หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 153-1 มีปากเสียง ศิษย์น้อง
ตอนที่ 153-1 มีปากเสียง ศิษย์น้อง
สถานการณ์ของเฉียวจ้งชิงย่ำแย่เอามากๆ พูดให้ชัดเจนก็คือ แย่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แผลเดิมที่เขาโดนคนแทงยังไม่ทันหาย ก็ต้องฝืนแบกสังขารไปยังสถานที่ต้องห้าม หากครั้งนั้นแค่เพียงนั่งอยู่บนรถเข็นเฉยๆ ก็คงไม่อะไร แต่ก็ดันไปถูกงูพิษเล่นงานเข้าอีก หลังจากเกิดเรื่องถึงแม้เฉียวเย่ว์ซานจะขจัดพิษออกจากร่างกายให้แล้ว แต่หลังจากบอบช้ำมาหลายครั้ง พลังกายพื้นฐานก็ถูกทำลายจนไม่เหลือหลอ
เฉียวจ้งชิงต้องอาศัยการกินน้ำแกงบำรุงเพื่อให้อยู่รอดไปวันๆ บัวหิมะเทียนซานถือว่ายอดเยี่ยมที่สุด น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมรองลงมา แต่ก็จนใจด้วยเพราะบัวหิมะเทียนซานที่เป็นของล้ำค่า พวกเขาหาไม่ได้แล้ว ตอนย้ายบ้านออกมามีเอาโสมจากบ้านตระกูลเฉียวมาบ้าง แต่หลายวันนี้ก็ต้มกินไปจนหมดแล้ว
สวีซื่อไปนั่งที่โต๊ะ มองข้าวต้มมันเทศชามใหญ่ตรงหน้าที่ไร้ซึ่งน้ำมันเลยสักนิด ในท้องเกิดปั่นป่วนขึ้นมา ตอนอยู่บ้านตระกูลเฉียว มันเทศพวกนี้พวกบ่าวไพร่เอาไว้ให้อาหารหมูกันทั้งนั้น เวลานี้กลับกลายเป็นอาหารในจานของนาง
สวีซื่อข่มกลั้นความไม่สบายตัวเอาไว้แล้วกินข้าวต้มลงไปจนหมด
จากนั้นสวีซื่อก็ไปที่ห้องของเฉียวจ้งชิง
บ้านหลังนี้มีอยู่ทั้งหมดสามห้องเท่านั้น ตานจวี๋กับหลินมามาอยู่กันห้องหนึ่ง นางกับเฉียวเย่ว์ซานห้องหนึ่ง อีกห้องที่เหลือก็เป็นของบุตรชายทั้งสองคน บุตรชายคนเล็กพักแรมอยู่ที่สถานศึกษา จึงยังไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของครอบครัว
เอี๊ยด…
ชั่วขณะที่ประตูถูกผลัก เสียงที่แหลมบาดหูทำให้สวีซื่อสะดุ้งโหยง ใจพลันกระตุกไปหนหนึ่ง
“ฮูหยิน ท่านระวังหน่อยเจ้าค่ะ เหตุใดถึงไม่จุดตะเกียงเล่า” หลินมามาเดินถือตะเกียงอันหนึ่งเข้ามา ก้าวนำหน้าสวีซื่อเข้าไปในห้องเพื่อส่องทางให้สวีซื่อ รอจนสวีซื่อเข้ามาอยู่ในห้องด้วยกันแล้ว ถึงได้ปรับไส้ตะเกียงให้สว่างขึ้นอีกนิด
แต่ต่อให้เร่งไฟอย่างไรก็ยังไม่สว่างเท่าเทียนตันเซียงของจวนเอินปั๋ว
สวีซื่อนั่งลงบนเตียง กุมมือบุตรชายเอาไว้แล้วถอนหายใจด้วยใจที่หนักอึ้ง “หลินมามา พวกเรายังเหลือเงินอีกเท่าไร”
หลินมามาหยิงถุงเงินบางๆ ออกมาจากในลิ้นชัก ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเทแผ่นทองแดงสองแผ่นออกมา “เท่านี้แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน”
คอของสวีซื่อขยับขึ้นลงเล็กน้อย “เหมยอี๋เหนียงกลับบ้านเดิมไปขอเงินแล้ว”
หลินมามาหลุบตาลง “…เจ้าค่ะ อีกไม่นานพวกเราก็จะได้เงินมาแล้ว”
ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้แต่สวีซื่อกับหลินมามากลับรู้ดีว่าเหมยอี๋เหนียงไม่มีทางกลับมาแล้ว เมื่อต้นไม้ล้ม ลิงก็แตกกระเจิง บ่าวไพร่ยังไปกันหมดแล้ว อี๋เหนียงคนหนึ่งจะยังอยู่หรือ คณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม เดิมทีเหมยอี๋เหนียงก็มาจากนักแสดง จะคาดหวังให้นางช่วยเหลือยามเมื่อเรือนรองล้มลงอย่างนั้นหรือ ก็ช่างคิดได้
สวีซื่อลุกขึ้นยืน ค้นหากล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้าผุพัง
หลินมามาขมวดคิ้ว “ฮูหยิน ท่านจะทำอะไรหรือ”
สวีซื่อไม่ได้พูดอะไร ถือกล่องเล็กนั้นเดินออกไป
หลินมามาส่งสัญญาณให้ตันจวี๋ตามไป สวีซื่อตะโกนบอกว่า “อยู่รอข้าที่บ้านนี่แหละ!”
ช่วงเวลาที่น่าสังเวชเช่นนี้ นางไม่อยากให้คนอื่นเห็น
สวีซื่อขึ้นไปนั่งบนรถม้าตามความเคยชิน แต่เมื่อรออยู่นานแล้ว ยังไม่เห็นคนรถมาขับรถม้าออกไปเสียที ถึงนึกได้ว่าคนรถ “ขอลากลับบ้าน” ไปแล้ว
สวีซื่อลงจากรถแล้วออกเดิน จากบ้านที่นางเช่าอยู่ไปถึงตลาดแค่ระยะทางไม่กี่ลี้ ตรอกแคบๆ เล็กๆ เส้นนี้เปรียบประหนึ่งเส้นทางที่ตัดผ่านหุบเขา ด้านซ้ายเป็นกำแพงสีเทาขาวหน้าตาซอมซ่อ ด้านขวาเต็มไปด้วยรถม้าแล่นกันขวักไขว่ มีแต่ความมั่งคั่งหรูหรา
สวีซื่อเดินผ่านตรอกนั้นไป เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจเคลื่อนผ่านไปราวกับเกลียวคลื่น คนขายของแบกชั้นวางของเดินร้องเร่ขายของผ่านหน้านางไป คนเดินถนนเบียดเสียดจนไหล่กระแทกกัน นางเพิ่งเคยเดินไปท่ามกลางผู้คนเช่นนี้คนเดียวเป็นครั้งแรก จึงรู้สึกไม่คุ้นชินนัก
เมื่อไปถึงหน้าโรงรับจำนำแห่งหนึ่ง สวีซื่อหยุดเดิน หลังจากลังเลอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็กอดกล่องใบนั้นเดินเข้าไป
“… ปิ่นเล่มนี้ให้เจ้าสองตำลึงก็แล้วกัน ทั้งหมดห้าสิบตำลึง” หลงจู๊ดีดลูกคิดพลางเอ่ยบอก
สวีซื่อทั้งตกใจทั้งโกรธ “เครื่องประดับเหล่านี้ทำจากทองคำแท้ทั้งนั้น จะมีค่าแค่ห้าสิบตำลึงได้อย่างไร เจ้าคงพอรู้นะว่าข้าซื้อมาเท่าไร ปิ่นเล่มนี้ยังไม่ใช่แค่ห้าสิบตำลึงด้วยซ้ำ! เจ้าให้แค่สองตำลึง คิดจะฉกฉวยกันสิท่า!”
ลูกค้าประเภทนี้ หลงจู๊เจอมานักต่อนักแล้ว ไม่ใช่เพราะอยากได้เงินมากขึ้นอีกหน่อยหรือ แต่โรงรับจำนำมีไว้ทำอะไรกัน ไม่ใช่สถานที่ซื้อขายกันตามราคาเสียหน่อย วันหน้าเมื่อลูกค้ามีเงินมาไถ่ถอน ก็สามารถเอาของกลับคืนไปได้ในราคาเดิม
หลงจู๊เอ่ยยิ้มๆ อย่างไม่เร่งไม่ร้อนว่า “ฮูหยิน ยิ่งข้าให้ราคาต่ำเท่าไร วันหน้าท่านมาไถ่ถอนของคืนก็ยิ่งง่ายเท่านั้นไม่ใช่หรือ หากข้าให้ราคาสูงๆ วันหน้าท่านก็มาไถ่คืนไม่ได้น่ะสิ!”
สวีซื่อมีหรือจะไม่เข้าใจหลักเกณฑ์ข้อนี้ เพียงแต่เวลานี้นางกำลังขัดสนเงินอย่างหนัก เงินห้าสิบตำลึงแค่จะซื้อโสมชั้นดีสักสามสี่ต้นยังไม่พอเลย
นางข่มความตกใจเอาไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “เหตุใดเจ้าต้องกังวลว่าข้าจะกลับมาไถ่ไม่ไหว สนใจแค่เปิดราคามาก็พอ ของดีๆ แบบนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะได้อย่างนี้ทุกวัน”
หลงจู๊ระบายยิ้มน้อยๆ ออกมา “ในเมืองหลวงแห่งนี้น่ะ อิฐหล่นลงมาก้อนหนึ่ง สามารถกระแทกถูกขุนนางสามคนได้เลย ฮูหยินคิดว่าตนเองเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในบรรดาคนโชคร้ายอย่างนั้นหรือ”
สวีซื่อสะอึกไป
หลงจู๊ยื่นนิ้วชี้ออกมานิ้วหนึ่ง “เพิ่มให้อีกสิบตำลึง สูงที่สุดแล้ว ฮูหยินจะขายก็ขาย ไม่ขายก็ไปเสี่ยงโชคดูที่ร้านอื่นก็แล้วกัน”
แน่นอนว่าสวีซื่อย่อมไม่ยอมขาย เครื่องประดับในกล่องนี้ของนางมากกว่าหกร้อยตำลึงเสียอีก หลงจู๊ใจดำผู้นี้กลับให้แค่หกสิบตำลึง เห็นชัดว่ามั่นใจว่านางกำลังขัดสน จึงอยากฉกฉวยผลประโยชน์จากนาง
เหมือนนังคนสารเลวนั่นทีเดียว คิดแต่จะได้ทีขี่แพะไล่กันทั้งนั้น!
ในเมืองหลวงมีโรงรับจำนำอยู่ตั้งมากเพียงนั้น นางไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีคนให้ราคาสูงกว่านี้!
สวีซื่อกอดกล่องนั้นเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากโรงรับจำนำ
แต่กระนั้นที่น่าสิ้นหวังไปกว่านั้นคือ นางเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกขอทานคนหนึ่งเดินเข้ามาตรงหน้า ขอทานคนนั้นมือไวแย่งกล่องที่นางกอดอยู่ไปได้ จากนั้นก็ออกวิ่งไปทันที!
สวีซื่อตะโกนลั่น “ขโมย! ใครก็ได้! มีคนขโมยของ!”
คนผ่านไปผ่านมาล้วนหันมองมาที่นาง
สวีซื่อคว้าตัวคนหนุ่มคนหนึ่งเอาไว้ “น้องชาย ของข้าถูกคนขโมยไป เจ้าช่วยข้าตามกลับมาที! ข้าต้องขอบคุณเจ้าอย่างงามแน่!”
เด็กหนุ่มคนนั้นเพ่งมองนางให้ดีทีหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา “เป็นเจ้าหรือ”
สวีซื่ออึ้งไป
เด็กหนุ่มคนนี้ดูคุ้นตาเหลือเกิน
นางจำได้แล้ว เขาคือ “เพื่อนร่วมทาง” ที่โวยวายอยู่ในหอหลิงจือวันนั้น พี่ชายของเขาถูกคนของหลิงจือถังรักษาจน “ตาย” เขามาเพื่อร้องหาความยุติธรรม แต่กลับถูกคนของหอหลิงจือไล่ตะเพิดออกไป
เด็กหนุ่มเอ่ยประชดว่า “พี่ชายข้าหายดีแล้ว ขอบคุณหลิงจือถังมากที่ไม่ช่วยเหลือ!”
พูดจบเขาก็ดึงแขนเสื้อกลับไปอย่างเฉยชา แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
ขอทานวิ่งหนีไปไกลแล้ว พร้อมกับของมีค่าทั้งหมดของนาง
สวีซื่อกุมศีรษะด้วยความสิ้นหวัง นางพิงอยู่ตรงมุมกำแพงก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลง…
หลังจากเข้าฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้ามืดเร็วมาก เมื่อก่อนเด็กๆ พอกินมื้อเย็นเสร็จ จะเล่นกับจงเกอร์ในบริเวณเรือนอีกพักหนึ่งถึงจะเห็นพระอาทิตย์ตกตรงภูเขาทางตะวันตก แต่วันนี้พอกับข้าวขึ้นตั้งโต๊ะ พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ จมหายไป
แสงสีแสด ทำให้ขอบฟ้ามีแสงดูอบอุ่น
เฉียวเวยเอาผักจานสุดท้ายวางลงบนถาด แล้วหยิบผ้าไปจับเข่งที่มีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมา
เจ้าซาลาเปาสองก้อนพิงอยู่ตรงประตู ยื่นศีรษะกลมใสออกมา ดวงตาดำขลับเป็นประกายเบิกกว้าง คอยเหลือบมองลิ้นชักตรงหน้ามารดาเป็นระยะๆ กลิ่นหอมที่ลอยมาพาให้น้ำลายสอไม่หยุด
พอเฉียวเวยเหลือบตาขึ้นมาเห็นแมวตะกละสองตัว ก็ระบายยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ “หิวเพียงนี้เชียวหรือ”
ทั้งสองพยักหน้า
พวกเขาได้กลิ่นหอมมาตั้งแต่ตีนเขาแล้ว จึงวิ่งเร็วจี๋ขึ้นเขามา การบ้านทำเสร็จหมดแล้ว ท่านแม่ยังไม่ตั้งโต๊ะเสียที พวกเขาเล่นกันอยู่ในลานก็ไม่สนุกเต็มที่ กลิ่นหอมนั่นแทบจะทำให้หิวตายอยู่แล้ว
“ใช่กุ้งหรือไม่ ท่านแม่” วั่งซูกลืนน้ำลายขณะถาม
เฉียวเวยยิ้มแล้วส่ายหน้า “ตอนนี้ไม่มีกุ้งแล้วจ๊ะ”
“อ้อ” วั่งซูดึงศีรษะกลับไปด้วยความผิดหวัง นางชอบกินกุ้งมากทีเดียว กุ้งบด ลูกชิ้นกุ้ง กุ้งต้ม กุ้งมังกรเล็กผัดหมาล่า กุ้งมังกรเล็กผัดกระเทียม… สารพัดจานกุ้ง
เฉียวเวยมองท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของบุตรสาวด้วยความขบขัน “เจ้าของสิ่งนี้ อร่อยกว่ากุ้งเสียอีกนะ”
“จริงหรือ” วั่งซูตาเป็นประกายวาววับ
จิ่งอวิ๋นกลืนน้ำลายเอื๊อก
เฉียวเวยดึงลิ้นชักออกมา ไอน้ำกลุ่มใหญ่พวยพุ่งเข้าหน้า เวลานี้ปูกำลังเนื้ออวบแน่นที่สุด ปูตัวเมียถือว่าดีเลิศ ไข่ปูสีส้มสดใหม่อัดแน่น ไข่เยอะเนื้อแน่น คนไม่ได้ชอบกินอะไรนักอย่างเฉียวเวยยังทนความยั่วยวนของปูตัวเมียไม่ไหว มื้อหนึ่งอยากจะกินเป็นสิบตัว
เพียงแต่ทางที่ดีที่สุดปูห้ามกินมากเกินไป มันเป็นของกินที่มีธาตุเย็น หากกินมากนักจะไม่ดีต่อสุขภาพ อาจทำให้เกิดโรคในทางเดินอาหาร ถึงขั้นอาจทำให้ปวดถุงน้ำดีได้เป็นต้น
เฉียวเวยเอาปูที่นึ่งเสร็จแล้วไปให้ที่เรือนเล็กยี่สิบตัว ทางนี้เหลือไว้หกตัว สามตัวเป็นของวั่งซู อีกสามตัวเป็นของตน ส่วนจิ่งอวิ๋น… แพ้ กินไม่ได้
จิ่งอวิ๋นมองดูมารดาเอาปูวางใส่ชามให้น้องสาวอย่างน่าสงสาร เขาอยากกินจนน้ำตาจะไหลออกมาอยู่แล้ว
เฉียวเวยหยิกแก้มบุตรชาย “ไม่ทำเนื้อปูผัดขนมเข่งเอาไว้ให้เจ้า”
“ข้ากินปูได้หรือ” จิ่งอวิ๋นตื่นเต้นมาก
เฉียวเวยบอกว่า “ไม่ได้จ๊ะ เป็นอาหารเจ ทำจากเต้าหู้ แต่แม่รับประกันได้ว่า กินแล้วไม่ต่างกับกินเนื้อปูเลยนะ!”
จิ่งอวิ๋นหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างเซื่องซึม
เหตุใดท่านแม่กับน้องสาวกินกุ้งกินปูกันได้
เหตุใดท่านแม่กับน้องสาวถึงมีแรงกันมากเช่นนี้
เหตุใดท่านแม่กับน้องสาวถึงลายมือน่าเกลียดเพียงนั้น
ยังมีอีก เหตุใดท่านแม่กับน้องสาวถึงได้หน้าตาละม้ายกันเช่นนี้
เขาใช่ลูกแท้ๆ หรือไม่กันแน่…
เป็นครั้งแรกที่ซาลาเปาน้อยจิ่งอวิ๋นเริ่มสงสัยในชีวิตตนเอง
กินปูไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจเพียงใด น่าเศร้าเสียยิ่งกว่าหยิบฉวยอะไรไม่ได้เสียอีก จูเอ๋อร์เอาเครื่องประดับหยกที่เมื่อวานฉวยได้มาแขวนไว้ที่สายคาดเอวของจิ่งอวิ๋น ทั้งยังตบบ่าจิ่งอวิ๋นพร้อมสีหน้าคล้ายกำลังบอกว่าเจ้าเด็กน้อยทำตัวดีๆ นะ
เฉียวเวยเหลือบไปเห็น เดี๋ยวก่อน นั้นไม่ใช่หยกประจำตัวของเถ้าแก่หรงหรอกหรือ
เจ้าลิงนั่นขโมยของอีกแล้ว!
เฉียวเวยวางตะเกียบลงบนโต๊ะดังปัง จูเอ๋อร์ตกใจจนสะดุ้งโหยง วิ่งตัวปลิวขึ้นหลังคาไปทันที
เฉียวเวยจ้องหน้ามันพลางบอกว่า “ไว้ข้าจะจัดการเจ้า!”
จูเอ๋อร์ร้องไห้กระซิกๆ อาศัยจังหวะที่เฉียวเวยไม่ทันสังเกต หยิบเอาปูที่ฉวยไปออกมา
เฉียวเวยเห็นที่โต๊ะปูหายไปตัวหนึ่ง “เสี่ยวไป๋! จับตัวมันลงมา!”
เอ๋?
เสี่ยวไป๋เล่า
“หนึ่ง สอง… สิบเก้า เหตุใดถึงมีสิบเก้าตัว ฮูหยินเอามาให้ยี่สิบตัวนี่” ชีเหนียงงงงวย
อากุ้ยตบศีรษะเสี่ยวเว่ยให้ทีหนึ่ง “แกขโมยกินอีกแล้วใช่ไหม!”
ฟู่ๆ ฟู่ๆ
เสี่ยวไป๋กอดปูนั่งลงบนกิ่งไม้ ค่อยๆ แทะคำเล็กๆ ด้วยความสบายใจ
ปูนั้นดีงามตรงที่ ไม่ว่าจะเอาไปทำอะไรก็อร่อยทั้งสิ้น เฉียวเวยแหวกกระดองปูออก ไข่ปูที่มีอยู่เต็มกระดองพลันปรากฏสู่สายตา นางอยากกินจนกลืนน้ำลายเอื๊อก ใช้ช้อนเล็กตักไข่ปูออกมา เอาไปจิ้มในถ้วยจิ๊กโฉ่วที่ใส่ขิงซอยลงไป แล้วลองชิมเองก่อนคำหนึ่ง เปรี้ยวๆ เจือความเผ็ดของขิงซอย ไข่ปูแน่นนุ่มสดอร่อย พออยู่ในปากต่อมรับรสทั้งหมดก็ถูกเปิดออก
วั่งซูก็แหวกปูเป็นเช่นกัน นางเอาอย่างมารดา ใช้ช้อนตักเอาไข่สีเหลืองส้มออกมา จิ้มน้ำจิ้มเล็กน้อยแล้วจึงเอาเข้าปาก
วั่งซูพยักหน้าราวกับซอยกระเทียม “อร่อยๆ! อร่อยมากๆ!”
จิ่งอวิ๋นกัด “ไข่ปู่” ของตนด้วยความน้อยใจ ข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ…
พร่ำบ่นในใจไม่หยุด
การกินปูของวั่งซูเรียกได้ว่าช่ำชองโดยไม่ต้องมีใครสอน ไข่ปู ขาปู กัดดูดจนไม่มีอะไรเหลือ พอเฉียวเวยจัดการปูตัวใหญ่ตัวแรกหมดอย่างสง่างาม และเตรียมจะกินตัวที่สองนั้น ในจานแม้แต่กระดองปูก็ไม่เหลือแล้ว!
วั่งซูเลียมุมปากอย่างไม่หนำใจ “ยังมีอีกหรือไม่ท่านแม่”
เจ้าเด็กไม่รู้ความ กินเยอะขนาดนี้เดี๋ยวก็ท้องเสียเอาหรอก!
วั่งซูกินข้าวไปอีกหนึ่งถ้วย ไก่หนึ่งน่อง หมูตุ๋นน้ำแดงห้าชิ้น ปลาผัดถั่วครึ่งตัว น้ำแกงตุ๋นแพะอีกหนึ่งถ้วย
ในขณะที่วั่งซูกำลังจะไปกินหมั่นโถวที่ใหญ่กว่าหน้าอ้วนๆ ของตนนั้น เฉียวเวยก็จับมือที่อวบอ้วนของนางเอาไว้ “ไม่ต้องกินแล้ว ถ้ากินอีกเดี๋ยวท้องจะแตกเอา”
วั่งซูทำปากยื่น “ก็ได้ อาจารย์บอกว่ามื้อเช้าต้องกินดีๆ มื้อกลางวันต้องกินให้อิ่ม มื้อเย็นต้องกินให้น้อย”
นี่ นี่ยังเรียกน้อย?!
เฉียวเวยเก็บจานเก็บตะเกียบ แล้วต้มน้ำถังใหญ่ให้เด็กๆ อาบน้ำ อากาศเย็นแล้ว นางไม่กล้าให้ไปอาบข้างนอก จึงให้แช่น้ำอยู่ในห้องกันพักหนึ่ง แล้วถึงได้หิ้วทั้งสองออกจากถังไม้
หลังจากเช็ดตัวให้ทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เฉียวเวยส่งชุดนอนผ้าฝ้ายทั้งชุดให้จิ่งอวิ๋น ในช่วงเวลานี้ ผ้าแพรดูจะเย็นเกินไป อบอุ่นสู้ผ้าฝ้ายไม่ได้
จิ่งอวิ๋นใส่เสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว
มืออ้วนสั้นของวั่งซูกลัดกระดุมไม่ได้ เฉียวเวยจึงช่วยกลัดให้ พอนางลงนอนบนเตียงก็กอดหมอนกลิ้งกลุกกลักเข้าไปข้างในทันที
จิ่งอวิ๋นก็ถอดรองเท้า และกำลังจะปีนขึ้นเตียงบ้าง
จู่ๆ เฉียวเวยก็พูดขึ้นว่า “วันนี้ไปนอนที่ห้องตนเองกันเสีย”
“ทำไมกัน” จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูถามขึ้นพร้อมกัน
“ก็เพราะ… เพราะพวกเจ้าโตกันแล้วน่ะสิ!” เฉียวเวยบอก “พวกเข้าควรเรียนรู้ที่จะนอนกันเองได้แล้ว จะนอนกับแม่ไปตลอดไม่ได้”
ทั้งสองคร้านจะไป
แต่ก็จนใจในความไม่ยอมอ่อนข้อของเฉียวเวย เฉียวเวยจึงหิ้วคนละมือ พาทั้งสองกลับไปยังห้องของตนเอง บังคับห่มผ้าห่ม แล้วทิ้งไข่มุกราตรีเม็ดเล็กไว้ให้เม็ดหนึ่ง
ไข่มุกราตรีเป็นของที่หมิงซิวให้มา เขากลัวว่าหากเด็กๆ ตื่นมากลางดึกแล้วต้องจุดไฟ สู้ใช้ไข่มุกราตรีจะปลอดภัยกว่า
เด็กทั้งสองมองมารดาหายไปจากหน้าประตูอย่างน่าสงสาร น้ำตาจะไหลลงมาอยู่รอมร่อ
มิน่าเล่ามีทั้งปูมีทั้งขนมเข่ง ที่แท้ก็จะหลอกล่อให้พวกตนนอนกันเองนี่เอง ท่านแม่ร้ายกาจมาก ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ!
เฉียวเวยเดินฮัมเพลงกลับไปที่ห้อง หยิบกระดาษเขียนข้อความออกมาจากในลิ้นซัก พบกันยามไห้[1]
มุมปากของเฉียวเวยยกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว นางเก็บกระดาษแผ่นนั้นลงอย่างดี มองใบหน้าในกระจกทั้งสามร้อยหกสิบองศาที่ไม่มีมุมบอดสักนิดแล้วเลิกคิ้วด้วยความพอใจ
จากนั้นก็ยื่นมือเข้าไปในเสื้อบังทรงแล้วจัดทรงเล็กน้อย จนเกิดเป็นร่องอกที่สวยงาม
นางลุกขึ้นยืน โน้มตัวลงเล็กน้อย
ส่วนเว้าส่วนโค้งงดงาม วับแวมแต่ไม่โป๊เปลือย
สมบูรณ์แบบ
[1] ยามไห้ คือช่วงเวลา 21.00-23.00 น.