หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 144-1 ชิงสมบัติคืน (ต้น)
ตอนที่ 144-1 ชิงสมบัติคืน (ต้น)
เฉียวอวี้ซีผู้คาบช้อนทองเติบโตมาย่อมไม่เชื่อฟังแต่โดยง่าย อย่าพูดถึงถอนหญ้าด้วยตนเอง แม้แต่มองผู้อื่นถอนหญ้า นางยังไม่ออยากจะมอง!
ไม่กินก็ไม่กินสิ นางไม่เชื่อหรอกว่าแม่ม่ายสาวคนนี้จะกล้าปล่อยให้นางหิวตายจริงๆ!
เฉียวอวี้ซีกลับไปยังเรือนเล็กอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนหน้านี้ตอนปี้เอ๋อร์แนะนำนางไม่ได้สนใจ ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าห้องไหนเป็นของตนเอง
งานตอนเช้าในโรงงานทำเสร็จไปพอประมาณแล้ว ชีเหนียงจึงเตรียมตัวกลับเรือนมาทานอาหารกลางวันก่อน แต่แล้วก็เห็นแม่นางแปลกหน้าคนหนึ่งเดินวนอยู่หน้าประตูห้องของนาง แม่นางคนนั้นแต่งตัวงดงามนัก บนศีรษะประดับปิ่นประณีตราคาแพง ชีเหนียงตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ คิดว่านางเป็นแขกสักคนที่มาคุยเรื่องค้าขายกับฮูหยิน แต่มาคุยเรื่องค้าขายเหตุใดจึงส่งแม่นางที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งมา
ชีเหนียงงุนงง แต่ก็ยังก้าวเข้าไปทักทาย “แม่นาง ท่านมาหาผู้ใดหรือ”
เฉียวอวี้ซีมองสำรวจนางจากหัวจรดเท้า ชีเหนียงสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผูกผ้ากันเปื้อนสกปรกผืนหนึ่ง ในดวงตาของเฉียวอวี้ซีฉายแววรังเกียจวูบหนึ่ง “เจ้าเป็นผู้ใด”
ชีเหนียงไม่ได้มองไม่เห็นแววตารังเกียจในดวงตาของนาง แต่ชีเหนียงเป็นบ่าวย่อมตระหนักในความเป็นบ่าว ไม่รู้สึกว่าการถูกคุณหนูสูงศักดิ์คนหนึ่งรังเกียจเป็นเรื่องยากจะรับได้มากมายนัก นางคลี่ยิ้มตอบว่า “ข้านามว่าชีเหนียง เป็นคนงานในโรงงาน”
“เจ้าก็คือชีเหนียงหรอกหรือ” ตอนปี้เอ๋อร์แนะนำห้องให้เฉียวอวี้ซีฟัง นางเอ่ยชื่อคนแปลกหน้าออกมาเพียงสองชื่อ หนึ่งในนั้นก็คือชีเหนียง
ชีเหนียงฉงน แต่ก็ถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร “แม่นางรู้จักข้าหรือ”
เฉียวอวี้ซีไม่ตอบนาง กิริยามารยาทที่ได้รับการอบรมมาของนางมีไว้สำหรับคนที่มีฐานะเท่าเทียมกันเท่านั้น นางย่อมไม่เห็นบ่าวคนหนึ่งอยู่ในสายตา “ห้องที่ทั้งมืดทั้งเหม็นห้องนั้นคือห้องไหน”
ชีเหนียงฟังไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิงว่านางกำลังพูดอะไร
เฉียวอวี้ซีรำคาญแล้ว “ช่างมัน ข้าจะหาเอง!”
ชีเหนียงเดินเข้าห้องไปอย่างสับสนมึนงง
เฉียวอวี้ซีทราบว่าห้องนั้นคือห้องของชีเหนียงแล้ว นางจำได้ว่าห้องก่อนห้องของชีเหนียงคือของปี้เอ๋อร์ ถัดไปสองสามห้องจึงเป็นห้องของนาง
นางหาห้องของตนเองจนเจอ
ห้องว่างโล่ง นอกจากเตียงเก่าๆ หลังหนึ่ง ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ หลังหนึ่งก็ไม่มีสิ่งอื่นแล้ว
บนเตียงวางฟูกสะอาดไว้หลายอัน เมื่อครู่ตอนตนเข้ามายังไม่มีมันอยู่ คิดว่าหลังจากตนเองออกไป ปี้เอ๋อร์คงหอบเอามาวางไว้ที่นี่
“สาวใช้น่าตาย ไม่รู้จักปูเตียงสักหน่อย เกียจคร้านนัก!”
