หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 152-2 ลาภลอย กรรมตามสนอง
ตอนที่ 152-2 ลาภลอย กรรมตามสนอง
อย่างไรก็ไม่ใช่อัครเสนาบดีแน่ วันนั้นอัครเสนาบดีไม่ได้มาด้วยซ้ำ
ในใจหัวหน้าชุยมีการคาดเดาจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา คนทำงานในสายอาชีพพวกเขา สิ่งสำคัญที่สุดคือการแยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่ซ่อนเร้นอยู่ให้กระจ่าง ไม่อย่างนั้นต่อให้แค่เล่นงานขันทีปัดกวาดเช็ดถูคนหนึ่ง ก็อาจเชื่อมโยงไปถึงสายใยความสัมพันธ์ที่อยู่เบื้องหลังเขาได้
“ชาหลงจิ่งปีนี้มีไม่มากนี่” หัวหน้าชุยเอ่ยยิ้มๆ
เฉียวเวยรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่กลับตั้งใจปิดบังไว้ไม่ยอมบอกออกไป ตอบไปอย่างแสร้งโง่ว่า “น้อยมากจริงๆ”
นี่ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะไม่บอกเขาหรอกหรือ
หัวหน้าชุยเป็นคนเข้าใจอะไรได้ดี จึงไม่ถามในตอนนี้อีก ถึงอย่างไรไม่ว่าคนที่อยู่ข้างหลังนางเป็นใคร แต่คนที่ให้ชาหลงจิ่งได้ ก็ไม่ใช่คนที่คนตัวเล็กๆ ในกรมการภายในอย่างเขาจะมีเรื่องด้วยได้ทั้งสิ้น “เมื่อครู่ดูเหมือนเจ้ามีบางอย่างจะบอกจ๋าเจีย”
เฉียวเวยเติมชาให้หัวหน้าชุยจนเต็ม “ที่ข้านี่เผอิญมีของที่เกินอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่รู้ว่าหัวหน้าชุยต้องการหรือไม่”
หัวหน้าชุยสายตาพลันวูบไหว “เจ้ามีเท่าไร”
“สองหมื่น”
นี่ไม่ใช่จำนวนที่ตนต้องการพอดีหรอกหรือ
หัวหน้าชุยมองเฉียวเวยอึ้งๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนดูคล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมา “เฉียวฮูหยิน เจ้าคงไม่ได้…”
รอข้าอยู่ที่นี่นานแล้วกระมัง
เขาจำได้ว่าคราแรกที่ตนให้นางส่งสินค้าให้ นางบอกว่านางผลิตได้ไม่มากเพียงนั้น
เฉียวเวยเอ่ยทอดถอนใจว่า “เดิมทีข้าไม่ได้คิดจะทำมากเช่นนี้ แต่ตอนหลังในหมู่บ้านพวกเราเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ปีนี้มีการขึ้นภาษี ท่านคงพอได้ยินมาบ้างกระมัง”
เรื่องนี้หัวหน้าชุยพอรู้อยู่ มีหลายบ้านที่จ่ายภาษีไม่ไหว เอาบุตรชายไปขายเข้าวังเป็นขันทีกันหลายคน
เฉียวเวยเอ่ยต่อว่า “ในหมู่บ้านพวกเรามีมากที่จ่ายภาษีไม่ไหว จวนทางการให้ระดมแรงงาน ทุกคนไม่มีใครอยากไป ข้าทำใจดูไม่ได้ จึงช่วยจ่ายภาษีให้พวกเขา แล้วให้พวกเขามาทำงานในโรงงานของข้าเป็นการตอบแทน หลายสิบคนทีเดียว ทางข้าก็ถือว่าถูกบังคับให้ทำมากขึ้นโดยปริยาย กำลังคิดหนักอยู่ที่เดียวว่าจะขายออกไปอย่างไร”
หากอธิบายเช่นนี้ หัวหน้าชุยก็เข้าใจแล้ว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ข้ายังคิดว่า…”
เฉียวเวยยิ้ม “แหยๆ” ขณะเอ่ยว่า “คิดว่าข้าตั้งใจเล่นงานเฉียวฮูหยินหรือ ข้าจะไปเอาความสามารถที่ไหนมา” ข้ามเรื่องที่เหตุใดข้าต้องทำเช่นนี้ไป
หัวหน้าชุยถูกเฉียวเวยพาออกจากบทสนทนาไป จึงลืมไปชั่วขณะว่าตนจะมาถามว่าเฉียวเวยกับสวีซื่อใช่มีเรื่องไม่พอใจอะไรกันหรือไม่ คิดเพียงว่าสิ่งที่เฉียวเวยบอกเล่านั้นมีเหตุผล สูตรของสวีซื่อเป็นของตน คนก็เป็นของตน ต่อให้เฉียวซื่อคิดจะสอดมือเข้าไปยุ่ง ก็ไม่รู้จะเข้าไปยุ่งอย่างไร
เมื่อคิดได้ หัวหน้าชุยก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าชอบพูดจากับคนมีคุณธรรมสูงส่งยิ่งนัก ด้วยความที่เจ้ามีน้ำใจต่อชาวบ้านในหมู่บ้านเช่นนี้ สินค้าของเจ้า ข้าขอรับซื้อทั้งหมด!”
