ่ายทอดแก่ฮูหยิน”
เฉียวเวยยิ้มละไมตอบว่า “เชิญฟางมัวมัวพูด” เมื่อครู่เฉียวอวี้ซีเรียกทั้งสองคนแล้ว เฉียวเวยจึงรู้ว่าผู้ใดคือฟางมัวมัว ผู้ใดคือซุนมัวมัว
“ฝ่าบาทขอให้ฮูหยินสั่งสอนคุณหนูเฉียวให้ดี ทุกสิ่งเพื่อนำความผาสุกมาแก่ราษฎรแห่งเผ่าซยงหนีว์ ห้ามทำอย่างขอไปทีเป็นอันขาด” ฟางมัวมัวพูดพลางเดินมาข้างกายเฉียวเวย แล้วใช้เสียงที่ได้ยินเพียงสองคนบอกว่า “ใต้เท้าให้บ่าวนำความประโยคหนึ่งมาบอกแก่ฮูหยิน จะจัดการเช่นไร ตามแต่ฮูหยินจะพอใจ”
เฉียวเวยย่อมฟังออกว่าใต้เท้าที่นางเอ่ยถึงคือผู้ใด ดวงตากะพริบปริบๆ “นี่เป็นความคิดของใต้เท้าของท่านหรือ”
ฟางมัวมัวยิ้มโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “ของขวัญชิ้นนี้ หวังว่าฮูหยินจะชอบ”
ชอบ ชอบมากยิ่งนักเลยเชียว
เฉียวเวยยิ้มตอบอย่างสบายๆ “มัวมัวโปรดวางใจ ข้าจะจดจำคำสั่งของฝ่าบาทให้ขึ้นใจ จะสั่งสอนคุณหนูเฉียวอย่างไม่หมกเม็ดแม้แต่น้อย มัวมัวทั้งสองเชิญเข้าไปในบ้านของข้าก่อนเถิด ข้าจะจัดการที่พักให้มัวมัว”
ฟางมัวมัวกับซุนมัวมัวหิ้วสัมภาระเข้าไปในบ้าน
เฉียวอวี้ซีจะเดินตามเข้าไป
เฉียวเวยหันกลับมามองนาง “เดี๋ยวก่อน เจ้าไม่ได้พักที่นี่”
เฉียวอวี้ซีถลึงตาใส่นาง “ถ้าอย่างนั้นข้าพักที่ไหน”
“ปี้เอ๋อร์!”
“ฮูหยิน ท่านเรียกข้าหรือ” ปี้เอ๋อร์เดินออกมาจากโรงงาน
เฉียวอวี้ซีเห็นนาง แววตาก็ชะงันทันควัน “ปี้เอ๋อร์?”
ปี้เอ๋อร์นิ่งอึ้ง “คุณ คุณหนูใหญ่”
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เฉียวอวี้ซีไม่ทราบเรื่องที่สวีซื่อส่งปี้เอ๋อร์มาเป็นสายลับข้างตัวเฉียวเวย ความจริงแล้ว นางไม่เพียงไม่รู้เรื่องราวเบื้องหลังของปี้เอ๋อร์ แม้แต่เรื่องที่เฉียวเวยเป็นพี่สาวเรือนใหญ่ที่ถูกขับออกจากตระกูลคนนั้นของนาง นางก็ไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
สวีซื่อปกป้องบุตรสาวคนนี้ดีเหลือเกิน เรื่องสกปรกใดล้วนมิต้องการให้นางรับรู้
แต่บางครั้งการปกป้องมากเกินไปก็กลายเป็นภาระประเภทหนึ่ง
ปี้เอ๋อร์ตั้งสติ ยามนี้นางไม่ใช่คนของจวนเอินปั๋วแล้ว ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอีกฝ่ายอีกต่อไป ปี้เอ๋อร์เรียกความมั่นใจกลับคืนมา แล้วยืดร่างน้อยๆ ให้เหยียดตรง “ตอนนี้ข้าเป็นสาวใช้ของฮูหยินแล้ว”
เฉียวอวี้ซีมุ่นคิ้ว “ฮูหยินหรือ เจ้าเรียกเสียคล่องปากเชียวนะ! นางคนทรยศนาย!”
