หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 159-2 คืนดี จัดการเรื่องศิษย์น้องหญิง
ตอนที่ 159-2 คืนดี จัดการเรื่องศิษย์น้องหญิง
จีอู๋ซวงหยิบกริชออกมาจากในตู้ “วางใจเถิด เจ้าตัวเล็กนั่นตัวมันล้ำค่าไปทั้งตัว ข้ายังเสียดายที่จะฆ่ามันเลย”
เฉียวเวยกวาดมองกริชของเขาด้วยความสงสัย “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าบอกว่าอยากได้เสี่ยวไป๋ของข้า ก็เพราะอยากรักษาอาการป่วยให้หมิงซิว”
จีอู๋ซวงปรายตามองนาง “แล้วจะอะไรได้อีกเล่า เจ้าคิดว่าข้าจะอยากได้เดรัจฉานตัวยุ่งจอมซุกซนไปไย”
“มันไม่ใช่เดรัจฉาน” เฉียวเวยเอ่ยแก้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลอบเหยียบเท้าจีอู๋ซวง เวลานี้ไม่ใช่เวลามาต่อล้อต่อเถียง หากเจ้าอยากจะวิวาทกับแม่หนูนี่ ไว้รอให้รักษานายน้อยหายแล้ว พวกเจ้าสองคนค่อยหาห้องปิดประตูทะเลาะกันสามวันสามคืนเลยก็ยังได้ แต่เวลานี้ นายน้อยอยู่เช่นนี้ไปอีกหนึ่งเค่อ ก็เท่ากับมีอันตรายมากขึ้นหนึ่งส่วน
จีอู๋ซวงข่มความอยากต่อปากต่อคำของเฉียวเวยลงไป “ข้าจำเป็นต้องใช้เลือดจากมันเล็กน้อย”
เฉียวเวยจึงไปอุ้มเสี่ยวไป๋มา
เสี่ยวไป๋มองมีดที่สะท้อนเป็นประกาย เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมยื่นอุ้งมือออกมา!
“นิ่งๆ หน่อย แค่นิดเดียวเท่านั้น”
ไม่เอา
“เดี๋ยวข้าทำให้ ข้าใช้มีดเก่งนะ ไม่เจ็บเลยจนนิดเดียว”
ไม่ให้
“แค่นิดเดียวจริงๆ”
ยังไงก็ไม่เอา
“เดี๋ยวซื้อยาพิษเม็ดให้เจ้ากิน”
ผู้ปกครองเวลากล่อมเด็กให้ยอมเจาะเลือดมักบอกจะซื้อเค้กให้กิน แต่พอเป็นนางกลับกลายเป็นบอกว่าจะซื้อยาพิษเม็ดให้กิน
เสี่ยวไป๋ยังคงไม่ยินยอม กำอุ้งมือไว้แน่น ยังไงก็ไม่ยอม เป็นตายก็ไม่ยอม
เฉียวเวยตัดสินใจเด็ดขาด “เดี๋ยวให้ลูบหน้าอก”
อุ้งมือของเสี่ยวไป๋ยื่นออกมาทันที
…
จีอู๋ซวงเอาเลือดใส่ลงในขวดเล็กๆ ถึงอย่างไรเสี่ยวไป๋ก็เป็นพังพอนละอ่อนอันแสนล้ำค่า อย่าดูแต่ว่ายามปกติวางท่าองอาจ แค่เลือดขวดเล็กๆ เท่านี้ก็สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้แล้ว
พังพอนละอ่อนอันแสนล้ำค่าซบอยู่กับอกเฉยีวเวยอย่างไร้เรี่ยวแรง ศีรษะน้อยๆ ของมันวางอยู่บนหน้าอกนุ่มนิ่มของเฉียวเวยพลางขยับถูไถเล็กน้อย สบายเหลือเกิน ไม่นานก็หาวหวอดๆ แล้วหลับไปอย่างอารมณ์ดี
จีอู๋ซวงก็ไม่ได้มั่นใจกับเลือดของเสี่ยวไป๋มากนัก แค่เพียงไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้แล้ว ทำได้เพียงรักษาม้าใกล้ตายราวกับม้าเป็นเท่านั้น
จีอู๋ซวงต้มยามาชามหนึ่งโดยใช้เลือดของเสี่ยวไป๋ผสมลงไป เขายกไปที่ห้องของจีหมิงซิว แล้วป้อนให้จีหมิงซิวดื่ม
หลังจากเฉียวเวยกล่อมลูกน้อยจนหลับไปแล้ว ก็ไปที่ห้องของสือชี
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลากจีอู๋ซวงออกไปอย่างรู้งาน
เฉียวเวยนั่งลงบนเตียง มองใบหน้าคนบนเตียงที่ซีดขาวไร้สีเลือด ในใจรู้สึกย่ำแย่ยิ่งนัก
นางรู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงโกรธ และก็รู้ว่าเรื่องเขากับศิษย์น้องหญิง แปดส่วนเป็นเพราะต้องการให้ตนโกรธ แต่ที่นางไม่รู้ก็คือ ระหว่างที่เขาโกรธนางเสียใหญ่โตเช่นนั้น เขาก็ยังคิดอาทางรักษาอาการบิดาของนางอยู่ด้วย
นางคิดมาตลอดว่าตนเองสงบนิ่งพอ แต่หากเปลี่ยนเป็นตน นางไม่มีทางทำเช่นที่เขาทำแน่นอน
เฉียวเวยจับมือเขาไว้
ขอบคุณที่เจ้าไม่ปล่อยมือ
…
จีหมิงซิวตื่นขึ้นมากลางดึก ลืมตาขึ้นมาก็เห็นใครคนหนึ่งนอนฟุบอยู่ตรงหัวเตียง ท่าทางดูหลับไม่สบายนัก แต่กลับจับมือเขาไว้แน่น
ความดื้อรั้นทั้งหมดก็แค่เพียงคิดอยากให้อีกฝ่ายยอมอ่อนลงให้ก่อน
เมื่อมองมือที่จับประสานกับของตนไว้ ต่อให้ขุ่นเคืองมากเพียงใดก็มลายหายไปจนสิ้น ความคิดถึงโหมซัดขึ้นมา ไม่ได้พบหน้ากันไม่กี่วัน ดูยาวนานราวกับเป็นแรมปี
จีหมิงซิวลูบไล้นิ้วมือเรียวยาวของนาง
เฉียวเวยสะดุ้งตื่น ค่อยๆ ยกลำคอที่ปวดแข็งขึ้น นางปวดจนต้องสูดหายใจยาว จากนั้นเมื่อเห็นสายตาคู่ที่ล้ำลึก แววตานางพลันสั่นไหว
“ท่านตื่นแล้ว?”
เป็นความตื่นเต้นและดีใจ
สายตาก็ดูจะยินดีเป็นพิเศษ
จีหมิงซิวไม่ได้พูดอะไร ใช้เพียงนิ้วโป้งไล้มือนางต่อไปเบาๆ
ขัดเขินเล็กน้อย
ใต้เท้าอัครเสนาบดีไม่ใช่คนที่ทะเลาะกับใครแล้วจะกลับมาดีกันได้
รู้สึกประหลาดยิ่งนัก
เฉียวเวยกลับยินดียิ่งนัก อารมณ์ของนางไปมารวดเร็ว ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ง้อได้ง่ายมาก ในเมื่อนางวางเรื่องในใจลงได้แล้ว อะไรก็พูดง่ายขึ้นมาทั้งสิ้น นางเขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วถามเสียงอ่อนหวานว่า “ท่านรู้สึกเช่นไรบ้าง มีรู้สึกไม่สบายที่ตรงใดหรือไม่ ข้าจะไปเรียกจีอู๋ซวงให้มาดูอาการท่านนะ”
“ไม่เป็นไร” ใต้เท้าอัครเสนาบดีที่กำลังจมอยู่ในความยินดีแห่งการคืนดีกัน เลยคิดไม่ทันว่าจีอู๋ซวงนี่คือเรื่องอะไรกัน
จีหมิงซิวจับประสานมือกับอีกฝ่ายไว้แน่น ท่าทางราวกับกลัวว่านางจะหนีหายไปไหน มีเพียงสีหน้าที่ยังคงราบเรียบยิ่งนัก
แต่ตอนกลางคืนมืดขนาดนี้ ใครจะมองเห็นหน้าเขากัน เฉียวเวยรับรู้เพียงแรงจากปลายนิ้วอีกฝ่าย แก้มจึงเห่อร้อนขึ้นมา “ท่านหิวน้ำหรือไม่ ข้าไปรินน้ำให้ท่านก็แล้วกัน”
“อื้อ” เขาตอบรับ
เฉียวเวยมองคนบนเตียงพลางเลิกคิ้ว เขามองมาทางเฉียวเวย สีหน้าดูงุนงง
เฉียวเวยจึงบอกว่า “มือ”
“จับอยู่ไง” เขาบอก
เฉียวเวยกดมุมปากที่อยากจะยกตัวขึ้นเอาไว้ “ปล่อยสิ ถ้าไม่ปล่อยจะไปรินน้ำให้ท่านได้อย่างไร”
จีหมิงซิวคลายมือนางออก แต่กลับจับปลายแขนเสื้อเอาไว้ “ข้าไม่หิวน้ำ”
“ปากแห้งหมดแล้วนะ” เฉียวเวยมองริมฝีปากที่แห้งลอกของเขา
จีหมิงซิวจึงต้องปล่อยมือด้วยความจนใจ เฉียวเวยไปรินน้ำกลับมา เขายังอ่อนแออยู่มาก ไม่มีแรงพอจะลุกขึ้นนั่ง เฉียวเวยจึงใช้ช้อนตักน้ำป้อนเขา ยามเขากินน้ำ สายตาเอาแต่มองหน้าเฉียวเวยไม่ยอมละไปไหน
เฉียวเวยโดนมองจนรู้สึกขัดเขิน รีบป้อนเขากินให้เสร็จแล้วเอาถ้วยไปวางลง
ภายในห้องพลันเงียบงัน
เฉียวเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือทั้งสองจับที่พู่ตรงสายคาดเอว ท่าทางดูสงบเงียบและอบอุ่น
มือของจีหมิงซิววางอยู่นอกผ้าห่ม กำลังรอให้อีกฝ่ายมาจับ แต่นางกลับตีมึนทำเป็นไม่สนใจ
จีหมิงซิวจึงเลื่อนไปจับมือนางเอง
ในที่สุดเฉียวเวยก็รอจนเขายอม “อ่อนให้” เสียที ชั่วขณะนี้รู้สึกประหนึ่งลมพายุได้พัดผ่านไปแล้วจริงๆ
เฉียวเวยนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถามว่า “ทั้งๆ ที่รู้ว่ากินกุ้งไม่ได้ เหตุใดยังกินลงไปอีกเล่า”
นิ้วหัวแม่มือของจีหมิงซิวไล้อยู่ตรงหลังมานาง “ข้าไม่กิน เจ้าจะหายโกรธได้อย่างไร”
ขอบตาของเฉียวเวยพลันแดงระเรื่อ ในใจเกิดอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้พองตัวขึ้นมา
จีหมิงซิวมองไปทางนาง ริมฝีปากที่ไร้สีเลือดโค้งตัวขึ้น “หัวหน้าพรรคเฉียว เจ้าร้องไห้หรือ”
“ไม่ใช่” เฉียวเวยสูดจมูก “แค่ตาข้าน้ำรั่วเท่านั้น”
จีหมิงซิวยกมือขึ้นมาอย่างอ่อนแรง เช็ดน้ำตาตรงหางตาออกให้อีกฝ่าย เฉียวเวยเอาใบหน้าเข้าแนบกับฝ่ามืออีกฝ่ายแล้วถูไถเล็กน้อย จีหมิงซิวกอดนางไว้ ให้นางเขยิบเข้าหาแผงอกของตนแล้วโอบบ่าอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายไว้เบาๆ
ความไม่พอใจ ความขุ่นเคืองทั้งหมด พลันมลายหายไปในชั่วขณะนี้
…
ฟ้าเริ่มสาง เฉียวเวยถูกเสียงเอะอะโวยวายปลุกให้ตื่น นางลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองจีหมิงซิวที่ยังคงหลับสนิท นางเหน็บปลายผ้าห่มให้เขาแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
ที่แท้ก็พวกศิษย์สำนักซู่ซินจงนี่เอง พวกเขาจะเข้ามาแต่ถูกลี่ว์จูขวางไว้ที่หน้าประตู
ลี่ว์จูบอกว่า “พวกเจ้ารอก่อน ข้าต้องไปถามฮูหยินของข้าก่อนถึงจะให้พวกเจ้าเข้ามาได้”
พวกที่มาเหล่านั้นไม่ยอม ศิษย์พี่สี่ยังไม่แต่งงาน มีฮูหยินตั้งแต่เมื่อไรกัน อย่าได้เป็นอนุเจ้าเล่ห์ที่ไหนเชียว ที่กล้ามาแสดงกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าพวกเขา!
เฉียวเวยเดินออกมาช้าๆ “มีอะไรกัน ลี่ว์จู”
ลี่ว์จูราวกับได้ใครมาช่วยชีวิต หันไปทำความเคารพแล้วเรียกขานว่า “ฮูหยิน พวกเขาบอกว่าตนเองเป็นศิษย์น้องชายหญิงของนายท่าน ได้ยินว่านายท่านล้มป่วย จึงคิดจะมาเยี่ยมดูอาการ ท่านว่า… สะดวกหรือไม่”
คนเหล่านั้นพอเห็นเฉียวเวยก็ดูอึ้งกันไปหมด นี่ไม่ใช่แม่ครัวที่ทำร้ายศิษย์พี่หญิงรองจนบาดเจ็บหรือ นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทั้งยังกลายเป็น ‘ฮูหยิน’ ตามที่สาวใช้เรียกขานอีก?
ศิษย์พี่ห้าก้าวออกมาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดจึงเป็นเจ้า”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ข้าเอง ศิษย์พี่ห้าดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยทีเดียว ศิษย์พี่ห้ามาเยี่ยมหมิงซิวหรอกหรือ เวลานี้ดูเหมือนจะเช้าไปสักหน่อย หมิงซิวยังหลับอยู่เลย หากทุกท่านยินดีที่จะรอ เชิญไปรองที่โถงหมิงทิงได้ แต่หากรอไม่ไหว ไว้วันหน้าค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน”
สายตาศิษย์พี่ห้าเย็นยะเยือกลง “เจ้ายั่วยวนศิษย์พี่สี่จริงๆ ด้วย!”
ลี่ว์จูเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “คุณชายท่านนี้ ได้โปรดให้ความเคารพฮูหยินของพวกเราด้วย!”
ศิษย์พี่ห้าส่งเสียงหึ “ข้ากำลังพูดอยู่ ใช่เรื่องที่สาวใช้ต้องสอดปากเข้ามายุ่งเมื่อไรกัน”
คนเหล่านี้มีแต่คนที่ไม่พูดคุยด้วยเหตุผลทั้งสิ้น แค่พูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะคว้าแส้ออกมาแล้ว เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ ว่า “ลี่ว์จูเจ้าถอยออกไปก่อน”
“… เจ้าค่ะ” ลี่ว์จูถอยออกไป
ศิษย์น้องหญิงก้าวออกมา เบิกตาใสซื่อขณะเอ่ยว่า “แม่นางเฉียว เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่บ้านศิษย์พี่ของข้าได้ เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืนเลยหรือ”
เฉียวเวยตอบเรียบๆ ว่า “ผมข้ายังปล่อยสยายอยู่เลย เพิ่งลุกขึ้นมาจากเตียงเมื่อครู่ เจ้าคิดว่าข้าลุกมาจากเตียงผู้ใดเล่า”
“เจ้า…เจ้าช่างน่าไม่อาย!” ศิษย์พี่หญิงสามต่อว่าต่อขานอย่างโกรธเกรี้ยว
เฉียวเวยยิ้มเยาะ “ข้าจะอายหรือไม่อายเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วย ที่ข้าควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว จะอยู่หรือจะไป พวกเจ้าคิดเอาเองก็แล้วกัน”
กล่าวจบนางก็หมุนตัวจะเดินไปทางห้องสือชีทันที
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ศิษย์พี่ห้าเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “บัญชีแค้นที่เจ้าทำร้ายศิษย์น้องหญิงรอง ข้ายังไม่ได้มาคิดบัญชีกับเจ้าเลย!”
เฉียวเวยกำลังจะเดินผ่านไปแล้ว นางหันกลับไปส่งยิ้มเย็นให้อีกฝ่าย “ดังนั้นเจ้าไม่ได้มาเยี่ยมหมิงซิว แต่มาเพื่อคิดบัญชีกับข้าโดยเฉพาะงั้นสิ”
ศิษย์พี่ห้าสะอึกไป “จ้าอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง! ข้ามาเยี่ยมศิษย์พี่เป็นเรื่องจริง แต่ในเมื่อได้พบเจ้าแล้ว บัญชีของศิษย์พี่หญิงรองก็จะจัดการให้จบไปพร้อมกันเลย!”
ศิษย์น้องหญิงดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้ “ช่างเถิด ศิษย์พี่ห้า เรื่องของศิษย์พี่หญิงรอง ท่านพ่อข้ายังบอกแล้วว่าจะไม่เอาเรื่อง เจ้าอย่าได้ฟื้นฝอยหาตะเข็บอีกเลย”
ศิษย์พี่ห้าตะคอกเสียงเบาว่า “ศิษย์น้อยหญิง! เหตุใดเจ้าถึงไปปกป้องนาง”
ศิษย์น้องหญิงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่ได้ปกป้องนาง แต่เรื่องในวันนั้นไม่ใช่ความผิดนางคนเดียวจริงๆ นางเองก็เจ็บตัวไปแล้ว เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเช่นนี้ไม่ดีหรือ ในเมื่อนางเป็นสหาย… คนของศิษย์พี่สี่ เจ้าก็เห็นแก่หน้าศิษย์พี่สี่สักครั้ง อย่าไปหาเรื่องนางเลย”
ศิษย์พี่ห้าหันไปมองศิษย์น้องหญิง “เจ้านี่ก็มีเมตตาเกินไป คิดว่าทุกคนเป็นเหมือนกับเจ้า แต่ว่าศิษย์น้องหญิง ใจคนชั่วร้ายยิ่งนัก คนบางคนต่อให้เจ้าปกป้องนางอย่างไร นางก็ไม่มีวันรู้จักดีชั่วหรอก”
ศิษย์น้องหญิงส่ายหน้า “ข้าเชื่อว่าแม่นางเฉียวไม่ใช่คนเช่นนั้น”
เฉียวเวยยิ้มอย่างประชดประชัน “ศิษย์พี่ห้าของเจ้าพูดถูกแล้ว ข้าเป็นคนเช่นนั้นแล”
ศิษย์พี่ห้าสายตาพลันเยียบเย็น “ศิษย์น้องหญิง เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่ เจ้าเห็นคนเขาเป็นสหาย แต่คนเขาเห็นเจ้าเป็นเพียงตะปูในดวงตา!”
“แม่นางเฉียว” ศิษย์น้องหญิงมองไปทางเฉียวเวยด้วยความเสียใจ “เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
เฉียวเวยก็ไม่ปฏิเสธ “ถูกต้อง เป็นเช่นนั้นเอง ข้าไม่ถูกชะตากับเจ้าจริงๆ ในชีวิตข้า คนที่ข้ารังเกียจที่สุดก็คือคนเช่นเจ้า โตมาพร้อมกับช้อนเงินช้อนทอง ทุกคนมีแต่หมุนรอบตัวเจ้า ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรก็คือถูกทั้งสิ้น แม้แต่ผายลมยังดมว่าหอม ไม่ว่าเจ้าทำอะไร ล้วนมีคนกลุ่มใหญ่คอยสนับสนุนเจ้า ชื่นชมเจ้าอย่างไร้เงื่อนไข ต่อให้เจ้าทำผิด เจ้าก็ยังคงถูกเสมอ แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าพวกเขาเป็นคนสนิท เป็นคนในครองครัว เป็นสหายของเจ้า แต่ข้าไม่ใช่! เหตุใดข้าจะต้องรับไมตรีจากเจ้าด้วย เหตุใดข้าต้องมารับน้ำใจจากเจ้า ให้เจ้าได้เป็นนางฟ้านางสวรรค์ ส่วนข้ากลายเป็นดินโคลนใต้เท้าเจ้า? เจ้าไม่รู้สักนิดว่าสิ่งที่ผู้อื่นต้องการจริงๆ คืออะไร เจ้าคิดแต่ว่าตนเองดีกับผู้อื่นมาก แต่กลับไม่รู้เลยว่าความดีของเจ้ามีแต่จะทำให้ผู้อื่นยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ ที่น่าเศร้าก็คือ คนอื่นแม้แต่จะต่อว่าเจ้าก็ยังไม่มีสิทธิ์ เพราะเจ้าไม่ใช่คนเลวร้าย! หากเจ้าเป็นคนเลวร้าย ข้ายังสังหารเจ้าในมีดเดียวได้ ตบเจ้าได้ แต่เจ้า ข้าทำได้เพียงต่อให้ถูกทำร้ายจนฟันหลุดก็ยังต้องฝืนกลืนลงท้องไป! ใครๆ ต่างชื่นชมว่าเจ้าใสซื่อมีเมตตา กระแนะกระแหนว่าข้าไม่รู้จักดีชั่ว แต่ข้าได้ทำอะไรแล้วหรือ เป็นข้าหรือที่ขอร้องอยากเป็นเพื่อนกับเจ้า เป็นข้าที่ขอโอกาสจากเจ้าให้ได้ออกมาเสนอหน้าสักครั้ง? หรือเป็นข้าที่ขอร้องให้เจ้าช่วยเป็นกาวประสานใจให้”
ศิษย์น้องหญิงอ้าปาก “ข้าไม่ได้…”
เฉียวเวยเอ่ยขัดนาง “เจ้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าเป็นคนใสซื่อจริงๆ เป็นคนจิตใจมีเมตตาจริงๆ แต่เจ้าก็ทำให้ข้าถูกรังแกจนเกินจะทนเช่นกัน! หากไม่ใช่เพราะเจ้าเรียกข้าขึ้นไปบนเรือ ข้าจะได้ลงไม้ลงมือกับศิษย์พี่หญิงรองของเจ้าหรือ! เพราะเหตุใดข้าถึงทำให้ศิษย์ซู่ซินจงอย่างพวกเจ้าไม่พอใจ ต้นเหตุก็เพราะเจ้า!”
ศิษย์น้องหญิงเอ่ยอย่างน่าสงสาร “ข้า… ที่ข้าให้เจ้าขึ้นเรือไปทำอาหารให้ เป็นเพราะคิดว่าเจ้ามีฝีมือดีเท่านั้นจริงๆ จึงอยากใช้โอกาสนี้ให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตา และจะได้ให้เจ้าผูกมิตรกับทุกคนด้วย”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นว่า “ศิษย์น้องหญิง เจ้าเคยเห็นแม่ครัวเป็นมิตรกับเจ้านายหรือ เจ้ายังบอกว่าเจ้าคิดว่าข้าเป็นสหายของหมิงซิว จึงเรียกสหายของเขาขึ้นไปบนเรือ เพราะคิดอยากเรียกใช้ข้าเหมือนบ่าวต่อหน้าเขาและคนอื่นๆ อย่างนั้นหรือ หรือว่าเจ้าไม่คิดว่านี่เป็นการหมิ่นเกียรติกัน อย่าบอกว่าข้าคิดเล็กคิดน้อยเลยนะ ต่อให้เป็นเจ้า ก็คงไม่คิดดีไปกว่าข้าสักเท่าไรหรอก!”
น้ำตาของศิษย์น้องหญิงแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว “ข้า… ข้าไม่ได้คิดมากเพียงนั้น… ข้าไม่รู้ว่าเจ้า…”
เฉียวเวยส่งเสียงหึทีหนึ่ง “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือต่อให้รู้ก็ไม่สนใจ เจ้าคงไม่เคยคิดถึงความรู้สึกใครมาก่อนกระมัง มีความดีใจประเภทหนึ่งที่เรียกว่า “ศิษย์น้องหญิงคิดว่าข้าดีใจ” คนเช่นเจ้า หากพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือมีไมตรีน่าประทับใจ แต่หากพูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน เจ้าไม่ได้ชั่วร้ายเลวทราม แต่เจ้าน่ารังเกียจเสียยิ่งกว่าคนชั่วร้ายเลวทราม! เรื่องที่ผ่านไปแล้วข้าไม่อยากพูดถึงอีก ที่พวกเจ้าซู่ซินจงคิดจะหาเรื่องข้า ข้าขอรับไว้ทั้งหมด! หากพวกเจ้าต้องการพบหมิงซิวก็ไปรอที่โถงหมิงทิง หากไม่อยากพบก็กลับไปเสีย!”
เฉียวเวยหมุนตัวขึ้นบันไดไป นางเหมือนคิดอะไรได้จึงหันกลับมาอีกครั้ง มองไปยังศิษย์น้องหญิงที่น้ำตาใกล้จะร่วงหล่นลงมาเต็มที “อีกอย่าง ข้าไม่สนว่าเจ้าคิดอย่างไรกับหมิงซิว แต่จงเก็บความคิดของเจ้าไว้เสีย! หมิงซิวมีเจ้าของแล้ว ใครก็ห้ามคิดอะไรกับเขาทั้งนั้น!”