เฉียวอวี้ซีไม่มีทางปูเตียงเอง แต่ในห้องนอกจากเตียงก็หาที่อื่นนั่งไม่ได้แล้ว จะให้นั่งเช่นนี้ นางก็รังเกียจว่าสกปรก
นางลังเลครู่หนึ่งก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อ วางลงบนโครงเตียงเบาๆ หลังจากนั้นจึงนั่งลงบนผ้าเช็ดหน้าช้าๆ
ไม่ว่าจะว่าอย่างไร นางก็เป็น ‘ลูกศิษย์’ ที่ฝ่าบาทส่งมา สตรีนางนั้นได้แต่แอบกลั่นแกล้งเท่านั้น จะกล้าไม่ให้นางกินข้าวจริงๆ หรือ
หากนางคิดจะทำเช่นนั้น ซุนมัวมัวกับฟางมัวมัวคงไม่มีทางอนุญาต
มิเช่นนั้นพระชายาที่ต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เกิดเป็นอันใดขึ้นมา มัวมัวทั้งสองก็คงไม่มีคำอธิบายไปมอบให้ฮ่องเต้
เมื่อคิดเช่นนี้ เฉียวอวี้ซีก็มั่นใจในพริบตา นางหยิบหนังสือรวมบกวีเล่มหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระ แล้วอ่านอย่างเพลิดเพลินในอารมณ์ของบทกวี นี่สิจึงจะเป็นสิ่งที่คุณหนูสูงศักดิ์สมควรทำ ถอนหญ้าหรือ เหอะ ไว้ชาติหน้าก็แล้วกัน!
ฝั่งคฤหาสน์ เฉียวเวยจัดการห้องหับให้มัวมัวทั้งสองแล้ว มัวมัวทั้งสองพอใจกับที่พักเป็นอย่างยิ่ง
ตอนได้ยินว่าเป็นแม่ม่ายในชนบท พวกนางก็เตรียมใจมาพบกับความยากจนข้นแค้นแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าผู้อื่นไม่ยากจนสักนิด บ้านทั้งใหญ่ทั้งกว้างขวาง หันไปทางทิศที่เหมาะสม เครื่องเรือนครบครัน พวกขื่อคานในห้องพวกนางไม่ทันดู แต่เตียงหลังนั้นดีกว่าเตียงของพวกนางในวังหลวงมาก
ฟางมัวมัวบังเอิญพักอยู่ที่ห้องของวั่งซู บนเสาเตียงของวั่งซูมีนกยูงแกะสลักด้วยทองคำแท้ บนชั้นวางของที่หัวเตียงวางนกยูงทองคำที่รูปร่างบิดเบี้ยวไว้ตัวหนึ่ง หน้าตาพิลึกจนฟางมัวมัวตาเกือบบอด
เฉียวเวยเปลี่ยนฟูกกับผ้าห่มสะอาดให้มัวมัวทั้งสองคน อ่างล้างหน้ากับผ้าล้วนหยิบของชุดใหม่มาให้
แม้แต่ซุนมัวมัวผู้เงียบขรึมก็เผยสีหน้าสบายใจเล็กน้อยออกมาอย่างหาได้ยาก
ฟางมัวมัวเอ่ยอย่างเกรงใจ “ฮูหยินไม่ต้องวุ่นวายแล้ว พวกข้าจัดการกันเองก็พอ ต้องมารบกวนฮูหยินก็ลำบากใจแย่แล้ว หากฮูหยินเกรงใจเช่นนี้ พวกข้าคงไม่สบายใจจริงๆ”
“ข้ามีญาติน้อย หายากที่จะมีแขกมาเยี่ยมเยือนสักหน มัวมัวทั้งสองให้ข้าได้ต้อนรับดีๆ เถิด” เฉียวเวยคนรูปงามปากก็หวาน คนฟังรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
ฟางมัวมัวหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระแล้วมอบให้เฉียวเวย
เฉียวเวยงุนงง “นี่คือสิ่งใด”
ฟางมัวมัวตอบว่า “ฮ่องเต้รับสั่งว่าจะรบกวนฮูหยินเปล่าๆ ไม่ได้ นี่คือค่าเล่าเรียนของคุณหนูเฉียว ขอฮูหยินโปรดรับไว้”
เฉียวเวยดวงตาเป็นประกาย “มีค่าเล่าเรียนให้เสียด้วย ฝ่าบาทช่างใส่พระทัยจริงๆ!”