ปี้เอ๋อร์ไม่สนใจนาง หันกลับมองเฉียวเวย “ฮูหยิน มีสิ่งใดต้องการสั่งเจ้าคะ”
เฉียวเวยพอใจกับท่าทีของปี้เอ๋อร์อย่างยิ่ง นางยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “จัดห้องให้คุณหนูเฉียวห้องหนึ่ง นางอาจต้องอยู่บนเขาเป็นเวลานาน จำไว้ว่าต้องจัดห้องที่ดีสักหน่อยให้นาง”
เฉียวเวยเน้นคำว่าดีคำนั้น ปี้เอ๋อร์เข้าใจความนัย “เจ้าค่ะ ฮูหยินโปรดวางใจ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ คุณหนูเฉียว เชิญตามข้ามาเถิด”
สุนัขหน้าย่นน่าเวทนาที่คอยส่ายหางยามอยู่ต่อหน้าตนเอง จู่ๆ ก็ยืนสองขาทำตัวเป็นมนุษย์ ช่างทำให้คนไม่คุ้นชินจริงๆ!
เฉียวอวี้ซีกวาดสายตามองปี้เอ๋อร์อย่างเย็นชา “เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”
“ไปห้องพักของท่านสิ” ปี้เอ๋อร์นำเฉียวอวี้ซีเดินไปยังเรือนหลังเล็ก
เฉียวอวี้ซีมองคฤหาสน์หลังโอ่อ่าใหญ่โต “เจ้าเดินผิดทางแล้วหรือไม่ ข้าน่าจะพักที่นั่น”
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “ที่นั่นมีเพียงสี่ห้อง ฮูหยินกับลูกพักห้องหนึ่ง นายท่านห้องหนึ่ง มัวมัวทั้งสองอีกคนละห้อง ไม่มีห้องเหลือให้คุณหนูเฉียวแล้ว คุณหนูเฉียวพักเรือนเล็กเถิด”
“เรือน เรือนเล็กหรือ” เฉียวอวี้ซีมาถึงเรือนเล็กที่ว่า หากพูดกันอย่างเป็นธรรม เรือนแห่งนี้วิจิตรประณีตกว่าเรือนบ่าวรับใช้หลังใดในจวนเอินปั๋วแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณหนูสูงศักดิ์ผู้อาศัยอยู่ห้องหองดงามจนเคยชิน มันย่อมไม่มีสิ่งใดน่าดู “นี่ นี่มันสถานที่อัปรีย์อะไรกัน!”
ปี้เอ๋อร์พานางเดินไปจนสุด “ห้องนี้เป็นห้องของชีเหนียงกับอากุ้ย ห้องนี้เป็นห้องของข้า กลางวันพวกเราล้วนอยู่ในโรงงาน กลางคืนถึงจะลับมา หากคุณหนูเฉียวมีสิ่งใดต้องการก็มาหาพวกเราได้”
เฉียวอวี้ซีเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าจะให้ข้าอยู่ในเรือนที่คนรับใช้อยู่หรือ”
ปี้เอ๋อร์ตอบอย่างเฉยชา “ในคฤหาสน์ของฮูหยินไม่มีการแบ่งนายบ่าว”
เฉียวอวี้ซีกอดสัมภาระในมือแน่น “ข้าไม่อยู่ที่นี่! ข้าจะพักที่คฤหาสน์!”
ปี้เอ๋อร์ยิ้ม “คุณหนูเฉียวทำตามอย่างว่าง่ายเถิด คุณหนูเฉียวมาที่นี่เพื่อร่ำเรียน มิใช่มาเป็นคุณหนูใหญ่เสียหน่อย อยู่ที่ใดมิใช่เหมือนกันหรอกหรือ”
ระหว่างที่พูด ปี้เอ๋อร์ก็เปิดประตูห้อง นี่เป็นห้องชั้นดีอย่างยิ่งของอย่างยิ่งห้องหนึ่ง คับแคบ รับแดดจากทิศตะวันตก แต่เดิมทำเป็นห้องเก็บเครื่องมือ ต่อมาอากุ้ยทำเพิงเล็กๆ ไว้เก็บเครื่องมือนอกโรงงานด้วยตนเอง ที่แห่งนี้จึงว่างไว้ “คุณหนูเฉียว เชิญ”
เฉียวอวี้ซีมองห้องมืดสนิทแห่งนั้น แล้วปิดจมูกด้วยความรังเกียจ “กลิ่นอะไร เหม็นจะตายแล้ว!”
ปี้เอ๋อร์เดินเข้ามาในห้อง แล้วเปิดหน้าต่าง “ไม่มีกลิ่นอะไรนะ”
ไม่มีจริงๆ เพียงแต่เฉียวอวี้ซีใช้กำยานหอมจนชิน ภายในห้องล้วนมีเครื่องหอมสูงค่าส่งกลิ่นหอมฟุ้ง เมื่อเปรียบเทียบกันแวบแรก จึงดูเหมือนห้องแห่งนี้กลิ่นไม่ดี
มาร่ำเรียนวิชาการเกษตรในที่ดักดานเช่นนี้ก็แย่พอแล้ว ยังจะต้องมาอยู่ในที่โกโรโกโสเช่นนี้อีก ทนไม่ไหวจริงๆ!
เฉียวอวี้ซีวิ่งไปทางคฤหาสน์ด้วยความโมโห เฉียวเวยรดน้ำกุหลาบอยู่ในสวนด้านนอกพอดี “เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วหรือ”
เฉียวอวี้ซีสั่ง “ข้าจะไม่อยู่ทางนั้น! เจ้าหาห้องมาให้ข้า!”
เฉียเวยรดน้ำด้วยท่าทางสง่างาม “ข้าจะไปหามาให้เจ้าได้อย่างไรเล่า คุณหนูใหญ่ ปี้เอ๋อร์ไม่ได้บอกหรือว่าบ้านข้าฝั่งนี้มีเพียงสี่ห้อง มีคนอยู่เต็มแล้ว หากเจ้าอยากจะย้ายเข้ามาจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ เจ้าไปกล่อมมัวมัวสองคนนั้นดู ให้พวกนางสองคนไปนอนเบียดกันห้องหนึ่ง แล้วเอาอีกห้องหนึ่งมาให้เจ้า”
เฉียวอวี้ซีไม่กล้าเอาแต่ใจต่อหน้ามัวมัว นางกำหมัด สั่งอีกหน “เจ้าย้ายออกมา หรือไม่ก็ให้บิดาของเจ้าย้ายออกมา”
“เรื่องอะไรข้าต้องทำ” เฉียวเวยถามอย่างขบขัน
เฉียวอวี้ซีเอ่ยย้ำทีละคำ “เพราะข้าเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนเอินปั๋ว! บิดาข้าได้รับแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นท่านโหว!”
เฉียวเวยหัวเราะพรืด “ถ้าเช่นนั้นคุณหนูใหญ่ ในเมื่อบิดาของเจ้าร้ายกาจเช่นนั้น เหตุใดเจ้ายังถูกบีบให้มาอยู่ที่นี่เล่า มีความสามารถมาโหวกเหวกโวยวายต่อหน้าข้า เหตุใดจึงไม่มีความสามารถทำให้บิดาของเจ้าพาเจ้ากลับไป”
เฉียวอวี้ซีเดือดดาลเต็มอก นางยกฝ่ามือขึ้นหมายจะตบเฉียวเวย!
เฉียวเวยจับข้อมือนางไว้ได้อย่างง่ายดาย “ฮ่องเต้ออกพระราชโองการให้เจ้ามาเรียนวิชาการเกษตรกับข้าที่นี่ พูดอีกอย่างก็คือตอนนี้ข้าคือาจารย์ของเจ้า แม้แต่อาจารย์ก็ยังกล้าเงื้อมือตี ข้าว่าเจ้าปีนเกลียวเกินไปแล้ว ถอนวัชพืชในสวนซะ หากถอนไม่หมด ห้ามกินข้าว!”