หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 155-2 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ตอนที่ 155-2 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
อันที่จริงจีหมิงซิวไม่ได้ทำอะไรเลย เขาไม่ได้เอ่ยอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่เพียงหันไปมองม่านอีกฝั่งเล็กน้อยเท่านั้น ในสายตาบางคนที่มีความสามารถแปลกๆ จึงดูคล้ายเขากำลังจูบอีกฝ่ายอย่างอธิบายไม่ถูก
เฉียวเวยมีสาวใช้เดินนำเข้าไปในหลังคา
พื้นที่ใต้หลังคานี้ดูใหญ่ พอเข้ามาแล้วยิ่งรู้สึกใหญ่เข้าอีก
มีลูกศิษย์นั่งอยู่สิบกว่าคนก็ยังไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด ตรงหน้ายังมีโต๊ะตัวยาวตั้งอยู่ มีกระดานหมากและเครื่องชงชาวางอยู่ด้วย
สายตาของเฉียวเวยกวาดมองไปเร็วๆ ทีหนึ่ง มีแต่ลูกศิษย์หนุ่มสาวทั้งนั้น ไม่มีผู้ใหญ่สักคน ข้างกายหมิงซิวไม่ใช่ศิษย์น้องหญิง เป็นศิษย์น้องผู้ชายที่หล่อเหลาสะอาดสะอ้าน ส่วนศิษย์น้องหญิงอยู่ข้างศิษย์น้องชายคนนั้น
ดังนั้นเมื่อครู่หมิงซิวกำลังจูบกับศิษย์น้องผู้ชายคนนี้งั้นหรือ!
เฉียวเวยเพ่งมองไป ถึงได้เห็นว่าศิษย์น้องผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่คือเด็กหนุ่มชุดแดงที่เคยเปล่งประกายจนนางแสบตาอย่างหลี่อวี้
หลี่อวี้ก็เป็นลูกศิษย์ของซู่ซินจงหรือนี่
พอไม่ได้อยู่ในชุดแดง ก็เกือบจำเขาไม่ได้
หนุ่มแน่นเกินไปแล้ว หนุ่มแน่นจนแทบจะบิดเอาน้ำออกมาได้ทีเดียว
ในขณะที่เฉียวเวยกำลังมองสำรวจหลี่อวี้อยู่นั้น หลี่อวี้ก็เห็นเฉียวเวยแล้วเช่นกัน ดวงตาที่ฉ่ำวาวพลันเบิกกว้าง “เป็นเจ้าหรือ” พูดจบก็หันไปมองจีหมิงซิว “พี่สี่! พี่ดูสิ! เป็นนาง!”
“ศิษย์พี่เก้า เจ้าก็รู้จักแม่นางเฉียวหรือ” ศิษย์น้องหญิงถาม
หลี่อวี้จึงตอบว่า “นางเป็นเถ้าแก่รองของหรงจี้ ข้าเคยพบนาง!” ตอนแรกนางยังถูกใจข้าด้วย นางใช้อาหารรสเลิศมาล่อลวงข้า แต่ข้าฝืนข่มเอาไว้ได้ ตอนหลังนางยังส่งสายตาเมียงมองกันไปมากับพี่สี่ พี่สี่ของข้าดูเหมือนจะอดทนไม่ไหว
“พี่สี่?” หลี่อวี้ส่งสายตาพลางขมวดคิ้ว
จีหมิงซิวไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้น
หลี่อวี้ “ครานี้พี่สี่ข้าดูจะทนเอาไว้ได้แล้ว”
ศิษย์น้องหญิงยิ้มพลางแนะนำศิษย์พี่ทั้งชายหญิงให้เฉียวเวยได้รู้จัก “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สามของข้าไม่ได้มา อาวุโสที่สุดในนี้ก็คือศิษย์พี่สี่แล้ว คนนี้คือศิษย์พี่ห้า นี่ศิษย์พี่หก ศิษย์พี่เจ็ด ศิษย์พี่แปด ศิษย์พี่เก้าเจ้ารู้จักอยู่แล้ว นี่เป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ ศิษย์พี่หญิงรอง ศิษย์พี่หญิงสาม ศิษย์พี่หญิงสี่ ศิษย์พี่หญิงห้า ข้ายังมีศิษย์พี่หญิงและศิษย์น้องชายอีกมาก ทุกคนอยู่ที่ซู่ซินจงกันหมด”
เฉียวเวยมองตามสายตาของศิษย์น้องหญิงไป แล้วทักทายพวกเขาทีละคน
พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นลูกศิษย์สายตรงของซู่ซินจงทั้งสิ้น หากอยู่ในบ้านตระกูลใหญ่ก็คือคุณชายสายหลักดีๆ นี่เอง ฐานะสูงส่งนัก ลูกตาแต่ละคนแทบจะไปงอกอยู่บนกระหม่อมแล้ว แต่ก็ติดที่เป็นคนที่ศิษย์น้องหญิงแนะนำ ทุกคนจึงให้เกียรติด้วยการทักทายนาง
เฉียวเวยเลิกคิ้ว ไม่ชักสีหน้า ช่างน่าประหลาดแท้
ศิษย์น้องหญิงเอ่ยอีกว่า “แม่นางเฉียวเป็นสหายของศิษย์พี่สี่ ทุกคนต้องดูแลนางให้ดีนะ”
ประโยคนี้ไม่พูดยังไม่เท่าไร แต่พอพูดขึ้นมา เฉียวเวยก็รู้สึกได้ทันทีว่าสายตาทุกคนดูมีความจับผิดเพิ่มเข้ามา
“นางเป็นสหายของศิษย์พี่สี่หรือ เหตุใดศิษย์พี่สี่ถึงมีสหายเช่นนี้ได้” ศิษย์น้องชายคนหนึ่งงึมงำพลางหันไปมองจีหมิงซิว “ศิษย์พี่สี่ นางเป็นสหายของท่านจริงๆ หรือ”
จีหมิงซิวเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “เรื่องนี้คงต้องถามแม่นางเฉียวแล้ว”
เฉียวเวยได้ยินเช่นนี้ในใจก็เกิดลูกไฟปะทุขึ้น เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “คนเป็นแม่ครัวอย่างข้า จะใฝ่สูงไปคบหากับศิษย์พี่ของเจ้าได้อย่างไร ศิษย์น้องหญิงเข้าใจผิดไปน่ะ ข้าเพียงแค่ทำการค้าอยู่ในภัตตาคาร เคยมีวาสนาได้พบหน้าศิษย์พี่ของพวกเจ้าไม่กี่ครั้งเท่านั้น จะเรียกว่าผูกมิตรกันไม่ได้หรอก”
เช่นนี้นี่เอง ทุกคนดูเบาใจ
ศิษย์พี่สี่เป็นลูกศิษย์ที่เก่งกาจที่สุดของซู่ซินจง ถึงแม้เขาจะไม่ฝึกการต่อสู้ แต่ไม่มีใครเอาชนะเขาได้ ความฉลาดหลักแหลมของเขายิ่งไม่มีใครสามารถเทียบชั้นได้ ในใจของพวกเขา ศิษย์พี่เป็นเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ เป็นคนที่พวกเขาให้ความเคารพสูงสุด
เฉียวเวยเอ่ยในใจว่า ช่างสมกับเป็นศิษย์น้องชายน้องหญิงแห่งต้าเหลียง แค่เรื่องคบหาสหายสักคนยังเรื่องมากเพียงนี้ หากไปเป็นภรรยาเขา จะไม่ยิ่งจ้องแต่จะจับผิดกันกว่านี้หรือ
ศิษย์น้องหญิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ปลาของแม่นางเฉียวหั่นได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าเลยเชิญแม่นางเฉียวมาแสดงฝีมือให้ดูต่อหน้าพวกเราทุกคน”
พูดเสียน่าฟังว่าแสดงฝีมือ ก็ไม่ใช่แค่จะให้นางเป็นแม่ครัวทำอาหารให้พวกเขากินสดๆ หรอกหรือ
แม่นางน้อยผู้นี้ในหัวนางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ นางใสซื่อจริงๆ หรือโง่เขลากันแน่
แค่อยากผูกมิตรกับนางเฉยๆ จึงให้นางมาแสดงฝีมือด้วยความภาคภูมิใจ หรือว่านางโง่เขลาถึงขั้นอยากทำให้นางอับอายต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้
หากเป็นอย่างแรก อีคิวของแม่นางผู้นี้คงเกินเยียวยา หากเป็นอย่างหลังก็คือไอคิวของนางเกินเยียวยา
ช่างเถอะๆ จะไปหยุมหยิมอะไรกับเด็กสาวเช่นนี้ เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนวิเศษวิโสอะไรอยู่แล้ว นางเป็นแค่แม่หม้ายบ้านนอกคนหนึ่ง เคยขายของริมถนน เคยเป็นคนเร่ร่อน ได้มาเป็นแม่ครัวนับว่าเป็นอาชีพที่ประเสริฐมากแล้ว
เฉียวเวยเปิดกล่องเครื่องไม้เครื่องมือของตนอย่างคล่องแคล่ว แล้วหยิบเอามีดคมกริบเล่มเล็กออกมา มีบ่าวรออยู่ข้างๆ ก่อนแล้ว พอเห็นเฉียวเวยเตรียมพร้อมก็รู้งาน เอาปลาตะเพียนตัวใหม่กับเขียงและพวกอุปกรณ์กินอาหารเข้ามาวางทันที
จู่ๆ จีหมิงซิวก็ลุกยืน
ศิษย์น้องหญิงจึงถามว่า “ศิษย์พี่ เจ้าเป็นอะไรหรือ”
จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ ว่า “จะออกไปสูดอากาศหน่อย”
“ข้าไปด้วย!”
“ไม่ต้อง”
จีหมิงซิวเดินผ่านตัวเฉียวเวยไป ชั่วขณะที่ไหล่เฉียดกันนั้น ฝีเท้าของจีหมิงซิวก็ชะงักไป เฉียวเวยยังคิดว่าเขาจะพูดอะไร แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง
เฉียวเวยหลุบตาลง หยิบปลาตะเพียนตัวอวบอ้วนขึ้นมา
เฉียวเวยไม่ได้ตั้งใจจะเอาฝีมือการใช้มีดของตนมาขาย และไม่ได้ตั้งใจจะหมกเม็ด นางทำทุกอย่างไปตามปกติ ปลาแต่ละชิ้นที่นางหั่นออกมา บางเสียจนแทบจะโปร่งแสง
“เจ้าใช้มีดเก่งเพียงนี้เชียวหรือ!” หลี่อวี้อุทานด้วยความตกใจ
ศิษย์น้องชายคนหนึ่งเอ่ยว่า “ฝีมือการใช้มีดของแม่นางเฉียวช่างพบเห็นได้น้อยนักจริงๆ บ้านข้าเปิดภัตตาคารแห่งใหม่ หากแม่นางเฉียวสนใจไปทำงานให้ตระกูลข้า ค่าแรงสามารถพูดคุยกันได้”
เฉียวเวยเหลือบมองอีกฝ่าย สายตาที่เย็นยะเยือกทำให้อีกฝ่ายขนหัวลุก “ข้า ข้าแค่ถามไปอย่างนั้น แม่นางเฉียวอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”
ศิษย์พี่หญิงรองเอ่ยเสียงหวานว่า “ศิษย์น้องของข้าเชิญเจ้ามาด้วยความหวังดี เหตุใดเจ้าต้องดุเขาด้วย ช่างเป็นแม่ครัวที่ไม่รู้จักความหวังดีเอาเสียเลย!”
เล็กน้อยนัก เฉียวเวยไม่ได้พูดอะไร เพียงหั่นปลาในมือด้วยความหงุดหงิด คนกลุ่มนี้มีแต่พวกไร้สมองที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำทั้งนั้น นางคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขา
ศิษย์พี่หญิงรองเห็นเฉียวเวยไม่มีปฏิกิริยาอะไร คิดว่าเฉียวเวยยอมรับอย่างรู้ตัวดี เลยยิ่งได้ใจจนแสดงอำนาจใหญ่โต “ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ! เจ้าหูหนวกหรือเป็นใบ้กัน ไม่รู้จักตอบหรือไร
เฉียวเวยก็ยังไม่สนใจนาง
การทะเลาะเบาะแว้งไม่ใช่เรื่องที่น่าโมโหที่สุด สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคืออีกฝ่ายคร้านแม้แต่จะต่อปากต่อคำกับตน
ศิษย์พี่หญิงรองโกรธจนแน่นหน้าอกไปหมด นางดึงมือศิษย์น้องหญิงมาจับแล้วบอกว่า “เหตุใดถึงมีคนเช่นนี้ได้ ศิษย์น้องหญิง บ้านพวกเจ้าไปเชิญแม่ครัวที่ไหนมา วางท่าวางทางใหญ่โตกว่าฮองเฮาเสียอีก!”
เชอะ เจ้าเคยได้พบฮองเฮาหรือ
ในใจเฉียวเวยยิ้มเยาะ มือยังคงไม่หยุดทำงาน ไม่นานก็หั่นเสร็จอีกจานหนึ่ง
หลี่อวี้รับปลาดิบจานนั้นมาแล้วพยายามให้ทุกอย่างจบลง “ศิษย์พี่รอง อย่าโกรธไปเลย กินปลาเถอะ”
ศิษย์พี่หญิงรองปัดจานนั้นพลิกคว่ำทันที “ของที่คนชั้นต่ำเช่นนี้หั่น ข้าไม่กินหรอก!”
บรรยากาศภายในตัวเรือพลันอึดอัดขึ้นมาทันที แม้แต่สีหน้าศิษย์น้องหญิงก็พลอยดูอึ้งไปด้วย
แต่ละคนต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วนและตกใจ
เฉียวเวยยิ้มเยาะก่อนเอ่ยว่า “คนชั้นต่ำอย่างข้าจวนไท่ซือเป็นคนเชิญมาเชียวนะ เจ้ากำลังด่าว่าข้าเป็นคนชั้นต่ำ หรือกำลังด่าจวนไท่ซือว่าตาไม่มีแววกันแน่ จวนไท่ซือใช้คนชั้นต่ำอย่างข้ามารับใช้คนชั้นสูงอย่างพวกเจ้า ทำให้พวกเจ้าเสียเกียรติ กลับไปอย่าลืมไปร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าไท่ซือสักหน่อย ให้ครั้งหน้าไท่ซืออย่ามาเชิญแม่ครัวชั้นต่ำเช่นข้าอีก เดี๋ยวจะแปดเปื้อนลูกตาสูงส่งของพวกเจ้า”
“นี่เจ้าใช้อะไรพูดน่ะห๊ะ” ศิษย์พี่หญิงรองตบโต๊ะลุกขึ้น!
เฉียวเวยหันไปมองนางเรียบๆ “ใช้ปากพูดน่ะสิ ทำไม ศิษย์พี่ท่านนี้ฟังไม่เข้าใจหรือ”
ศิษย์พี่หญิงรองเอ่ยเสียงเย็นว่า “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นแม่ครัวที่ศิษย์น้องหญิงแนะนำมา เดิมทีคิดจะให้เกียรติเจ้าบ้าง แต่เจ้าไม่รู้ตัวเอาเสียเลย! ศิษย์น้องหญิงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไม่เกี่ยวกับจวนไท่ซือ ขอเจ้าโปรดเข้าใจด้วย”
“ศิษย์พี่เจ้าจะทำอะ…”
ศิษย์น้องหญิงยังไม่ทันพูดจบ ศิษย์พี่หญิงรองก็สะบัดแส้ออกมาจากแขนเสื้อ แส้ฟาดเข้าที่หัวไหล่ของเฉียวเวย เสื้อนางพลันปริแตกจนเห็นเลือดเป็นหยดๆ ซึมออกมา
ศิษย์ของซู่ซินจงแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือด้วยกันทั้งสิ้น ศิษย์ในสำนักไม่ว่าคนใดก็สามารถล้มองครักษ์ชื่ออีเว่ยของจวนยิ่นอ๋องได้ทั้งสิ้น ศิษย์พี่หญิงที่อยู่ในลำดับสองทั้งยังเป็นศิษย์หญิงในซู่ซินจงที่มีคุณสมบัติโดดเด่นที่สุด การจะทำร้ายสตรีที่ไม่เคยฝึกการต่อสู้มาสักคนเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก
เฉียวเวยถูกหวดด้วยแส้ไปทีหนึ่ง หัวไหล่แสบร้อนไปหมด รอบตัวพลันไร้ซึ่งสุ้มเสียง เงียบงันจนน่ากลัว
หลี่อวี้ลุกขึ้นทันที “ศิษย์พี่หญิงรอง เจ้าทำอะไรน่ะ”
ศิษย์พี่หญิงรองแค่นหัวเราะ “สั่งสอนชาวบ้านชั้นต่ำคนหนึ่งเท่านั้น ศิษย์น้องเก้าไม่ต้องสนใจไปหรอก!”
หลี่อวี้เอ่ยด้วยความโกรธว่า “นางไม่ได้ทำอะไรเจ้าเสียหน่อย เหตุใดต้องทำร้ายกันด้วย”
หลี่อวี้อยู่ในสำนักซู่ซินจงด้วยฐานะที่ค่อนข้างพิเศษ เขาตามติดอยู่ข้างหลังจีหมิงซิวทั้งวันราวกับเป็นหางน้อยๆ ไม่ได้คลุกคลีกับลูกศิษย์คนอื่นลึกซึ้งนัก ความสัมพันธ์ย่อมไม่ได้มีมากสักเท่าไร แค่เพราะเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน จึงให้ความเคารพอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่การเคารพอีกฝ่าย ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้อีกฝ่ายมาแสดงกิริยาหยาบคายเช่นนี้ในจวนไท่ซือ
“ศิษย์น้อง เจ้าไม่เห็นหรือว่านางดูหมิ่นข้าอย่างไร”
“คำพูดไหนของนางที่ไปดูหมิ่นเจ้าหรือ เจ้าอย่าคิดเองเออเองว่าตนสูงส่งจนทุกคนในใต้หล้าต้องให้ความเคารพเจ้า! ข้าจะบอกให้นะ ที่นี่คือต้าเหลียง ไม่ใช่หนานฉู่! หากเจ้าอยากระบายอารมณ์ ก็กลับไประบายที่หนานฉู่ของเจ้านู่น!”
หลี่อวี้เป็นเชื้อพระวงศ์ อีกคนเป็นคนหนานฉู่ อีกฝ่ายถึงขั้นกล้าทำร้ายประชาชนชาวต้าเหลียงต่อหน้าเขา เขาทนดูไม่ได้จริงๆ!
เขาไม่มีทางยอมรับว่าเขาชื่นชอบแม่หญิงคนนี้ที่หลงรักตนตั้งแต่แรกพบอยู่บ้าง
หากเป็นคนอื่นถูกตี เขาคงไม่มีปากมีเสียงเช่นนี้
หลี่อวี้ถอดเสื้อตัวนอกออกคลุมลงบนตัวให้เฉียวเวย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เฉียวเวยตอบว่า “ข้าไม่เป็นอะไร ขอบคุณมาก”
คนที่สามารถไปฝึกวิชาที่ซู่ซินจงได้ไม่มีทางเป็นคนทั่วไป แค่ดูจากจีหมิงซิวกับหลี่อวี้ก็พอรู้แล้ว แล้วศิษย์พี่หญิงรองจะเป็นเพียงชาวบ้านหนานฉู่ธรรมดาคนหนึ่งได้หรือ ศิษย์พี่หญิงรองไม่นึกกลัวหลี่อวี้ นางเชิดคางเอ่ยว่า “ศิษย์น้อง ข้าขอบอกว่าเจ้าอย่างสอดมือเข้ามายุ่งจะดีกว่า เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก”
“ไม่ต้องให้เขาสอดมือเข้ามายุ่ง” เฉียวเวยเดินเข้าไปหาศิษย์พี่หญิงรอง จับมือนางกดลงกับโต๊ะ แล้วเอามีดเสียบลงไปทันที!