…
พอหัวหน้าชุยกลับไปแล้ว เฉียวเวยนั่งนับตั๋วเงินอยู่ในห้อง เพราะช่วยคลายความกังวลของหัวหน้าชุยได้ ราคาที่หัวหน้าชุยให้จึงสูงกว่ายามปกติไม่น้อย ฟองละหนึ่งร้อยอีแปะ เมื่อคำนวณทั้งหมดแล้วเท่ากับสองพันตำลึง เงินจำนวนนี้เป็นเพียงส่วนน้อยของที่สวีซื่อชดใช้ให้หัวหน้าชุยไป หัวหน้าชุยไม่เจ็บตัวเลยสักนิด
เฉียวเวยไม่รังเกียจว่าเงินน้อยสักนิด เพราะถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นลาภลอย หนำซ้ำหลังจากหัวหน้าชุยได้ลิ้มรสความหวานจากผลประโยชน์ครั้งนี้แล้ว เขาก็ตกลงที่จะทำการค้ากับเฉียวเวยหลังจากนี้ไปอีกหนึ่งปี หนึ่งปี นางไม่เชื่อว่าจะหาไม่ได้หนึ่งหมื่นตำลึง
เฉียวเวยฮัมเพลงเบาๆ พับตั๋วเงินแต่ละใบเอาไว้เรียบร้อย กลอนอันนี้ไม่แน่นหนาแล้ว นางก้มตัวลงไปจะหากลอนอันใหม่จากในตู้ แต่พอนั่งลง ภาพตรงหน้ากลับดำมืดแล้ววูบวาบไปหมด
นางมือไวคว้าเจ้าตัวยุ่งที่ชอบสร้างความวุ่นวายเอาไว้ได้ ในมือเจ้าตัวยุ่งถือตั๋วเงินอยู่ใบหนึ่ง “คันตัวอีกแล้วใช่รึไม่”
จูเอ๋อร์แลบลิ้นออกมา
เจ้าลิงตัวนี้อะไรก็ดีหรอก แต่ชอบหยิบอะไรติดมือไปอยู่เรื่อย
เฉียวเวยแย่งตั๋วเงินนั้นกลับมาแล้วใส่ลงในกล่อง “ยังมีอีก”
จูเอ๋อร์ยักไหล่ ไม่มีแล้ว!
เฉียวเวยดึงมืออีกข้างที่ซ่อนอยู่ข้างหลังของมันออกมา จึงเห็นตั๋วเงินที่มันกำเสียจนยับอยู่ยี่ “แล้วนี่อะไร”
จูเอ๋อร์เลยมองขึ้นฟ้า
เฉียวเวยเกลียดที่สุดคือการทำของให้ยับยู่ยี่ นางทนไม่ได้แม้กระทั่งมุมหนังสือที่ยับด้วยซ้ำ เฉียวเวยถลึงตาดุใส่เจ้าลิงน้อย “หากยังกล้าขยำของข้าอีก ข้าจะเอาเจ้าไปปล่อยบนคานห้องเสีย!”
บนคานห้องมีงูพิษของเสี่ยวไป๋อยู่
จูเอ๋อร์ดึงผ้าเช็ดหน้าที่ใช้หางม้วนเอาไว้ ซึ่งไม่รู้ไปหยิบฉวยมาจากที่ไหนออกมา ซับน้ำตาฟุดฟิดๆ แล้ว “ร้องไห้” ขึ้นมา
เฉียวเวยเอ่ยอย่างตาไวว่า “ผ้าเช็ดหน้านี่ก็ของข้า!”
จูเอ๋อร์เผ่นพลิ้วหนีไปทันที!
เฉียวเวยคว้าหางเขาแล้วจับยกขึ้น “อ้าปาก!”
จูเอ๋อร์ปิดปาก
เฉียวเวยตีก้นมันให้แรงๆ ทีหนึ่ง!
“พรวด…”
ทองก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งพลันหลุดออกจากปาก…
…
แค่ฉกฉวยอะไรนิดหน่อยก็ไม่ให้ ชีวิตช่างทำอะไรไม่ได้เสียเลย
จูเอ๋อร์เอามือข้างหนึ่งจับหน้าอก ออกจากห้องไปด้วยสีหน้าสิ้นหวังและเจ็บปวด พอเดินไปถึงหน้าประตูก็ได้พบใครคนหนึ่ง
คนผู้นั้นสะดุ้งตกใจที่จู่ๆ ก็มีลิงตัวน้อยโผล่มา กำลังคิดจะบอกว่านี่ไม่ใช่เจ้าตัวน้อยที่ขโมยกินลูกชิ้นที่หรงจี้หรอกหรือ ก็พอดีเห็นเจ้าหัวขโมยคว้าชายเสื้อของตนไว้แล้วเอาไปเช็ด “น้ำตา” ทั้งยังออกแรงสั่ง “น้ำมูก” ไอค่อกแค่กๆ ราวกับคนป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาก็ไม่ปาน แล้วจึงเดินโซซัดโซเซเฉียดตัวเถ้าแก่หรงออกไป
ช่างเป็นลิงน้อยที่น่าสงสาร เถ้าแก่หรงแทบใจสลายเลยทีเดียว
เถ้าแก่หรงสูดจมูก เช็ดขอบตาที่เปียกชื้น ปรับสีหน้าให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าห้องเฉียวเวยไป
ตรงหน้าประตูใหญ่ จูเอ๋อร์โยนเครื่องประดับหยกเล่นในมือ ลงเขาไปอย่างสบายใจเฉิบ!
…
เฉียวเวยชงชาให้เถ้าแก่หรงถ้วยหนึ่ง “พวกเจ้าใช่นัดกันไว้แล้วหรือไม่ ไม่มาก็ไม่มาทั้งคู่ พอมาก็มาด้วยกัน”
“ใคร” เถ้าแก่หรงกวาดตามองไปทั่วๆ
เฉียวเวยจึงบอกว่า “เมื่อครู่หัวหน้าชุยเพิ่งมา”
เถ้าแก่หรงขมวดคิ้ว “เขามาเร่งจะเอาของอีกแล้วหรือ เจ้านั่นเป็นอะไรหนักหนา ไปเร่งหาของที่หรงจี้ทุกสองวันสามวัน เสร็จแล้วยังมาหาเจ้าที่นี่อีก ไม่ใช่ว่ายังไม่ถึงวันส่งของหรอกหรือ”
เฉียวเวยยิ้มๆ “จะทำการค้ากับในวังไม่ง่ายเลย เกิดข้อผิดพลาดนิดหน่อยก็ต้องรับผิดชอบ ใช่สิ เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”
“เรื่องส่วนตัวของเจ้าจัดการเรียบร้อยหรือยัง” เถ้าแก่หรงถาม
เฉียวเวยคิดเล็กน้อยก่อนตอบว่า “เกือบแล้ว”
เถ้าแก่หรงเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “เมื่อหลายวันก่อนข้าไปดูบ้านมาหลังหนึ่ง หลังใหญ่มาก บรรยากาศไม่เลว ราคาก็ไม่แพง อยู่นอกเมืองหลวง ไม่ไกลจากทั้งตัวเมืองและเมืองหลวง เหมาะที่จะทำเป็นโรงงานยิ่งนัก เจ้าอยากไปดูสักหน่อยหรือไม่”
เฉียวเวยไปสั่งการปี้เอ๋อร์ไว้ ให้นางไปรับบุตรกลับจากเล่าเรียนที่สถานศึกษาแทน มื้อกลางวันกับมื้อเย็นก็ให้กินข้าวที่เรือนเล็ก จากนั้นเฉียวเวยก็ขึ้นรถม้าของเถ้าแก่หรงไปที่บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงหลังนั้น
บริเวณของบ้านใหญ่กว่าที่เถ้าแก่หรงบรรยาเอาไว้อยู่เล็กน้อย ประมาณสิบกว่าหมู่[1]เห็นจะได้ ไม่ว่าจะต่อเติมสิ่งปลูกสร้างหรือเลี้ยงสัตว์ก็มีพื้นที่เหลือพอทั้งสิ้น
เถ้าแก่หรงชี้ไปยังทุ่งนาที่ถูกทิ้งร้าง “เจ้าของบ้านบอกว่าเด้มทีเขาจะทำนา แต่บ้านของนางไม่ได้ขัดสนเงินทอง ทั้งยังไม่มีกำลังจะดูแล จึงปล่อยบ้านไว้ว่างๆ”
เฉียวเวยดูออกว่าดินยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก มีแค่รอบๆ มีภูเขาล้อมอยู่หลายลูกที่ดูไม่มีคนอยู่อาศัย “ในเมื่อไม่ขาดเงิน แล้วเหตุใดถึงคิดจะขายเล่า”
เถ้าแก่หรงบอกว่า “ดูเหมือนกิจการจะมีปัญหานิดหน่อย จำเป็นต้องหาเงินไปหมุนก่อน”
ระหว่างที่พูด ก็มีคนอีกคณะหนึ่งมายังเรือนหลักภายในบริเวณบ้าน
แต่กระนั้นสิ่งที่ทำให้เฉียวเวยรู้สึกแปลกใจเหลือประมาณก็คือ คนที่นั่งอยู่ในห้องโถงไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่ “ไม่ได้พบกันนาน” อย่างสวีซื่อ
ไม่ได้พบกันแค่ไม่กี่วัน สวีซื่อดูซูบผอมไปมาก สีหน้าซีดเซียว ผิวพรรณดำคล้ำ ใต้ตาบวมช้ำ หางตาก็มีรอยย่นให้เห็น ต่อให้ผัดหน้าหนาอย่างไรก็ปกปิดไม่มิด
สวีซื่อก็ดูจะเห็นเฉียวเวยเช่นกัน จึงลุกขึ้นด้วยความตกใจ
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นบ้านของอาสะใภ้รองนี่เอง”
เถ้าแก่หรงหรี่ตาลง “อาสะใภ้รอง”
“ก็ใช่น่ะสิ” เฉียวเวยยิ้มพลางกล่าวแนะนำ “อารองเป็นน้องชายต่างมารดาของบิดาข้า เฉียวฮูหยินผู้นี้ก็คืออาสะใภ้รองของข้าเอง”
เถ้าแก่หรงสีหน้างุนงงไปหมด “เหตุใดเจ้าถึงมีอาสะใภ้รองที่ร่ำรวยเช่นนี้ได้”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเห็นขันว่า “ก็ใช่น่ะสิ แม่หม้ายผู้ยากจนในชนบทอย่างข้า เหตุใดถึงมีอาสะใภ้รองที่ร่ำรวยเช่นนี้ได้หนอ”
เถ้าแก่หรงฟังความเผ็ดร้อนในคำพูดของนางออกแล้ว เสี่ยวเฉียวยากจนถึงขั้นต้องตั้งแผงขายของอยู่ข้างนอก หากอีกฝ่ายเป็นอาสะใภ้รองของนางจริง แล้วไม่ถามไถ่ไม่สนใจสักนิด เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้… แค่คิดก็พอรู้แล้ว
สวีซื่อตั้งสติแล้วหันไปเอ่ยกับเถ้าแก่หรงว่า “เถ้าแก่หรง วันนี้ที่เจ้ามาเพราะจะตกลงเรื่องบ้านนี้กระมัง”
เถ้าแก่หรงกำลังคิดจะตอบว่าใช่ แต่พอเหลือบไปมองเฉียวเวยที่อยู่ข้างกาย จึงเปลี่ยนใจบอกว่า “ข้าพานายใหญ่ของพวกเรามาเดินดู จะซื้อหรือไม่ซื้อต้องดูว่านายหญิงของพวกเขาจะคิดเห็นอย่างไร”
นับว่าให้เกียรติเฉียวเวยมากเลยทีเดียว
รูม่านตาของสวีซื่อพลันหดเล็กลง “นางเป็นนายใหญ่ของพวกเจ้า”
เถ้าแก่หรงบอกว่า “ก็ใช่น่ะสิ! ข้าทำงานให้นางหรอก! บ้านหลังนี้ของเจ้าจะซื้อหรือไม่ ข้าไม่มีสิทธิตัดสินใจ ต้องให้นายใหญ่พยักหน้า!”
แล้วเจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าเถ้าแก่?!
สวีซื่อกำผ้าเช็ดหน้าแน่น
เฉียวเวยเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “อาสะใภ้รอง บ้านโทรมๆ ของท่านไม่มีใครอยู่มากี่ปีแล้ว เปิดมาก็บอกจะเอาหนึ่งพันแปดร้อยตำลึง คิดว่าคนอื่นเขาโง่หรือไร”
สวีซื่อเอ่ยเสียงเย็นว่า “บ้านหลังนี้ของข้าใหญ่แค่ไหน เจ้าไม่เห็นหรือ”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ใหญ่อย่างไรก็เป็นบ้านที่รกร้าง ไหนจะต้องหาคนมาทำความสะอาด ดายหญ้า พลิกหน้าดิน สร้างห้องสร้างเรือนใหม่ แค่นี้ก็ต้องเสียเงินหลายร้อยตำลึงแล้ว พื้นดินของเจ้าก็ไม่ได้ปลูกอะไรมาหลายปี คุณภาพดินไม่ดี ช่วงหลายปีแรกยังไม่แน่ว่าจะเก็บเกี่ยวอะไรได้ แล้วยังมีภูเขารอบๆ อีก บ้านหลังนี้อยู่ในตำแหน่งที่มีธาตุน้ำ ไฟ ดิน ธาตุเหล่านี้ทั้งเสริมกันและทำลายกัน จะพูดตรงๆ ก็คือฮวงจุ้ยไม่ดี หากคิดจะอยู่บ้านหลังนี้น่ะหรือ ข้าคงต้องขุดภูเขาออกไปเสียก่อน เจ้าลองคิดดูสิว่าต้องจัดการอีกมากแค่ไหน!”
สวีซื่อไม่รู้เรื่องฮวงจุ้ย แต่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเสียเป็นจริงเป็นจัง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็รู้สึกตกใจ “นี่เป็นบ้านที่บ้านเดิมข้าให้ไว้เป็นสินเดิม ข้าไม่ได้อยากขาย แต่เพราะจัดการไม่ไหวจริงๆ”
ไม่มีเงินแล้วจริงๆ มากกว่ากระมัง
เฉียวเวยยิ้มมองอีกฝ่าย “เช่นนั้นอาสะใภ้รองไปหาคนอื่นเถิด หลงจู๊หรง พวกเรากลับ”
เถ้าแก่หรงเดิมตามเฉียวเวยออกไป
สวีซื่อร้อนใจจนเหงื่อแตกพลั่ก รีบเรียกทั้งสองไว้ทันที “หนึ่งพันห้า! ขายให้เจ้าหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง!”
เฉียวเวยเอ่ยโดยไม่หันกลับไปมองว่า “ห้าร้อยตำลึง มากกว่านี้อีกทองแดงสักแผ่นเดียวก็ไม่ต้องคุยแล้ว”
สวีซื่อโกรธจนอยากฟาดนางให้สักที “นี่เจ้าได้ทีขี่แพะไล่กันนี่!”
เฉียวเวยหันกลับไปยิ้ม “ดีกว่าเจ้าที่เห็นคนล้มแล้วเหยียบซ้ำก็แล้วกัน”
เถ้าแก่หรงเอามือจับหน้าอก โอ้ ช่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเหลือเกิน!
การซึ้อขายนี้จบที่เจรจาไม่สำเร็จ สวีซื่อไม่ยอมขายบ้านหลังใหญ่เช่นนี้ไปถูกๆ นางไม่เชื่อว่าจะหาคนซื้อที่เหมาะไม่ได้!
“บ้านหลังนั้นฮวงจุ้ยไม่ดีจริงๆ หรือ” บนรถม้า เถ้าแก่หรงถามด้วยความอยากรู้ คนทำการค้าระมัดระวังเรื่องฮวงจุ้ยที่สุดแล้ว
เฉียวเวยส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าเข้าใจเรื่องฮวงจุ้ยอะไรที่ไหนกันเล่า”
เถ้าแก่หรงเดาะลิ้น ต้มตุ๋นกันหรือนี่ เขายังเกือบเชื่อแล้วเลย!
…
สวีซื่อขายบ้านไม่ได้ จึงกลับเมืองหลวงไปพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง บ้านบนถนนชิงหยางสุดท้ายแล้วขายไม่ออก เงินในมือแค่จะชดใช้ให้หัวหน้าชุยยังไม่พอ จำต้องเอาร้านค้าหลายร้านของตนไปจำนำไว้ ถึงจะพอเก็บรวบรวมเงินได้จนครบ
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ในมือนางก็จะหมดสิ้นเงินทอง
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือบ้านหลังนั้น
รถม้าหยุดลงตรงหน้าบ้านที่เรือนรองเช่าพักอาศัยอยู่ คนรถเอาเก้าอี้ตัวเล็กมาวางลงบนพื้น พอสวีซื่อลงจากรถม้า คนรถก็เอ่ยทันทีว่า “ฮูหยิน บ่าว… มีเรื่องจะเรียนขอรับ”
“เรื่องอะไร” สวีซื่อถามด้วยความรำคาญ
คนรถเอ่ยเสียงเบาว่า “มารดาของบ่าวล้มป่วย บ่าวต้องกลับบ้านนอกไปดูแล เกรงว่าคงจะรับใช้ฮูหยินต่อไปไม่ได้แล้ว”
ข้ออ้างพวกนี้ สวีซื่อได้ยินทุกวันตั้งแต่ย้ายมาเช่าอยู่ในบ้านหลังเล็กนี้แล้ว
สวีซื่อหันไปมองอีกฝ่ายเย็นๆ “หน้าไม่อายเอาเสียเลย! เดิมทีเข้ามาคุกเข่าขอให้ข้าให้งานเจ้าอย่างไร เวลานี้พอเห็นข้าตกต่ำ แต่ละคนก็คิดแต่จะหนีไปงั้นสินะ!”
คนรถไม่กล้าเถียง
สวีซื่อขุ่นเคืองไม่หาย “ไป! รีบไสหัวไปเลยนะ! หากให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก ข้าจะถลกหนังเจ้าเสีย!”
คนรถคว้าเอาห่อผ้าที่เก็บข้าวของตนรอไว้อยู่แล้วจากใต้เก้าอี้ออกมา พอทำความเคารพเสร็จก็วิ่งแจ้นไปทันที
ภายในเรือนที่ว่างเปล่า คนไปก็ไป คนหนีก็หนี เหลืออยู่เพียงหลินมามากับตันจวี๋
หลินมามาทำอาหารอยู่ในครัว ตันจวี๋กำลังซักผ้าปูเตียงที่เฉียวจ้งชิงทำเลอะอยู่ในลาน
“ฮูหยิน” ตันจวี๋ทำความเคารพ
“นายท่านเล่า” สวีซื่อถามอย่างเหนื่อยอ่อน
ตันจวี๋ตอบว่า “ฝ่าบาทไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่วัดไท่เมี่ยว นายท่านติดตามไปในฐานะหมอหลวง จะไม่ได้กลับมาครึ่งเดือนเจ้าค่ะ”
ครึ่งเดือน เหอะ สวีซื่อยิ้มเยาะหยัน
สวีซื่อไปที่ห้องครัว
หลินมามากำลังตักข้าวต้มมันเทศที่ต้มได้ที่แล้วใส่ชาม แล้วใช้ทัพพีใหญ่ตักน้ำแกงจากในหม้อดินเผาออกมา “สุขภาพของคุณชายใหญ่ยังจำเป็นต้องบำรุงให้มาก โสมของพวกเราใช้หมดแล้ว ไก่ก็ไม่เหลือแล้ว”
สวีซื่อรู้สึกจุกในอก “ข้ารู้แล้ว”
[1] หมู่ คือหน่วยวัดพื้นที่ของจีนโบราณ 1 หมู่ เท่ากับ 0.4 ไร่โดยประมาณ