ปฏิกิริยาของเฉียวเวยทำให้ฟางมัวมัวอึ้งไปชั่ววูบ คนทั่วไปยามพบเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะต้องสำรวมบอกปัดไม่รับหรอกหรือ ทำงานที่ทำได้ให้ราชวงศ์ จะมีสักกี่คนกล้ารับเงิน ฟางมัวมัวเตรียมคำเกลี้ยกล่อมสารพัดแบบหากนางไม่รับเอาไว้แล้ว ผลปรากฏว่านางกลับรับไปเสียอย่างนั้น ถ้อยคำเกลี้ยกล่อมเหล่านั้นของฟางมัวมัวจึงสลายหายไปในท้อง…
ฮ่องเต้ไม่เสียทีเป็นฮ่องเต้ แจกเงินครั้งหนึ่งก็เป็นก้อนเงินขาวแวววาวพันตำลึง
เฉียวเวยนับตั๋วเงินอย่างเริงร่า ยิ้มจนมองไม่เห็นดวงตา
สิ่งที่เฉียวเวยไม่รู้ก็คือ ฮ่องเต้พระราชทานให้เพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ส่วนเก้าร้อยตำลึงที่เหลือ จีหมิงซิวเป็นผู้เติมเข้าไป
เฉียวเวยนับเสร็จก็ดีใจเสียยิ่งกว่าได้กินอาหารมื้อใหญ่ นางกำลังปวดหัวว่าเงินทำโรงงานไม่พออยู่พอดี เถ้าแก่หรงลงทุนก็เป็นเรื่องของเถ้าแก่หรง นางก็ต้องลงสมบัติของตนเองบ้าง ของพระราชทานที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นางใช้ไปบางส่วนแล้ว เงินพันกว่าตำลึงที่เหลืออยู่ไม่พอสักเท่าใด ค่าเล่าเรียนหนนี้เป็นฝนที่ตกลงมาถูกเวลาจริงๆ
หากนับรวมค่าเล่าเรียนครั้งนี้ด้วย…
อาฮ่า นางมองเห็นชัยชนะโปรยยิ้มให้นางแล้ว!
เฉียวเวยได้เงินก็อารมณ์ดีขึ้นเป็นเท่าตัว นางฮัมเพลงเดินไปยังห้องครัว ในเมื่อรับค่าเล่าเรียนแพงอักโขเช่นนี้มาแล้ว นางก็ต้องดูแลผู้อื่นให้ดีหน่อยใช่หรือไม่ เงินหนึ่งพันตำลึงนี้นอกจากค่าเล่าเรียนของคุณหนูใหญ่เฉียวก็น่าจะรวมค่ากินค่าอยู่ของพวกเขาด้วย
อาหารต้องดี!
ปัจจุบันนี้เฉียวเวยไม่ได้เข้าเมืองทุกวัน อาหารล้วนซื้อมาจากหลัวหย่งจื้อ หลัวหย่งจื้อนำกุ้งไปส่งให้หรงจี้ทุกเช้า ตอนตกค่ำก็ไปส่งอีกเที่ยวหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าหรงจี้จะมีวัตถุดิบสดใหม่ทั้งวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ทุกวันตอนเช้าเมื่อไปส่งกุ้งเสร็จ หลัวหย่งจื้อก็จะถือโอกาสซื้อเนื้อกับผักมาให้บนภูเขา วันนี้สิ่งที่เขาซื้อมามีไข่เค็ม เนื้อสันใน ปลาไนและเนื้อแพะหนึ่งชั่ง
เฉียวเวยทำแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะที่เด็กๆ ชอบที่สุด แล้วก็ทำเนื้อสันในเปรี้ยวหวาน ส่วนปลาไนทำน้ำแดงเพราะรสชาติค่อนข้างเข้มข้น นางค้นพบว่าเด็กๆ ไม่ชอบอาหารสชาติจืดชืดเกินไปนัก หลังจากนั้นจึงหยิบเห็ดที่เก็บมาจากบนภูเขาด้วยตนเองออกมาจากตู้ เห็ดกระเพาะแพะกินหมดไปแล้ว ยังเหลือเห็ดสนกับเห็ดนางรมขาวเล็กน้อย เฉียวเวยค่อนข้างชอบเห็ดนางรมขาว มันอ่อนนุ่มและมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของเห็ดอยู่จางๆ เป็นกลิ่นอ่อนๆ ไม่ฉุนจัด
เฉียวเวยล้างเห็ดสนกับเห็ดนางรมขาวจนสะอาดแล้วฉีกเป็นเส้นๆ ผัดไฟแรงกับต้นหอมยักษ์
กลิ่นหอมของน้ำมันลอยออกจากหน้าต่างไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ลอยไปๆ ลอยเข้าไปในเรือนหลังเล็ก
เฉียวอวี้ซีนั่งอ่านหนังสือรวมบทกวีอยู่บนเตียงด้วยท่าทางอันงามสง่าอย่างยิ่ง ทว่านั่งสง่าอยู่ได้ไม่นานก็ได้กลิ่นหอมของต้นหอมที่หอมจรุงใจ ดอกหอมผ่านน้ำมันร้อนส่งกลิ่นหอมฉุย เฉียวอวี้ซีกลืนน้ำลายเสียงดัง
โครก!
ท้องร้องแล้ว
เฉียวอวี้ซีขยับตัว แล้วอ่านหนังสือต่อ
นางต้องตั้งสมาธิเอาไว้ นางเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง มิใช่หญิงชาวบ้านชนบท นางมีกิริยามารยาทกับความเป็นกุลสตรีที่ต้องรักษา แม้สภาพแวดล้อมจะเลวร้ายต่ำตมอีกเท่าใด นางก็จะยังคงเป็นดอกบัวขาวพิสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนโคลน
กลิ่นดอกหอมเริ่มหอมขึ้นทุกที
ท้องของดอกบัวขาวก็ร้องดังขึ้นตามไปด้วย
เฉียวอวี้ซีตั้งสมาธิ จากที่ก่อนหน้านี้อ่านอยู่ในใจก็เปลี่ยนมาเป็นอ่านออกเสียง เสียงของนางรื่นหูยิ่นนัก ท่องคำชัดเจน อ่านบทกวีไพเราะยิ่งกว่าคณะละครขับร้อง เป็นยอดหญิงสมดังชื่อเสียง
เมื่อนางได้จมจ่ออยู่ในโลกที่ตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่นหนึ่งขั้น อารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลง
เฉียวเวยผัดเห็ด แล้วหั่นพริกซอยลงไปเล็กน้อย จากนั้นตอกไข่สองสามฟอง ทำไข่เจียวพริกหยวกจานโต ตรงกลางจานใบโตดูนุ่มฟูเหมือนจะคั้นน้ำออกมาได้ ส่วนตรงขอบไหม้เกรียมนิดๆ ไข่เจียวพริกหยวกเช่นนี้อร่อยที่สุด
กลิ่นหอมของพริกหยวก กลิ่นหอมของไข่ที่ถูกทอดจนเกรียม ลอยเข้ามาในเรือนหลังเล็กอย่างช้าๆ
“นาวาล่องเอื่อยเฉื่อย ธารระเรื่อยเคลื่อนรินไหล
ตกค่ำนอนตาใส ดวงหทัยเฝ้าหม่นหมอง
เมรัยดื่มหมดแล้ว จึงมิแคล้วเดินเที่ยวท่อง
ใจข้าใช่คันฉ่อง ส่องสุขโศกล้วนเฉยชา
พี่น้องทั้งใกล้ไกล มิมีใครให้พึ่ง…พา
เยี่ยม….เยือนร่ำโศกา กลับก่น….ด่าให้ช้ำ…ใจ…”
เฉียวอวี้ซีท่องต่อไม่ได้แล้ว
กลิ่นหอมนั่นเหมือนกับมียาพิษ ทำให้รูขุมขนทั่วร่างของนางหิวโหย
“ทนอีกหน่อย เดี๋ยวนางทำเสร็จแล้วก็ต้องมาเรียกข้า”
เฉียวอวี้ซีพึมพำบอกตนเอง แล้วเปิดห่อสัมภาระ หยิบสี่สมบัติประจำห้องอักษรออกมา
จะว่าไปแล้วก็น่าขำ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามาชนบทเพื่อร่ำเรียนวิชาเกษตร แต่กลับมิพกเครื่องมือทำนามา แต่ดันพกพู่กัน หมึก กระดาษกับแท่นฝนหมึกมา ของเช่นนี้มีประโยชน์อะไรในชนบทเล่า ราวกับว่ามีแต่ทำเช่นนี้จึงจะขับเน้นว่าตนเองทรงภูมิมีความรู้ แตกต่างจากผู้อื่น
เฉียวอวี้ซีวางกระดาษ พู่กัน หมึกกับแท่นฝนไว้บนไม้กระดานเตียง ตนเองเปิดกล่องหมึกออกมาฝน แล้วยกพู่กัน เริ่มคัด ‘ซือจิง[1]’
“อากุ้ย กลับมาแล้วหรือ เจ้าดมสิ ฮูหยินเจียวไข่อีกแล้ว ไข่ที่นางเจียวหอมยิ่งนัก”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเจียวให้ข้าบ้างสักจานสิ”
“ได้ โอ๊ะ ห้องครัวเล็กไม่มีพริกหยวกแล้ว”
“จงเกอร์ชอบกินกุยช่าย เจ้าทำไข่เจียวกุยช่ายสักจานก็ได้”
“ได้”
เสียงของสองสามีภรรยาดังขึ้นในเรือน
เฉียวอวี้ซีคัด ‘ซือจิง’ อย่างสุขุมนิ่งสงบ “ใจข้าใช่ก้อนหิน มิกลอกกลิ้งลื่นไถล ใจข้าใช่เสื่อฟาง มิอาจม้วนเป็นไข่เจียว”
เฉียวอวี้ซีตกใจ เปลี่ยนกระดาษอีกแผ่นหนึ่งด้วยความอับอาย “ใจข้าใช่ก้อนหิน มิกลอกกลิ้งลื่นไถล ใจข้าใช่เสื่อฟาง มิอาจม้วนตามแต่ใจ กิริยางามสง่า มิปราชัยแก่กุยช่าย”
กุยช่าย กุยช่ายโผล่มาจากไหน!
เฉียวอวี้ซีโกรธจนขว้างพู่กันลงพื้นอย่างแรง!
ไม่คัดแล้ว!
เฉียวอวี้ซีเริ่มถือตำราซือจิงขึ้นมาอ่านใหม่ อากุ้ยที่อยู่ในเรือนเล็กแค่นเสียงหยันอย่างดูแคลน นางจึงหน้าแดง ไม่กล้าอ่านออกเสียงแล้วเปลี่ยนมาอ่านเงียบๆ ในใจ
ใจข้าใช่ก้อนหิน มิกลอกกลิ้ง…ไข่เจียวเหตุใดจึงหอมเช่นนี้ ใจข้าใช่เสื่อฟาง มิอาจ…ผู้หญิงคนนั้นจะมาเรียกข้าไปกินข้าวเมื่อใดกัน กิริยางามสง่า มิปราชัย…หากนางไม่มาเรียกอีกข้าจะหิวตายแล้ว…
ยามเฉียวเวยทำอาหาร กลิ่นหอมนั่นธรรมดาเสียที่ไหน พวกคนงานที่ออกมาจากโรงงานแต่ละคนหิวจนท้องร้องโครกคราก อยากจะวิ่งกลับบ้านไปกินไข่สักสองคำประเดี๋ยวนี้!
พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าอาหารเที่ยงวันนี้จะกินไข่เจียว! แล้วก็จะใส่พริกหยวกลงไปด้วย!
เฉียวเวยทำไข่เจียวพริกหยวกเสร็จ ก็ทำน้ำแกงไข่เยี่ยวม้ากับแตงกวาที่รสชาติจืดอีกหนึ่งชาม
ก่อนทำอาหารนางถามมัวมัวทั้งสองแล้วว่าชอบทานอาหารรสชาติใด ฟางมัวมัวตอบว่าแล้วแต่นาง นางจึงปรุงรสตามปกติที่ทานในบ้าน ปลาไนน้ำแดงกับไข่เจียวพริกหยวกเผ็ดเล็กน้อย เนื้อสันในมีรสเปรี้ยวและหวาน เห็ดผัดต้นหอมติดหวานนิดๆ รสชาติหลักคือรสเค็ม นางยังนำเนื้อรมควันที่ตนเองทำไว้มานึ่งบนข้าวอีกเล็กน้อย เนื้อรมควันหวานเค็มผสมกันพอดี รสชาติอร่อยยิ่งนัก
ปรุงอาหารร้อนหลายจานแล้ว นางจึงทำหน่อไม้ภูเขาเย็นคลุกซีอิ๋วอีกจานหนึ่ง หยดน้ำมันงาลงไปเล็กน้อย กลิ่นหอมนั่นช่าง จิ๊ๆ!
ตัวเฉียวเวยเองยังเกือบจะน้ำลายไหล
เฉียวอวี้ซีที่อยู่ภายในห้องตัวเอนซ้ายเอนขวา ใกล้จะนั่งไม่อยู่แล้ว…
จงเกอร์กับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนเลิกเรียนกลับมา พวกเขาได้กลิ่นหอมของอาหารจากบนภูเขาตั้งแต่ยังอยู่ที่ตีนเขา ท้องน้อยๆ หิวจนเกือบจะแบนไปติดกับแผ่นหลัง พวกเขาสับขาวิ่งขึ้นภูเขา
จงเกอร์เข้ามาในเรือนหลังเล็ก “ท่านพ่อ! ท่านแม่! ข้ากลับมาแล้ว!”
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเข้าไปในคฤหาสน์ แล้ววิ่งตรงไปที่ห้องครัว “ท่านแม่! ท่านแม่!”
เฉียวเวยเพิ่งทำอาหารเสร็จ กำลังถอดผ้ากันเปื้อน เมื่อเห็นเด็กน้อยสองคน ดวงตาก็ฉายแววอ่อนโยน ลูบศีรษะน้อยๆ ของทั้งคู่ “รีบไปล้างมือ วันนี้ที่บ้านมีแขกมาทานอาหารด้วยกัน”
“ผู้ใดมาหรือ” วั่งซูถามอย่างสงสัยใคร่รู้
เฉียวเวยตอบเสียงอ่อนโยน “คุณยายสองคน คุณยายฟาง คุณยายซุน”
วั่งซูกะพริบตา “พวกนางก็เป็นท่านยายของข้ากับพี่ชายเหมือนกันหรือ”
เฉียวเวยยิ้ม “พวกนางเหมือนกับยายจ้าว ยายอู๋ในหมู่บ้าน”
บอกเช่นนี้วั่งซูก็เข้าใจแล้ว พวกนางไม่ใช่ท่านยายจริงๆ แต่นางก็ต้องทำตัวดีกับท่านยายสองคนนี้ เพราะนางชอบให้มีแขกมาที่บ้าน
เฉียวเวยคิดอะไรขึ้นมาได้ก็บอกว่า “ไปหาท่านตาเถอะ”
“เข้าใจแล้ว ท่านแม่!” เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนขานรับ ท่านตาชอบนอนยิ่งนัก นอนทุกวันไม่ยอมตื่น ท่านแม่บอกพวกเขาว่าให้เรียกทุกวัน ไม่แน่ว่าวันใดท่านตาอาจจะตื่นขึ้นมา
ทั้งสองคนล้างมือเสร็จก็ไปร้องเรียกท่านตาๆ อย่างสนิทสนมในห้องของเฉียวเจิง จากนั้นก็ไปนอนอยู่ตรงหัวเตียงเล่นกันครู่หนึ่ง จนกระทั่งเฉียวเวยเรียกพวกเขามานั่งที่โต๊ะ พวกเขาจึงก้าวขาสั้นๆ วิ่งออกไป
อาหารจัดขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ถ้วยชามที่ใช้ค่อนข้างเรียบง่าย เป็นกระเบื้องลายครามที่ซื้อมาจากในตลาด ไม่อาจนำไปเทียบกับถ้วยชาที่ใช้ในพระราชวัง แต่อาหารดูหน้าตาไม่เลว กลิ่นก็หอมจรุงใจนัก
ฟางมัวมัวพยักหน้าอย่างชื่นชม “เหล่าซุน เจ้าดูสิ”
ซุนมัวมัวมองแวบหนึ่ง ใบหน้าเฉยชาคล้ายไม่ถูกใจอะไรมากมายนัก
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองก้าวขาสั้นๆ วิ่งเข้ามา
มัวมัวทั้งสองคนล้วนเป็นคนสนิทของจีหมิงซิว ก่อนมาพวกนางทราบจากปากจีหมิงซิวแล้วว่าที่นี่มีลูกน้อยทั้งสองคนของเขาอยู่ พวกนางไม่เอ่ยปากพูด แต่ในใจคาดหวังอย่างยิ่งว่าตนจะได้พบเด็กๆ
ลูกสาวเหมือนมารดา คิ้วเข้มตาโต แก้มชมพูระเรื่อ จมูกน้อยๆ กับปากน้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มราวกับถูกสลักอย่างประณีต งดงามยิ่งนัก
ลูกชายเหมือนบิดา คิ้วตาสุขุมเย็นชา สง่างามประหนึ่งหยก ร่างกายน้อยๆ ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เอ่ยคำใดก็มีกลิ่นอายความสูงศักดิ์แผ่ออกมา
ดวงตาของฟางมัวมัววาววับ ใช้ข้อศอกถองซุนมัวมัว “เหล่าซุน เจ้าดูสิ!”
ซุนมัวมัวยังคงทำหน้าเฉยชา
วั่งซูเอียงหัวถาม “พวกท่าน ผู้ใดคือท่านยายฟาง ผู้ใดคือท่านยายซุนหรือเจ้าคะ”
ฟางมัวมัวยิ้มแย้มตอบ “คงรับคำเรียกขานว่าท่านยายจากเจ้านายตัวน้อยมิได้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูเรียกข้าว่าฟางมัวมัวก็พอแล้ว”
วั่งซูเมินประโยคแรกทันที ดวงตายิ้มโค้ง เรียกเสียงหวานจ๋อย “ท่านยายฟาง!” แล้วหันไปมองซุนมัวมัวที่อยู่ด้านข้าง “ท่านยายซุน!
ซุนมัวมัวหันไปมองเด็กทั้งสองคนแวบหนึ่ง
ฟางมัวมัวยิ้มรับ “เป็นเด็กดีจริงเชียว! มา มัวมัว…ท่านยายฟางกับท่านยายซุนนำของเล็กน้อยมาให้พวกเจ้า”
พูดพลาง ฟางมัวมัวก็หยิบกล่องลวดลายงดงามสองใบออกมาจากในห้อง “พวกนี้เป็นขนมจากเมืองหลวง”
อันที่จริงเป็นขนมจากวังหลวง
ก่อนออกเดินทางขอให้พ่อครัวที่รู้จักกันในห้องเครื่องทำให้เป็นพิเศษ
เด็กน้อยทั้งสองคนหันไปมองเฉียวเวยที่ยกข้าวออกมา
เฉียวเวยยิ้มละไม “ในเมื่อเป็นน้ำใจจากท่านยายทั้งสองก็รับไว้เถิด”
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนรับกล่องลวดลายงดงามมาคนละใบแล้วเอ่ยขอบคุณ
เฉียวเวยเห็นสีหน้าของฟางมัวมัวก็ทราบแล้วว่าทั้งสองคนรู้ว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเป็นลูกของหมิงซิว ส่วนฟางมัวมัวก็มองออกว่าเฉียวเวยทราบว่าพวกนางรู้ว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเป็นเลือดเนื้อของใต้เท้า ทุกคนต่างรู้อยู่ในใจแต่ไม่พูด ผู้ใดก็ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
ทุกคนเริ่มกินข้าว
มัวมัวทั้งสองคนล้วนเป็นคนที่ทำงานในวังหลวงจนมีตำแหน่ง มิเช่นนั้นฮ่องเต้ก็คงไม่ไว้วางใจ ส่งมาจับตาดูว่าที่พระชายาเผ่าซยงหนีว์กราบอาจารย์เล่าเรียนวิชา ภายในวังมีธรรมเนียมมากมาย เจ้านายคือสวรรค์ คนเป็นบ่าวแทบจะก้มศีรษะจรดเอวกระโปรงอยู่ตลอดเวลา มิเช่นนั้นหากพลาดสักหน ก็คงไม่ได้เห็นดวงตะวันของวันพรุ่งงนี้
เรียกได้ว่าอยู่มาจนมีตำแหน่งในวันนี้ได้ มัวมัวทั้งสองผ่านอันตรายที่คนทั่วไปมิอาจจินตนาการได้มาแล้ว แน่นอนว่าพวกนางก็ได้เห็นสิ่งของที่คนทั่วไปไม่มีวาสนาจะได้เห็นด้วย ตัวอย่างเช่นอาหาร ฮ่องเต้เสวยพระกระยาหารหนึ่งมื้อต้องมีอาหารหนึ่งร้อยแปดอย่าง ฮองเฮาเก้าสิบแปดอย่าง รัชทายาทหกสิบหกอย่าง แต่ละอย่างพวกนางทั้งสองคนล้วนได้ชิมมาหมดแล้ว
อาหารที่เฉียวเวยทำ พูดถึงหน้าตาเทียบกับของในวังไม่ได้ กลิ่นหอมยังพอไปวัดไปวา ส่วนรสชาติพูดกันจริงๆ แล้วก็ล้ำเลิศสู้ห้องเครื่องไม่ได้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด แม่นามฟางกินเข้าไปแล้วกลับคิดถึงไข่เจียวที่บ้านสมัยเด็ก ไข่เจียวฟองนั้นด้านข้างเกรียม ตรงกลางนุ่มเหมือนเช่นนี้ พริกหยวกเผ็ดนิดหน่อยแต่อร่อยยิ่งนัก
รสชาติเช่นนี้ เหมือนรสชาติของบ้านอยู่หน่อยๆ
ซุนมัวมัวเป็นคนเฉาโจว นางไม่ชอบอาหารอย่างในเมืองหลวงสักเท่าใด แต่เนื้อรมควันที่เฉียวเวยนึ่งไว้ เค็มๆ หอมๆ ติดรสหวานเล็กน้อย ถูกปากนางอย่างจัง
“ท่านยายฟาง ท่านยายซุน อาหารที่มารดาของข้าทำอร่อยหรือไม่เจ้าคะ” วั่งซูถามเสียงหวาน
ฟางมัวมัวตอบ “อร่อย อร่อยยิ่งนัก!”
วั่งซูหัวเราะคิกคัก “ข้าก็คิดว่าอร่อยมาก!”
คนทั้งโต๊ะกินอย่างเอร็ดอร่อย อีกด้านหนึ่งเฉียวอวี้ซีหิวจนเกือบคลั่งแล้ว
อากุ้ย ชีเหนียงกับปี้เอ๋อร์ล้วนนั่งทานอาหารกันแล้ว เหตุไฉนผู้หญิงคนนั้นยังทำอาหารไม่เสร็จอีกเล่า
นางทำน้ำแกงทองน้ำแกงเงินหรืออย่างไรจึงนานเช่นนี้!
“ขอบคุณเจ้ามากนะชีเหนียง เดิมทีสมควรเป็นข้าทำอาหาร” ปี้เอ๋อร์ยิ้มบอก
ชีเหนียงหยอกเล่น “เมื่อวานอากุ้ยบ่นกับข้าว่าอาหารที่เจ้าทำไม่อร่อย”
อากุ้ยหน้าบึ้ง “ข้าบอกว่าไม่อร่อยที่ไหน ข้าเพียงบอกว่าไม่อร่อยเท่าไข่ที่เจ้าทำเท่านั้น”
ชีเหนียงตอบว่า “เจ้ายังบ่นปลาด้วยชัดๆ”
ปี้เอ๋อร์ใจกว้าง ฝีมือทำครัวโดนคนรังเกียจรังงอนก็ไม่โกรธ คีบท้องปลาชิ้นหนึ่งให้จงเกอร์ แล้วคลี่ยิ้ม “ข้าทำปลาไม่เก่งเท่าใดนักหรอก แต่ข้าปรุงเนื้อไก่ได้ไม่เลว หนหน้าพวกเราไปเก็บเห็ดบนภูเขามาสักหน่อย ข้าจะทำไก่ตุ๋นเห็ดหม้อหนึ่งให้พวกเจ้า!”
ไก่ตุ๋นเห็ด…
เฉียวอวี้ซีกลืนน้ำลายเสียงดัง
สถานที่โกโรโกโสเช่นนี้ บ่าวรับใช้ก็ยังได้กินเนื้อไก่หรือ
“เนื้อรมควันเสร็จแล้ว ข้าจะไปดูซักหน่อย” ชีเหนียงลุกขึ้น
“ข้าไปเองๆ!” ปี้เอ๋อร์จับนางไว้ แล้วโฉบเข้าไปในห้องครัวเล็กอย่างว่องไวประหนึ่งนกนางแอ่น แล้วยกเนื้อรมควันที่นึ่งเสร็จแล้วออกมา ร้อนจนนิ้วมือแดงเล็กน้อยจึงรีบยกขึ้นกุมใบหู แล้วนำซีอิ๋วที่เฉียวเวยปรุงด้วยตนเองราดบนเนื้อรมควัน จากนั้นยกจานเดินออกมา “เนื้อรมควันหอมฉุยมาแล้ว!”
เนื้อ รมควัน
โครกคราก!
โครกคราก!
โครกคราก!
เฉียวอวี้ซีกุมท้อง
“ฮูหยินบอกว่าเนื้อรมควันต้องกินคู่กับผักกาดหอมจึงจะอร่อย แต่เมืองหลวงเหมือนจะไม่มีผักกาดหอม บ้านพวกเจ้ามีหรือไม่” ปี้เอ๋อร์ถาม
อากุ้ยไม่รู้จักพวกผักจึงหันไปมองชีเหนียง ชีเหนียงตอบว่า “ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผักชนิดนี้ หรือว่าจะ…เป็นชื่ออื่นของผักอะไรสักอย่าง”
[1]ซือจิง ตำรารวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน