หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 146-1 ท่าไม้ตาย สองสามีภรรยาหน้าเนื้อใจเสือ
ตอนที่ 146-1 ท่าไม้ตาย สองสามีภรรยาหน้าเนื้อใจเสือ
ตกกลางคืน คฤหาสน์เงียบสงัด เฉียวเวยนั่งใช้ช้อนจ้วงกินแตงโมที่เก็บมาจากไร่อยู่ในห้อง
ปีนี้น้ำฝนน้อย แตงโมเติบโตได้ไม่ดี แต่ละลูกล้วนขนาดเล็ก แต่รสชาติยังไม่เปลี่ยน หวานเย็นอร่อยนัก
แน่นอนว่านี่เป็นผลทางจิตวิทยาด้วยส่วนหนึ่ง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นของที่ตนเองปลูกเอง ความรู้สึกที่มีให้ย่อมไม่ธรรมดา
เฉียวเวยเพลิดเพลินจนหยุดกินไม่ได้อยู่เล็กน้อย กินลูกหนึ่งหมดแล้วก็ยังรู้สึกไม่พอ จุ๊ปาก กำลังจะไปผ่าลูกที่สอง ตอนนี้เองมือเรียวยาวประหนึ่งหยกข้างหนึ่งก็ยกแตงโมขึ้นมา
เฉียวเวยหันกลับไปมอง “ท่านเองหรือ ดึกดื่นเที่ยงคืนท่านมาได้อย่างไร”
จีหมิงซิวกะน้ำหนักแตงโมที่วางอยู่บนฝ่ามือ “ไม่ให้มายามดึกหรือจะให้มายามกลางวันเล่า หากหัวหน้าพรรคเฉียวไม่สนใจ ข้าก็ยินดีจะมาพบภรรยาอย่างสง่าผ่าเผยอยู่หรอกนะ”
“ผู้ใดเป็นภรรรยาของท่าน” เฉียวเวยแย่งแตงโมลูกน้อยสีเขียวสดมา
ใบหน้าหล่อเหลาของจีหมิงซิวปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัยขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วโน้มกายเข้ามา วางมือไว้บนโต๊ะ ร่างกายครึ่งท่อนทาบทับบนร่างกายของนางอยู่รางๆ ดูไปแล้วเหมือนจะรวบนางเข้าไปในอ้อมแขน
กลิ่นอายของเขาห้อมล้อมปกคลุม โอบกอดนางเอาไว้อย่างแน่นหนา
หัวใจของเฉียวเวยเต้นตึกตัก นางกอดแตงโมพลางใช้ปลายนิ้วดันเบาๆ “ตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่”
จีหมิงซิวมองนางอย่างหยอกล้อ “ลูกก็มีแล้ว หัวหน้าพรรคเฉียวยังอยากจะหลอกตัวเองอีกหรือ”
เฉียวเวยหยัดร่างกายน้อยๆ ขึ้นมานั่งตัวตรงแล้วบอกว่า “ที่บ้านของพวกข้า ความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษกับสตรีไม่ได้ถูกนิยามไว้เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจับมือถือแขนกันแล้วข้าต้องเป็นของท่าน แล้วก็ไม่ใช่ว่าข้ามีลูกกับท่านแล้ว ท่านก็จะเป็นผู้ชายของข้า ทั้งสองคนต้องตกลงสานสัมพันธ์กันจึงจะเป็นแฟนกันได้ เมื่อมีการรับรองตามกฏหมายจึงจะเป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้อง”
รอยยิ้มของจีหมิงซิวกว้างขึ้น
เดิมทีเฉียวเวยมั่นใจอยู่พอสมควร แต่เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็เริ่มไม่มั่นใจอยู่บ้างแล้ว
“แฟนคือสิ่งใด แล้วรับรองตามกฎหมายคือสิ่งใด”
“แฟนก็คือ…ก็คือ…” เด็กสายวิทย์คลังคำศัพท์น้อย สิ่งที่เข้าใจความหมายแต่อธิบายไม่ได้เช่นนี้ นางจะอธิบายเช่นไรเล่า เฉียวเวยเค้นสมองคิดอยู่นานก็ยกกำปั้นสองข้างขึ้นมาชนกันแล้วชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น “ก็คือคนสองคนถูกตาต้องใจกันแล้วตัดสินใจว่าจะเป็นคู่กัน”
เฉียวเวยรู้สึกว่าคำอธิบายของตนเป็นนามธรรมไปสักหน่อย แต่คนฉลาดอย่างจีหมิงซิวกลับเข้าใจอย่างรวดเร็ว
จีหมิงซิวถามต่อว่า “รับรองตามกฎหมายเล่า”
เฉียวเวยผ่าแตงโม หั่นเป็นชิ้นแล้วส่งให้เขาชิ้นหนึ่ง “รับรองตามกฎหมายก็คือไปจดทะเบียนสมรสน่ะสิ! คนที่นี่ของพวกท่านยามแต่งงานไม่ใช่ว่าต้องมีหนังสือสมรสหรือไร”
ปลายนิ้วของจีหมิงซิวเคาะกับผิวโต๊ะ “เจ้าหมายถึงหนังสือหมั้นน่ะหรือ”
“ก็น่าจะใช่กระมัง” เฉียวเวยกินแตงโมหนึ่งช้อน หวานจริงๆ!
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอยางนั้นพวกเราก็มีแล้ว”
เฉียวเวย “!”
จีหมิงซิวมองนางอย่างจริงจัง “หนก่อนที่เจ้าเอาไป ก็คือหนังสือหมั้นของข้ากับเจ้า”
ดวงตาของเฉียวเวยชะงัก “นั่นไม่ใช่หนังสือสัญญาว่าจะหมั้นหมายเฉยๆ หรือ”
มุมปากของจีหมิงซิวยกโค้งขึ้นช้าๆ “ราชวงศ์ต้าเหลียงมีหนังสือรับรองการแต่งงานเพียงประเภทเดียว”
สวรรค์ ยุคโบราณนำสมัยเช่นนี้เชียวหรือ ยังไม่ทันพบหน้า ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวทั้งสองฝ่ายก็จะทะเบียนสมรสได้แล้วหรือ
จีหมิงซิวมองนางอย่างขบขัน “ตอนนี้พวกเราก็ผ่านการรับรองตามกฎหมายแล้วใช่หรือไม่”
ขุดหลุมฝังตนเองแท้ๆ!
เฉียวเวยแอบหยิกตนเองหนึ่งที แต่พูดด้วยสีหน้าปกติว่า “นั่นนับว่าเป็นหนังสือหมั้นประเภทไหนกัน ขอเพียงเป็นคนตระกูลเฉียวก็ใช้ได้ ทะเบียนสมรสที่ข้าพูดถึง ข้ากับท่านต้องเป็นคนไปจดด้วยตนเอง หากเป็นผู้อื่น มันย่อมไร้ผล”
จีหมิงซิวทำท่าเหมือนขบคิด “บนโลกใบนี้มีหนังสือหมั้นเช่นนั้นด้วยหรือ”
นับแต่โบราณมาการหมั้นหมายแต่งงานล้วนเป็นไปตามบัญชาของบิดามารดาและคำชักนำของแม่สื่อ หนังสือหมั้นล้วนร่างขึ้นมาตั้งแต่แรก ไม่จำเป็นต้องถามความคิดเห็นของทั้งสองคนแม้แต่น้อย
“มีสิ” เฉียวเวยตอบ
จีหมิงซิวอยากจะพูดว่าข้ามีชีวิตมายี่สิบกว่าปี ไม่เคยได้ยินว่ามีหนังสือหมั้นที่พิลึกเช่นนั้นมาก่อน แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็นึกถึงคำพูดของตนที่เคยกล่าวเสียดสีเสนาบดีโจวขึ้นมา เรื่องที่ตนเองไม่รู้ก็คิดว่ามันไม่มีอยู่ ถ้าเช่นนั้นตนเองก็คงเป็นกบในบ่อตัวหนึ่งเช่นกัน “ในเมืองหลวงมีที่ใดขายหนังสือหมั้นชนิดนี้บ้าง”
“ไม่ใช่เมืองหลวง” เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
จีหมิงซิวฉงน “แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ‘บ้านของพวกข้า’ เจ้าไม่ใช่คนเมืองหลวงหรือไร”
“เรื่องนี้น่ะ…” เฉียวเวยไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายเรื่องที่วิญญาณตนเองข้ามมิติมาได้อย่างไร คนโบราณงมงาย หากคิดว่านางเป็นปีศาจขึ้นมา นางคงได้แต่นึกเสียใจว่าเหตุใดตอนนั้นไม่เลือกอีกทาง “หมายถึงบ้านของมารดาข้า!”
“เตียนตูหรือ” จีหมิงซิวมุ่นคิ้วเล็กน้อย เตียนตูมีธรรมเนียมประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือ
เฉียวเวยตบโต๊ะ “ถูกแล้ว เตียนตูนั่นแหละ!”
จีหมิงซิวมองนาง “ข้าจำไว้แล้ว”
จำไว้แล้วแต่ท่านก็หาไม่พบหรอก ลูกตาของเฉียวเวยกลอกไปมาพลางกดมุมปากที่ยกโค้งลงไป
ทั้งสองคนกินแตงโมไปหลายชิ้น ต้องขอบอกว่าชนชั้นสูงที่มาจากตระกูลใหญ่ช่างแตกต่างจากคนธรรมดาจริงๆ แม้แต่การกัดแตงโมก็ยังให้ความรู้สึกสง่างามและสูงศักดิ์ เฉียวเวยจิ๊ปาก ชาวบ้านธรรมดาเลียนแบบไม่ได้
จีหมิงซิวกินไปชิ้นหนึ่งก็ไม่กินต่อแล้ว นับแต่เล็กเขาเคร่งครัดเรื่องการกิน อาหารที่ชอบอีกเท่าใดก็กินได้เพียงคำเดียว นานเข้าจึงไม่ค่อยสนใจอาหารการกินมากนัก
เฉียวเวยจัดการคนเดียวไปเจ็ดแปดชิ้น ท้องกลมดิกจึงหยุดปาก แล้วเก็บกวาดข้าวของ เมื่อกลับมาถึงในห้อง จีหมิงซิวก็กำลังนั่งอยู่บนเตียงป๋าปู้ มองดูเด็กน้อยที่หลับสนิทสองคน ทุกครั้งในเวลาเช่นนี้เฉียวเวยจะรู้สึกถึงความอบอุ่นประหลาดสายหนึ่งจากบนตัวของเขา
“ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” จีหมิงซิวหันมามองเฉียวเวย
เฉียวเวยเรียกสติกลับมา แล้วเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าเฉกเช่นปกติ “ข้าก็มีเรื่องพูดกับท่านเช่นกัน”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าพูดก่อน” จีหมิงซิวตอบ
เฉียวเวยนั่งลงบนขอบเตียง “ข้าอยากฟังท่านพูดก่อน”
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ข่าวดีเรื่องหนึ่ง ข่าวร้ายเรื่องหนึ่ง ข่าวดีก็คือข้าตามหาคนที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เจ้าพบแล้ว แต่ข่าวร้ายก็คือเขาไม่มีสติรับรู้เรื่องราวในโลกอีกแล้ว”
“โอ้ เรื่องนี้ช่าง…น่าเสียใจเหลือเกิน” เฉียวเวยตอบอย่างซื่อๆ
จีหมิงซิวเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย “สีหน้าของเจ้าไม่เสียใจสักนิด”
เฉียวเวยชี้ใบหน้าโศกเศร้าแทบวางวายของตนเอง “สีหน้าข้ายังแสดงออกไม่ชัดพอหรือไร”
จีหมิงซิวดีดหน้าผากของนาง “ฝีมือการแสดงละครของเจ้าสู้เจ้าลิงตัวนั้นยังไม่ได้”
เฉียวเวยนึกฉุน
จีหมิงซิวทราบดี ไม่ใช่ว่านางไม่สนใจความบริสุทธิ์ในตอนนั้นจริงๆ เพียงแต่นางกลัวว่าหากความจริงปรากฏแก่ใต้หล้าแล้ว ตระกูลจีจะบุกมาชิงลูกไป สตรีนางนี้เห็นลูกสำคัญยิ่งกว่าชีวิต จีหมิงซิวทัดปอยผมของนางไปไว้หลังใบหู แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าจำได้ว่าข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ลูกเป็นของเจ้า ผู้ใดก็แย่งไปไม่ได้”
เฉียวเวยพยักหน้าแผ่วเบา
จีหมิงซิวดึงมือกลับมา “เจ้าอยากบอกอะไรกับข้า”
เฉียวเวยลุกขึ้น เดินไปหยิบขวดน้อยใบหนึ่งออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะแล้วส่งให้เขา “ท่านรู้จักสิ่งนี้หรือไม่”
จีหมิงซิวเปิดจุดขวดออก กลิ่นสุราโชยขึ้นมาในจมูก เมื่อเพ่งสายตามองจึงเห็นแมลงกู่ตัวน้อยที่ถูกคนมอมให้เมา คิดวิธีเช่นนี้มาสะกดแมลงกู่ จีหมิงซิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่นิดๆ “รู้จัก นี่คือแมลงกู่ มันมาจากเตียนตู หรือก็คือบ้านเกิดของมารดาเจ้า”
“มีแมลงกู่อยู่จริงๆ หรือ!” ยังนึกว่าคนพวกนั้นแต่งเรื่องขึ้นมามั่วๆ เสียอีกแหนะ เฉียวเวยชี้เจ้าตัวน้อยในขวด “ถ้าอย่างนั้นมันมีไว้ทำอะไร”
จีหมิงซิวตอบ “มันมีชื่อว่ากู่พรากรัก หรือมีอีกชื่อว่ากู่ครองรัก เป็นกู่ประเภทที่ส่งผลต่อจิตใจ ไม่ทำอันตรายต่อร่างกายของคน แต่จะมอมเมาสติปัญญาของคน ทำให้คนทำสิ่งที่ขัดกับความต้องการของตน ปกติมันจะถูกเลี้ยงไว้เป็นคู่ ตัวผู้ตัวหนึ่ง ตัวเมียตัวหนึ่ง กู่ตัวผู้ขนาดเล็กกว่ากู่ตัวเมียเล็กน้อย บนหัวมีหนวด หากข้ามองไม่ผิด ตัวนี้น่าจะเป็นกู่ตัวผู้ เจ้ามีของสิ่งนี้ได้อย่างไร”
เฉียวเวยเอนตัวไปข้างกายจีหมิงซิว “ท่านบอกข้าก่อนสิ หากถูกมันมอมเมาสติแล้ว จะทำเรื่องประหลาดอันใด จะถูกคนที่เลี้ยงกู่บังคับตลอดไปเลยหรือ”
จีหมิงซิวมองคนบางคนที่เอนตัวจนเกือบจะมาพิงหัวไหล่ของเขา มุมปากยกโค้งอย่างห้ามไม่ได้ “เรื่องนั้นไม่ใช่หรอก กู่พรากรักเป็นกู่ระดับต่ำชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ไม่เพียงพอจะบังคับสติของคนให้ทำตามผู้เป็นนายบงการ มันเพียงทำให้สองฝ่ายที่ถูกกู่อาศัยร่างรู้สึกดึงดูดกันและกันเท่านั้น เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเจ้าได้มันมาอย่างไร”
เฉียวเวยเบ้ปาก “ยังจะได้มาอย่างไรอีกเล่า ก็พวกหน้าไม่อายตระกูลเฉียวน่ะสิ จ้างวานฆ่าคนยังไม่พอ ยังจะเอากู่มาเล่นงานข้าอีก โชคดีข้าหัวไว เห็นนางแปะบางสิ่งไว้ใต้โต๊ะของข้า”
จีหมิงซิวสีหน้าเย็นชา “ดูท่า จะยังสั่งสอนตระกูลเฉียวไม่มากพอ”
เฉียวเวยคิดอะไรครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านว่า พวกเขาอยากจะจับคู่ข้ากับผู้ใดหรือ”
จีหมิงซิวปิดจุกขวด “ไม่ใช่เจ้า กู่ตัวผู้ไม่กัดสตรี หากพวกเขาแปะไว้ในห้องของเจ้า ก็น่าจะวางแผนให้กัดบุรุษที่เข้ามาในห้องของเจ้าได้”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อากุ้ยหรือ”
จีหมิงซิวหน้าบึ้ง
“ไม่ใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นก็…เสี่ยวเว่ยหรือ”
จีหมิงซิวยิ่งหน้าดำทะมึน
“หากยังไม่ใช่เสี่ยวเว่ยอีก…ซิ่วไฉเฒ่าหรือเปล่า”
กำปั้นของจีหมิงซิวส่งเสียงดังกรอด
“คงไม่ใช่เถ้าแก่หรงหรอกกระมัง…”
ใบหน้าของจีหมิงซิวดำเป็นก้นหม้อ “หากกล้าให้บุรุษคนอื่นเข้ามาในห้องนอนของเจ้าอีก ข้าจะจัดการเจ้าเสีย!”
แพขนตาของเฉียวเวยกระพือไหว “ท่านจะดุทำไมเล่า”
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบ “หนก่อนเจ้าปล่อยข้ารอเก้อ ข้ายังไม่คิดบัญชีกับเจ้าเลย”
เฉียวเวยกระแอม “หนนั้นข้าดื่มมากเกินไปจึงลืม”
จีหมิงซิวแค่นเสียงดังเหอะ ไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ทันใดนั้นเขาก็คว้าข้อมือของนางแล้วกดนางลงบนเตียง
เฉียวเวยหัวใจสั่นไหว “ท่านจะทำอะไร”
“ตรวจดูว่าเจ้ามีกู่เข้าไปในร่างหรือไม่”
“จะ จะตรวจอย่างไร”
“หากมีกู่อยู่ ข้าย่อมสัมผัสได้”
การตรวจเช่นนี้ช่าง…’ทรมาน’ จริงๆ
เมื่อเห็นท่าทางเกร็งไปทั้งร่างของนาง เขาห็หยอกเย้า “เจ้ากำลังยั่วยวนข้าสินะ หัวหน้าพรรคเฉียว”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “ข้าเปล่าเสียหน่อย!”
จีหมิงซิวปลดอาภรณ์ของนาง
เฉียวเวยคว้ามือของเขาไว้ “ท่านจะทำอะไร”
จีหมิงซิวยกมุมปากโค้ง “ตรงนี้ก็ต้องตรวจดูด้วย”
…
เฉียวเวยถูกแสงอาทิตย์สว่างจ้าแสบตาสายหนึ่งปลุกให้ตื่น กรอบหน้าต่างมีช่องเล็กจิ๋วอยู่ช่องหนึ่ง แสงอรุณบังเอิญลอดผ่านเข้ามาส่องถูกตาของนางพอดี แสงแสบตาจนนางขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นบังดวงตาด้วยสัญชาตญาณ หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ พอเห็นศีรษะกลมเล็กๆ สองหัว นางก็ตกใจจนสะดุ้ง!
เด็กน้อยสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง สองมือเท้าแก้ม มองนางด้วยใบหน้าไร้เดียงสา
วั่งซูเอ่ยเสียงนุ่มนิ่ม “ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านฝันเห็นสิ่งใดหรือเจ้าคะ ยิ้มอยู่ตลอดแล้วยังน้ำลายไหลด้วย ท่านฝันเห็นของอร่อยใช่หรือไม่”
ไม่ใช่ของอร่อยเสียหน่อย แต่เป็น…
เฉียวเวยแก้มแดง จัดการเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่เล็กน้อยจนเรียบร้อย แล้วคลี่ยิ้มตอบว่า “ฝันเห็นขนมกุ้ยฮวา พวกเจ้าตื่นนานแล้วหรือ”
ทั้งสองคนส่ายหน้า
สายตาของจิ่งอวิ๋นกวาดมองบนลำคอของนาง “ท่านแม่ ท่านป่วยอีกแล้วใช่หรือไม่ บนร่างท่านมีเจ้านั่นเยอะแยะเชียว”
เจ้านั่น…เยอะแยะ?
เฉียวเวยเปิดเสื้อแล้วก้มมอง แล้วดวงตาก็เบิกค้างในพริบตา!
“ตรงคอก็มีนะเจ้าคะ” วั่งซูบอก
เฉียวเวยนั่งตัวตรง จับเส้นผมเงางามมาปิดบังลำคอส่วนที่มองเห็นเอาไว้
“บนขาก็มีขอรับ” จิ่งอวิ๋นบอกอีก
เฉียวเวยรีบดึงขากางเกงลง
วั่งซูมองไปที่เขนของเฉียวเวยแล้วบอกว่า “บนแขนก็มีเยอะแยะเลยเจ้าค่ะ” ท่านแม่ป่วยหนักถึงเพียงนี้ นางกังวลใจนัก เสียใจนัก
รอยเช่นนี้ถูกลูกๆ มาเห็น ช่างน่าอับอายเกินไปแล้ว! เฉียวเวยอยากจะบอกว่าตนเองป่วยเสียจริง แต่พอเห็นวั่งซูทำท่าใกล้จะร้องไห้ นางก็กลั้นใจโกหกอย่างโหดร้ายเช่นนั้นไม่ลง จึงกระแอมแล้วบอกว่า “แม่ไม่ได้ป่วย แต่กินบางอย่างแล้วแพ้ ผ่านไปสองวันก็ไม่เป็นอันใดแล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะ” วั่งซูกะพริบตา
“จริงสิ” เฉียวเวยพยักหน้า
วั่งซูได้คำรับรองจากมารดาจึงกระโดดลงจากเตียงพร้อมกับพี่ชายอย่างดีอกดีใจ แล้วไปอาบน้ำที่ลานบ้าน
หลังจากทานอาหารเช้า เด็กๆ ก็ไปเข้าเรียน เฉียวเวยจัดของอยู่ในห้อง เฉียวอวี้ซีทำหน้าบูดบึ้ง ยกอ่างน้ำกับผ้าผืนหนึ่งเดินเข้ามา ไม่ทันรอให้เฉียวเวยสั่ง นางก็เริ่มเช็ดโต๊ะด้วยตนเอง
เฉียวเวยเห็นนางก็นึกถึงแมลงกู่ที่สวีซื่อวางไว้ในห้องของตน แรกเริ่มนางคิดว่าสวีซื่อตั้งใจจะเล่นงานนางให้ได้กับบุรุษสักคนบนภูเขา แต่บนตัวนางไม่มีแมลงกู่ เมื่อสันนิษฐานจากสิ่งนี้ คนที่สวีซื่ออยากทำร้ายคงไม่ใช่นาง
สวีซื่อทนเห็นนางได้ดีไม่ได้ เรื่องที่สวีซื่อทำจะต้องทำลายผลประโยชน์ของนางอย่างหนักหนา ยังมีเรื่องใดทำให้นางเสียหายหนักหนาได้อีกหรือ
คิดมาคิดไป ก็เหลือแต่การสูญเสียที่พึ่งอย่างหมิงซิว
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหมิงซิว แม้ยังไม่เปิดเผยในสายตาผู้คน แต่ในที่ลับย่อมมีการไปมาหาสู่กันแน่ สวีซื่อคิดจะเล่นงานหมิงซิว
หากกู่ตัวผู้ตั้งใจจะใช้กับหมิงซิว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากู่ตัวเมียตั้งใจจะใช้กับเฉียวอวี้ซี
แม้เฉียวอวี้ซีถูกกำหนดให้เป็นคนแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แล้ว แต่หากหมิงซิว ‘ต้องใจ’ นางเข้า แล้วดึงดันจะเก็บนางไว้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง
ได้ทั้งเล่นงานนาง ได้ทั้งช่วยเฉียวอวี้ซี ไม่อาจไม่พูดว่านี่ช่างเป็นความคิดที่ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว คิดได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
แต่น่าเสียดายถูกนางมองออกแล้ว
สายตามีเลศนัยของเฉียวเวยมองใบหน้าของเฉียวอวี้ซี เฉียวอวี้ซีถูกมองจนไม่สบายทั่วร่าง นางกลอกตาใส่เฉียวเวยหนึ่งหนแล้วว่า “มองอะไรเล่า ข้าเช็ดไม่ถูกหรือไร เจ้ากลัวข้าแอบขี้เกียจหรือ”
เฉียวเวยทำหน้าดีๆ ใส่นางอย่างหาได้ยาก “เปล่า ข้ากำลังดูว่าเหตุใดวันนี้เจ้าจึงว่าง่ายขึ้นมากะทันหัน ปกติให้เจ้าทำงานนิดหน่อย เจ้าก็มักบ่ายเบี่ยง อยากจะทำตัวเป็นคุณนายน้อยสักคนยิ่งนัก วันนี้ตะวันคงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว ข้ายังไม่ทันเรียก เจ้าก็เป็นฝ่ายเข้ามาปัดกวาดแล้ว”
นั่นก็เพราะท่านแม่บอกข้าว่าอีกไม่นานจะช่วยข้าออกไปได้แล้ว เมื่อคิดได้ว่าจะไม่ต้องเห็นใบหน้าน่าชังของเจ้าอีก ข้าก็อารมณ์ดียิ่งนัก
ความยินดีของเฉียวอวี้ซีหนีไม่พ้นสายตาของเฉียวเวย เฉียวเวยลอบคิดในใจว่าเฉียวอวี้ซียังอ่อนนัก ในใจคิดสิ่งใดล้วนเก็บซ่อนไว้ไม่ได้ แม้จะชอบวางท่าสูงส่งยากหยั่งถึง แต่ความจริงแล้วแววตาของนางขายนางออกมาตั้งแต่แรก
“ไม่ต้องเช็ดพื้นแล้ว เช็ดโต๊ะเสร็จก็มากินข้าว”
เฉียวอวี้ซีตะลึง “ไม่ต้องไปที่นาแล้วหรือ” เหตุไฉนสตรีนางนี้จึงใจดีขึ้นมากะทันหัน
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ข้าจะสอนแต่การปฏิบัติไม่สอนทฤษฎีเบื้องหลังให้เจ้าไม่ได้สิ วันนี้เรียนความรู้กับทฤษฎี ข้าจะบอกสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดที่ดินร้างกับวิธีปรับปรุงที่ดินให้เจ้าฟัง อาจจะมีคนจากหมู่บ้านข้างๆ เดินทางมานั่งฟังด้วย เจ้าอย่าแต่งตัวเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์จนผู้อื่นไม่กล้าเข้ามาเสียเล่า”
เฉียวอวี้ซีย่อมไม่มีทางเชื่อฟังเฉียวเวย ยิ่งเฉียวเวยไม่ให้นางแต่งตัว นางก็ยิ่งต้องแต่งตัว หลายวันมานี้ต้องลงไปทำนาตลอด สภาพน่าเวทนาเหมือนพวกบ้านนอกคอกนา ถึงเวลาให้ผู้อื่นได้เห็นความสง่างามกับรูปโฉมอันงดงามของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวแล้ว
เฉียวอวี้ซีกลับไปที่ห้อง เปลี่ยนมาสวมเสื้อกับกระโปรงที่งดงามที่สุด สวมเครื่องประดับศีรษะที่แพงที่สุด ประทินโฉมอย่างละเอียดลออที่สุด ทั้งเนื้อทั้งตัวประหนึ่งเทพธิบนสรวงสรวรรค์ งดงามจนมิมีสิ่งใดเทียบได้
เมื่อนางก้าวออกมาจากเรือนหลังเล็กก็เป็นเวลาพักของโรงงานพอดี ชาวบ้านทั้งหลายทยอยเดินออกมา เมื่อเห็นแม่นางน้อยผู้ราวกับเทพธิดาสวรรค์ผู้นี้ แต่ละคนก็ตาค้าง
เฉียวอวี้ซีเชิดคางอย่างหยิ่งทะนง ถูกสตรีนางนั้นกดไว้เนิ่นนานเช่นนี้ ในที่สุดก็ได้เชิดหน้าเสียที
นางยิ้มแล้วเดินเข้าไปในคฤหาสน์