หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 158-1 ผลสองภพ
ตอนที่ 158-1 ผลสองภพ
เฉียวเวยกำลังมองด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่ออยู่ๆ มาถูกปิดตาเสีย นี่เรียกได้ว่าเหมือนดูภาพยนตร์ในโรง 4D จอยักษ์แล้วไฟดับเลยนะ
ถึงแม้การเปรียบเทียบเช่นนี้จะดูไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้างก็ตาม เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่ต่อสู้กับงูหลามตัวเขื่องก็ไม่ใช่สิ่งไม่มีชีวิต แต่เป็นคนเป็นๆ แต่เพราะเป้าหมายในการมาของพวกเขาเหมือนกับพวกตน คือมาเพื่อช่วงชิงผลสองภพ นางไม่มีทางยอมปล่อยให้ผลที่จะช่วยชีวิตเฉียวเจิงได้ไปแน่นอน ถึงเวลาเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน อย่างไรก็เลี่ยงการฆ่าฟันกันไม่ได้อยู่ดี
เมื่อเทียบกับให้พวกเขามาสังหารนางกับหมิงซิวแล้ว สู้ให้พวกเขาถูกงูสังหารตายเสียดีกว่า
นี่ก็คือหลักการอยู่หรือตายนั่นเอง
ไม่มีอะไรน่าสงสาร หากเป็นนางที่ตาย ศิษย์สมาคมกระบี่ทั้งสองก็ไม่มีทางสงสารนางเช่นกัน
เฉียวเวยพยายามอยู่หลายครั้งก็ยังดึงมือจีหมิงซิวไม่ออก ตามองไม่เห็น แต่หูกลับได้ยินเสียงชัดเจน นางได้ยินเสียงร้องโหยหวนของศิษย์สมาคมกระบี่ “ศิษย์พี่” ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของงูหลามตัวเขื่อง เสียงดาบบ้างฟันเข้ากับต้นไม้ บ้างฟันเข้ากับก้อนหิน เสียงกระพือปีกของนกที่โผบินขึ้นจากต้นไม้ เสียงสัตว์ป่าบริเวณใกล้เคียงที่ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
กว่าจีหมิงซิวจะยอมคลายมือออก การต่อสู้นั้นก็สงบลงแล้ว ดูจากสภาพร่องรอยที่เหลืออยู่ในเวลานี้ ดูจะเป็นงูหลามที่ได้ชัยชนะไป แต่กระนั้นกว่างูหลามจะชนะได้ก็ไม่ง่าย งูหลามตัวผู้ถูกตัดหางขาด ถูกทิ่มตาบอด งูหลามตัวเมียถูกฟันจนท้องขาด เลือดงูไหลออกมานองเต็มพื้น
ศิษย์น้องของสมาคมกระบี่ล้มอยู่ในกองเลือด ร่างของศิษย์พี่กระจายไปทั่ว ดูน่าสังเวชยิ่งนัก
เฉียวเวยคิดดีแล้วหากไม่มีสองคนนี้ล่วงหน้ามาก่อน จุดจบของพวกเขาก็คงไม่ดีไปกว่านี้สักเท่าไร
งูหลามตัวเขื่องใช้พละกำลังไปจนหมดสิ้น ทั้งยังบาดเจ็บ พลังการต่อสู้ลดฮวบลงไปมาก เมื่อต้องจัดการขึ้นมาจึงไม่ลำบากยากเข็นเพียงนั้นอีก
จีหมิงซิวชักมีดสั้นออกมา ระหว่างงูหลามสองตัว เขาเลือกงูหลามตัวผู้ที่บาดเจ็บน้อยกว่าเล็กน้อย เขาไม่อาจใช้กำลังภายใน จำต้องเล่นงานด้วยกระบวนท่าแทน เขาเขยิบเข้าใกล้งูหลามตัวผู้ไปเงียบๆ ในขณะที่งูหลามตัวผู้เลียบาดแผลให้งูตัวเมียอยู่นั้น เขากระชับกริชในมือแล้วกระโดดขึ้นสูง พร้อมพุ่งแทงไปทางหัวงูตัวผู้ทันที
ถึงแม้จะกล่าวกันว่าจะตีงูต้องตีที่หัวใจซึ่งห่างจากหัวงูไปเจ็ดชุ่น แต่เมื่อครู่เฉียวเวยลอบสังเกตดูแล้ว จุดอ่อนของงูหลามตัวเขื่องสองตัวนี้ไม่ได้อยู่ห่างจากหัวไปเจ็ดชุ่น และไม่ได้อยู่ที่หน้าท้องหรือหาง ดังนั้นการที่จีหมิงซิวโจมตีที่หัวของมัน น่าจะเป็นการโจมตีที่ถูกต้อง
สายตาของงูไม่นับว่าดีนัก แค่อยู่ห่างไปหนึ่งเมตรก็แทบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว งูไม่มีหูชั้นนอก หูชั้นกลาง หรือแก้วหูอะไรเหล่านี้ จึงไม่สามารถรับรู้เสียงที่ลอยผ่านอากาศมาได้ ดังนั้นประสาทหูจึงไม่ดีเช่นกัน แต่ปลายประสาทตรงส่วนบุ๋มที่หัวของมันคล้ายประหนึ่งตัวตรวจจับความร้อนในอากาศ สามารถรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปของสภาพแวดล้อมโดยรอบ ชั่วขณะที่มีสัตว์ตัวอุ่นเข้าใกล้มันนั้น พวกมันสามารถจับตำแหน่งของศัตรูได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
จังหวะที่จีหมิงซิวขยับเข้าใกล้นั้น งูหลามตัวเขื่องรู้ตัวเสียแล้ว
แต่งูหลามตัวใหญ่เจ้าเล่ห์แสนกล มันทำประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอจีหมิงซิวเข้ามาใกล้ ชั่วขณะที่จีหมิงซิวเงื้อกริชขึ้นเตรียมจะแทงเข้าที่ศีรษะของมันนั้น จู่ๆ งูหลามตัวผู้ก็ขยับเบี่ยงตัว งูหลามตัวเมียที่นอนอยู่กับพื้นอ้าปากแยกเขี้ยว พุ่งเข้ามาหมายจะกัดจีหมิงซิวอย่างดุร้าย!
เมื่อได้เห็นท่าทางมีกำลังวังชาดั่งราชสีห์ของมัน เฉียวเวยก็เข้าใจทันทีว่าหลงกลมันเสียแล้ว งูหลามตัวเมียตัวนี้ไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไรตั้งแต่ต้น มันถูกฟันเข้าที่ท้องเป็นเรื่องจริง แต่สำหรับงูหลามที่ตัวใหญ่ยักษ์เช่นมันแล้ว ถือเป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น มันตั้งใจนอนอยู่กับพื้นแสร้งทำเป็นอาการหนัก เพราะมันรับรู้ถึงความร้อนจากตัวนางและจีหมิงซิวได้ตั้งแต่ต้น จึงคิดอยากใช้วิธีการนี้มาหลอกล่อพวกนางให้ติดกับ
เจ้างูเจ้าเล่ห์!
“ระวัง!”
เฉียวเลยร้องลั่น
แทบจะในชั่วขณะที่เสียงร้องของนางดังขึ้น กริชในมือจีหมิงซิวจู่ๆ ก็แยกออกมาได้ กริชแยกร่างจากหนึ่งกลายเป็นสอง กริชเล่มแรกเสียบเข้าที่ลำคอของงูหลามตัวเมียที่หมายจะเข้ามากัดเขา กริชเล่มนั้นที่หน้าตาดูเรียบง่ายๆ แต่เมื่อเสียบแทงเข้าไปในคอ คมมีดก็พลันเปลี่ยน ตรงคมกริชมีคมมีดเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่บางเฉียบราวปีกจักจั่น เบาประหนึ่งขนนก ปลายคมแต่ละอันคล้ายยันต์ที่มุ่งจะเอาชีวิตมันให้จงได้ จนงูหลามตัวเมียหมดสิ้นซึ่งกำลังวังชา
ส่วนกริชอีกเล่มหนึ่งก็เสียงเข้าไปที่ “จุดอ่อน” ของงูตัวผู้
ตามปกติจุดอ่อนของสัตว์ประเภทงูจะอยู่ที่ตำแหน่งหัวใจ แต่ขนาดของงูหลามนั้นใหญ่มาก ตำแหน่งของหัวใจย่อมไม่มีทางที่จะอยู่ห่างจากศีรษะลงมาเจ็ดชุ่นจริงๆ อย่างแน่นอน
ต่อให้ศิษย์สมาคมกระบี่มีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใด แต่กลับมีความเข้าใจเกี่ยวกับสัตว์ประเภทนี้น้อยนัก ในขณะที่โจมตีหัวใจงูเหลือมตัวนั้น เขาหาจุดอ่อนที่แท้จริงของมันไม่เจอ จึงไปฟันอยู่ที่ท้องเสียหมด
งูหลามตัวผู้ถูกแทงเข้าที่หัวใจ จึงขาดใจตายลงตรงนั้นทันที
งูหลามตัวเมียเห็นคู่หูตายเสีย จึงส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างดุดัน แต่ก็จนใจด้วยกริชเสียบอยู่ที่ลำคอ การที่มันร้องขู่มีแต่จะยิ่งทำให้กริชปักลึกลงไปมากกว่าเดิม
มันใช้พลังทั้งหมดที่มี ขยับยกหาง แล้วสะบัดฟาดเข้าใส่จีหมิงซิวโดยแรง!
จีหมิงซิวจัดการงูหลามตัวผู้ไปได้แล้ว การจะหลบหลีการโจมตีนี้จึงง่ายราวกับปลอกกล้วย
แต่กระนั้นในขณะที่เฉียวเวยคิดว่าเขาสามารถหลบเลี่ยงไปได้อย่างสบายๆ เขากลับเอาแต่ยืนบื้ออยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ตัวเองถูกหางงูฟาดเข้าใส่อย่างจัง
ตัวของเขาสั่นสะท้านไปเล็กน้อย สีหน้าปรากฏแววเจ็บปวดให้เห็น แต่กลับจับหางงูหลามดุ้นใหญ่ไว้มั่นไม่ยอมปล่อย แล้วใช้กริชตับฉับจนหางขาดสะบั้น!
งูหลามตัวเมียตัวกระตุกไปสองครั้ง ก่อนจะล้มลงกับพื้นแล้วสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้น
เฉียวเวยยืนอึ้งอยู่นานก็ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้ นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเขาแสดงฝีมืออย่างจริงจัง นางดูออกว่าเขาไม่ได้ใช้กำลังภายใน แต่ไอสังหารที่รวดเร็ว ดุดันและแม่นยำนั้น ทำให้สันหลังของนางเย็นวาบไปหมด
นางยังคิดว่าตนเองแสร้งทำเป็นกุลสตรีอยู่เลย ทั้งๆ ที่บุรุษผู้นี้ต่างหากที่เสแสร้งเก่งกาจกว่าใครทั้งสิ้น
เขาดูไม่เหมือนคุณชายตระกูลใหญ่ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อสักนิด ทั้งยังไม่เหมือนพวกตาแก่พ่อปลาไหลที่ดีแต่ปากหวานพลิกลิ้นไปมา เขาเป็นเหมือนอสุรกาย
จีหมิงซิวกำลังจะเข้าไปเอากริชจากตัวงูหลามตัวเขื่องกลับมา เขารับรู้ได้ถึงสายตาของเฉียวเวย จึงดูชะงักเกร็งไป เขาหันไปมองทางเฉียเวย แต่กลับหยุดยืนนิ่งอยู่ห่างจากนางไปประมาณหนึ่งชุ่น ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
จีหมิงซิวใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดกริช แล้วเก็บกริชกับผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดเอาไว้อย่างเก่าขณะเอ่ยกับเฉียเวยว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปเด็ดผลสองภพมาเอง”
เฉียวเวยบอกว่า “ข้าไปกับท่านด้วย”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “ที่นี่จำเป็นต้องมีคนคอยดูต้นทาง หากศิษย์ของสำนักซู่ซินจงมาถึง ข้าอยากจะแบ่งผลสองภพให้เจ้าก็คงไม่ได้แล้ว”
ซู่ซินจง ซู่ซินจง คำก็ซู่ซินจง สองคำก็ซู่ซินจง!
เจ้าแค่แบ่งผลสองภพให้ข้าต่อหน้าพวกเขามันจะเป็นอะไรไป พวกเขาจะยุ่งอะไรไปถึง….
บ้านเจ้าได้
อีตาบ้า
เฉียวเวยทำปากขมุบขมิบขณะเบือนสายตาหนีไปมองอีกทางหนึ่งของป่า “ท่านไปเถิด ข้าจะดูต้นทาง”
จีหมิงซิวเข้าไปในถ้ำงู ถ้ำของงูหลามตัวเขื่องย่อมไม่อาจเทียบกับถ้ำงูธรรมดาทั่วไปได้ ถ้ำของมันไม่เพียงโล่งโปร่งกว้างขวาง แต่ยังสะอาดสะอ้านมากอีกด้วย เห็นจะอยู่กันแค่สองตัว ไม่มีสัตว์ประเภทเดียวกันตัวอื่น เมื่อเดินผ่านตัวถ้ำไป ข้างในเป็นสวนขนาดเล็กที่มีหินจากภูเขาโอบล้อมไว้ ตรงกลางมีต้นไม้ที่ดูเหมือนต้นไป๋อวี้หลันตั้งตระหง่านอยู่ แต่ใบของมันกลับไปเป็นสีฟ้าน้ำแข็ง แต่ละชั้นกลีบดูประณีตราวภาพฝัน
ตรงกลางกลีบดอกไม้เป็นผลสีขาวที่มีขนาดประมาณหนึ่งกำปั้น
จีหมิงซิวเด็ดผลนั้นออกมาแล้วหมุนตัวเดินออกจากถ้ำไป
เรืออูเผิงของจวนไท่ซือเข้าเทียบท่าแล้ว เพราะสวี่หย่งชิงแค่บอกกับไท่ซือว่าตนเองจะมาหายาที่ช่วยรักษาบาดแผล แต่ไม่ได้อธิบายให้ชัดว่าผลสองภพมีความล้ำค่ามากเพียงใด จวนไท่ซือจึงไม่ได้ส่งองครักษ์มาติดตาม คนเรือเอาเรือเข้าเทียบฝั่งแล้วก็ไม่ได้ตามไปด้วยอีก แค่เพียงยืนรออยู่กับที่ด้วยท่าทีนอบน้อมเท่านั้น
นอกจากศิษย์พี่หญิงรองและหลี่อวี้ไว่แล้ว ศิษย์คนอื่นๆ พากันลงจากเรือ
ศิษย์น้องชายคนหนึ่งถามว่า “นี่ก็คือเกาะของจวนไท่ซือหรือ ดูไม่ใหญ่เท่าไรเลยนี่ จะมีสมุนไพรที่อาจารย์ต้องการจริงๆ หรือ”
ศิษย์น้องหญิงจึงตอบว่า “เจ้าอย่าดูแต่ว่าเกาะของท่านตาข้านั้นเล็กเพียงเท่านี้ แต่สมุนไพรบนเกาะมีเยอะมากทีเดียว ท่านแม่บอกว่า ตอนนางเด็กๆ ยังเคยขุดโสมคนได้จากที่นี่ด้วย!”
โสมคนหาได้เป็นของมีราคาค่างวดอะไร แต่โสมคนที่มารดาของศิษย์น้องขุดขึ้นมาได้นั้น เชื่อว่าคงมีอายุนับร้อยปีทีเดียว ศิษย์น้องชายจึงไม่ได้สงสัยอะไร เดินตามทุกคนเข้าไปยังป่าต่อไป
ศิษย์พี่ห้าพูดกับทุกคนว่า “ศิษย์พี่น่าจะขึ้นมาที่เกาะนี้แล้วเช่นกัน อีกเดี๋ยวทุกคนอย่ามัวแต่สนใจหาแต่สมุนไพร คอยมองหาศิษย์พี่กันด้วยล่ะ”
ศิษย์น้องหญิงพยักหน้า สมุนไพรไม่มี ยังหาต่อได้ แต่หากศิษย์พี่หายไป คงจะตามหาไม่ได้แล้ว ดังนั้นเมื่อเทียบกับสมุนไพรแล้ว นางให้ความสำคัญกับการหาตัวศิษย์พี่มากกว่า “พวกเรากระจายกันไปหาเถิด เช่นนี้จะได้ยิ่งหาศิษย์พี่เจอได้เร็วขึ้น”
ศิษย์พี่ห้าคิดแล้วพยักหน้า “ก็ดี ข้าไปกับศิษย์น้องหญิง ศิษย์น้องหก เจ้าไปกับศิษย์น้องหญิงใหญ่กับศิษย์น้องหญิงสาม ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าไปกับศิษย์น้องแปดแล้วก็ศิษย์น้องหญิงสี่ ส่วนศิษย์น้องหญิงห้าเจ้ารั้งอยู่ที่นี่ หากเกิดศิษย์พี่กลับมาที่เรือก่อนพวกเรา เจ้าอย่าลืมส่งสัญญาณให้พวกเราด้วย”
ศิษย์น้องหญิงไม่ค่อยเข้าใจวิธีการของศิษย์พี่ห้าสักเท่าไร “เหตุใดถึงต้องให้ศิษย์พี่หญิงห้าอยู่ที่นี่ด้วย ไปกับพวกเราก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ มีคนช่วยหาเพิ่มอีกหนึ่งคน ก็ยิ่งมีโอกาสพบศิษย์พี่ได้มากขึ้น หากศิษย์พี่กลับมาถึงเรือก่อนหน้าพวกเราจริงๆ ก็ยังมีคนเรืออยู่ที่นี่ ให้เขาบอกศิษย์พี่ให้รอพวกเราก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรศิษย์พี่ก็ไม่มีทางทิ้งพวกเราแล้วไปก่อนอยู่ดี”
ศิษย์พี่ห้าเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงานว่า “ศิษย์น้องหญิง เจ้าลืมแม่ครัวคนนั้นไปแล้วหรือ”
ศิษย์น้องหญิงพลันกระจ่างแจ้งแก่ใจ “ที่แท้ท่านทำเช่นนี้ก็เพราะจะป้องกันนางหรอกหรือนี่ ท่านกลัวนางจะทำมิดีมิร้ายศิษย์พี่หญิงรอง?”
ศิษย์พี่ห้าบอกว่า “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้นนะ ข้ากลัวว่าศิษย์พี่สี่จะปล่อยนางไป”
“ศิษย์พี่ห้า…”
ศิษย์พี่ห้าเอ่ยขัดอีกฝ่าย “ไม่ต้องพูดแล้วศิษย์น้องหญิง รีบไปตามหากันเถอะ”
คณะของพวกเขากระจายกันเป็นสามทางแล้วต่างฝ่ายต่างเดินลึกเข้าไปในเกาะ
เฉียวเวยได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่วมา ในใจนึกมั่นใจว่าศิษย์สำนักซู่ซินจงมากันแล้ว เลยคิดจะเข้าไปเร่งหมิงซิวสักหน่อย ก็พอดีเห็นอีกฝ่ายเดินออกมาจากในถ้ำ
จีหมิงซิวส่งผลไม้สีขาวลูกหนึ่งให้นาง
เฉียวเวยรับไป ปลายนิ้วบังเอิญแตะถูกมืออีกฝ่ายเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาทั้งสองพลันชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเฉียวเวยก็รับเอาผลไม้นั้นไปประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นี่คือผลสองภพที่ว่าหรือ” ขนาดของมันประมาณลูกกีวีเห็นจะได้ เพียงแต่เป็นสีขาวเท่านั้น
จีหมิงซิวตอนอื้อเรียบๆ
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “แล้วลูกของท่านเล่า ขอข้าดูหน่อย”
จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ ว่า “ทำไม กลัวว่าข้าจะเก็บลูกใหญ่ไว้แล้วเอาลูกเล็กให้เจ้าหรือ”
เฉียวเวยพลันเบ้ปาก “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้นนะ ดูเหมือนพวกเขาจะมากันแล้ว”
จีหมิงซิวก็ได้ยินเสียงแล้วเช่นกัน ทว่าเขายังไม่ไปในทันที แต่เข้าไปค้นหาแผนที่จากร่างของศิษย์สมาคมกระบี่
เฉียวเวยรู้สึกแปลกใจ ทั้งๆ ที่ได้ผลไม้ที่ต้องการมาแล้ว ยังจะอยากได้แผนที่ไปอีกทำไม
จากนั้นเฉียวเวยก็เห็นจีหมิงซิวลากเอาศพของศิษย์สมาคมกระบี่ไปริมทะเลสาบ แล้วจับโยนลงน้ำ อาวุธอะไรวางไว้อย่างเก่า แล้วจึงพาเฉียวเวยเดินกลับไปอีกทางหนึ่งที่ศิษย์สมาคมกระบี่ซ่อนชุดเกราะไว้ แล้วเอาชุดเกราะเหล่านั้นไปโยนทิ้งทะเลสาบด้วย
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว จีหมิงซิวถึงได้พาเฉียวเวยไปขึ้นเรือในที่สุด
ศิษย์น้องหญิงห้าพอเห็นจีหมิงซิวก็รีบเข้ามาหาทันที “ศิษย์พี่สี่ ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง”
จีหมิงซิวสู้กับงูหลามตัวเขื่องอย่างดุเดือดไปยกหนึ่ง สภาพย่อมดูไม่ได้ประมาณหนึ่ง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนว่า “ไม่เป็นอะไร”
ศิษย์น้องหญิงห้าเห็นเฉียวเวยที่อยู่ด้านหลังเขาอีกครั้ง สีหน้าพลันดูไม่ดีขึ้นมาทันที คนผู้นี้เป็นสตรีที่ทำร้ายศิษย์พี่หญิงรอง เหตุใดถึงไม่ถูกปลากกินคนกัดตายไปนะ ศิษย์พี่สี่ก็ช่างกระไร สตรีเช่นนี้มีอะไรน่าช่วยกัน
ศิษย์น้องหญิงห้าหยิบเอากระบอกส่งสัญญาณออกมา นางต้องการบอกให้พวกศิษย์พี่ห้ารู้แต่กลับถูกฝ่ามือเย็นเฉียบของจีหมิงซิวคว้าข้อมือเอาไว้ พอจีหมิงซิวออกแรง นางก็ถึงกับชาไปครึ่งแขน กระบอกส่งสัญญาณหล่นลงกับพื้น นางเอ่ยด้วยความเจ็บว่า “ศิษย์พี่สี่ ท่านทำข้าเจ็บนะ!”
เฉียวเวยเดินผ่านตัวศิษย์น้องไปประหนึ่งมองไม่เห็นอีกฝ่าย ขาย่ำลงบนกระบอกส่งสัญญาณจนแตกออกดังเปรี๊ยะ
“ศิษย์พี่สี่…” ศิษย์น้องหญิงห้าหันไปมองจีหมิงซิวด้วยความร้อนใจ
จีหมิงซิวปล่อยมือศิษย์น้องแล้วเดินขึ้นเรือไปกับเฉียวเวย
ศิษย์ของซู่ซินจงเดินหาไปทั่วเกาะเล็กๆ แต่ก็ยังหาจีหมิงซิวกับผลสองภพไม่เจอ เจอเพียงงูหลามตัวเขื่องที่ตายแล้วสองตัว ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของจีหมิงซิวหรือไม่ ทุกคนทะยอยเดินกลับไปยังจุดขึ้นเรือ
เรือนั่นจอดอยู่ตรงริมฝั่ง แต่จีหมิงซิวกับเฉียวเวยไม่อยู่บนเรือแล้ว
….
“อาจารย์”
ศาลารับลมในจวนไท่ซือ จีหมิงซิวมาพบกับสวี่หย่งชิง
สวี่หย่งชิงมองใบหน้าขาวซีดของอีกฝ่ายจึงจับแขนเสื้อขึ้นมาจะจับชีพจรให้เขา แต่กลับพบว่าที่แขนของเขามีรอยแดงขึ้นเต็มไปหมด “นี่มันอะไรกัน”
จีหมิงซิวตอบว่า “อาจไปเจอใบไม้ใบหญ้าอะไรเข้า เลยเกิดอาการแพ้ขอรับ”
สวี่หย่งชิงไม่สงสัยเป็นอื่น จับชีพจรให้เขาต่อไป เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บภายใน ได้ผลสองภพมาแล้วหรือไม่”
จีหมิงซิวพลันมีแววขุ่นเคืองปรากฏขึ้น “เดิมทีควรจะได้มา ข้าจัดการงูหลามตัวเขื่องนั่นได้แล้ว แต่ไม่รู้มีศิษย์จากสมาคมกระบี่มาจากที่ใด อาศัยจังหวะที่ข้าติดพันอยู่กับงูหลาม ฉวยเอาผลสองภพไปได้”
หัวคิ้วของสวี่หย่งชิงพลันขมวดมุ่น “คนของสมาคมกระบี่มาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้าก็แปลกใจมากเช่นกัน ข้อมูลของพวกมันละเอียดกว่าพวกเราเสียอีก พวกมันมีแผนที่บนเกาะ บนแผนที่ยังมีการทำเครื่องหมายตำแหน่งของต้นสองภพไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย” ระหว่างที่จีหมิงซิวพูด เขาก็หยิบเอาแผนที่ที่ค้นมาจากตัวศิษย์สมาคมกระบี่ออกมาจากแขนเสื้อ
สวี่หย่งชิงมองแผนที่โดยละเอียด สีหน้ายิ่งดูไม่พอใจหนักขึ้น “ข้าก็ว่าอยู่ว่าข่าวสมาคมกระบี่รวดเร็วนัก เหตุใดครานี้กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย ที่แท้ก็รู้แต่แรกแล้ว คิดจะอาศัยช่วงที่จวนไท่ซือมีงานเลี้ยงมาลอบตักปลางั้นหรือ ช่างเจ้าเล่ห์แสนกลยิ่งนัก!”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “หากไม่ใช่เพราะข้าบาดเจ็บ คงเอาผลสองภพกลับมาได้แล้ว”
สวี่หย่งชิงถอนหายใจ “เจ้าไม่ควรออกไปเองคนเดียว ข้าให้พวกศิษย์น้องทั้งชายหญิงของเจ้าลงจากเขามาด้วย ก็เพราะจะให้มาช่วยเจ้าเอาผลสองภพ หากมีพวกเขาอยู่ ศิษย์สมาคมกระบี่สองคนนั้นคงทำไม่สำเร็จแน่”
จีหมิงซิวไม่ได้ตอบอะไร
สวี่หย่งชิงถามต่อว่า “เรื่องบนเรือข้าได้ยินแล้ว เจ้าผลีผลามเกินไปแล้วหมิงซิว เจ้าไม่ควรเป็นศัตรูกับศิษย์น้องหญิงรองเพื่อสตรีนางหนึ่งเลย เจ้าปล่อยนางไป ศิษย์น้องหญิงรองของเจ้าจะต้องขุ่นเคืองเจ้าแน่ จะคลี่คลายกันยากนะ!”
สีหน้าจีหมิงซิวเรียบเฉย “นี่เป็นเรื่องของข้า ข้าจะจัดการเองขอรับ”
สวี่หย่งชิงกลับเอ่ยว่า “เจ้ากล่าวเสียฟังดูง่ายดายว่าจะจัดการเอง แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิษย์น้องหญิงรองของเจ้าเป็นใคร นางเป็นบุตรีของจวนแม่ทัพเทพแห่งหนานฉู่ ท่านย่าของนางเคยรับใช้ศิษย์คนหนึ่งจากชนเผ่าลึกลับด้วย สิ่งนี้หมายถึงอะไรเจ้าเข้าใจหรือไม่”
ฐานะของจวนแม่ทัพเทพไม่ได้น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือท่านย่าของนางถึงขั้นมีเบื้องหลังเป็นชนเผ่าลึกลับ
ถึงแม้เบื้องหลังเช่นนี้ดูจะห่างไกลอยู่บ้าง แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ชื่อเสียงของจวนแม่ทัพเทพมีความมั่นคงอย่างมากในหนานฉู่
สวี่หย่งชิงเอ่ยด้วยความหนักใจว่า “ศิษย์ผู้นั้นแค่เพียงมอบตำราพิชัยเล่มหนึ่งให้ท่านย่อของนาง บุตรชายไม่ได้ความของท่านย่านางก็ได้เป็นแม่ทัพเทพแห่งหนานฉู่แล้ว เวลานี้เจ้าทำให้นางไม่พอใจ หากเกิดท่านย่าของนางไปขอร้องศิษย์ผู้นั้นเข้า ผลที่ตามมาจะเลวร้ายเช่นไร ข้าแนะนำว่าเจ้าควรมอบตัวสตรีนางนั้นให้นางไปเสีย อย่าให้ศิษย์น้องหญิงรองของเจ้าขุ่นเคืองเจ้าจะดีกว่า”
จีหมิงซิวเอ่ยสบายๆ ว่า “ศิษย์ผู้นั้นแค่มายังแดนมนุษย์ของเราเพียงครั้งคราว คงกลับดินแดนลึกลับไปนานแล้ว อย่าว่าแต่ตระกูลพวกเขาหาที่พึ่งพิงผู้นั้นไม่พบนานแล้วเลย ต่อให้หาพบแล้วอย่างไร ให้คนผู้นั้นควบม้าลงมาอย่างนั้นหรือ”
“เจ้า…” สวี่หย่งชิงไม่รู้จะเอ่ยอะไรกับศิษย์ผู้นี้อีก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อสองร้อยปีก่อนมีตำแหน่งจิ่วหยางอยู่ สมาคมกระบี่กับซู่ซินจงร่วมมือกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย แต่เพราะพวกเขาทำให้ชนเผ่าลึกลับไม่พอใจ ชนเผ่าลึกลับจึงส่งลูกศิษย์มาคนหนึ่ง ชั่วเวลาเพียงข้ามคืน ตำหนักจิ่วหยางก็ถูกเขาจัดการจนสูญสิ้น”
คนหนึ่งคน ทำลายตำหนักจิ่วหยางทั้งตำหนักจนสูญสิ้น ความสามารถขั้นนี้ สวี่หย่งชิงยอมรับว่าตนไม่มีวันต่อกรได้
สวี่หย่งชิงมองลูกศิษย์ของสำนักตน แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่สะทกสะท้านสักนิด เขาจึงทั้งขุ่นเคืองระคนจนใจในเวลาเดียวกัน ศิษย์ผู้นี้อะไรๆ ก็ดี มีเพียงนิสัยที่ดื้อรั้นไปสักหน่อย ทั้งยังไม่กลัวการข่มขู่ใดๆ ทั้งสิ้น หากบอกเขาว่ามีใครเก่งกาจเพียงใด ต้องคอยหลบเลี่ยงเอาไว้ เขาไม่มีวันฟังเข้าหูเด็ดขาด แต่จะบอกว่าใครคนไหนอ่อนด้อยเพียงใด ต้องให้ความเมตตาแก่เขา เขาก็ไม่มีวันปราณีเช่นกัน
จิตใจของเขาแข็งแกร่งดั่งหินผา ไม่สนทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง