หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 163-1 บุปผางาม จันทรากระจ่าง
ตอนที่ 163-1 บุปผางาม จันทรากระจ่าง
เลือดของเสี่ยวไป๋ไม่เสียแรงที่เป็นยาวิเศษรักษาบาดแผล จีหมิงซิวดื่มยาที่ใช้เลือดของมันเป็นตัวนำ พลังภายในที่ปั่นป่วนจึงถูกกดลงไปหมด มีเพียงบาดแผลที่ได้จากสวี่หย่งชิงเท่านั้นที่ยังจำเป็นต้องค่อยๆ รักษาต่อไป
ใบสั่งยาของจีอู๋ซวง ‘พักผ่อนบนเตียง’
เฉียวเวยต้องกลับขึ้นเขา นางออกมานานเพียงนี้แล้ว เด็กๆ คงร้อนใจกันแย่ ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ นางเองก็คิดถึงบุตรทั้งสองแล้วเช่นกัน คิดจนปวดใจไปหมดแล้ว
จีหมิงซิวคว้าแขนเสื้อนางไว้ น้ำเสียงฟังดูน่าสงสาร “ค้างสักคืนเป็นไรไป ข้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว ยังกลัวข้าจะทำอะไรเจ้าอีกหรือ”
ก็เพราะข้าคิดว่าท่านทำอะไรข้าไม่ได้ อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ
เฉียวเวยรู้สึกตกใจกับความคิดชั่วร้ายของตนเอง นางกระแอมให้ลำคอโล่ง “ต้องกลับแล้วจริงๆ พวกเขาไม่เห็นข้า จะนอนไม่หลับได้”
ทำเหมือนว่านายน้อยอย่างข้านอนหลับอย่างนั้นแหละ!
จีหมิงซิวต่อสู้ไม่เป็นผล จำต้องลุกขึ้นไปส่งนาง
ตอนแรกเฉียวเวยไม่ยอม แต่กลับสู้ความดื้อดึงของอีกฝ่ายไม่ได้
อัครเสนาบดีผู้มีอำนาจแห่งแคว้น ละทิ้งจวนอัครเสนาบดีไม่ยอมอยู่ วันๆ เอาแต่วิ่งออกนอกเมือง ใช้ได้ที่ไหนกัน!
ทั้งสองก้าวขึ้นรถม้ากลับหมู่บ้านไปโดยมีสายตาคมกล้าดั่งใบมีดของจีอู๋ซวงคอยมองมา
ตอนที่รถม้าเคลื่อนตัวเข้าหมู่บ้านนั้น ฟ้ามืดสนิทหมดแล้ว ม่านฟ้ายามราตรีคล้อยต่ำ ดวงดาวกระจายระยิบระยับ หมู่บ้านโอบล้อมอยู่ใต้แสงจันทร์อันมืดสลัว เงียบเชียบและสุขสงบ
เฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้า “ท่านไม่ต้องขึ้นไปแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
จีหมิงซิวบอกว่า “ข้าอยากไปเจอลูก”
เฉียวเวยหันมองทางขึ้นเนินที่มีความชัน คิดถึงร่างกายที่บาดเจ็บหนักของเขาแล้วทนไม่ได้จริงๆ ต้องบอกว่า “ข้าแบกท่านขึ้นไปดีหรือไม่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอดไม่ไหว หัวเราะออกมา
เฉียวเวยเห็นจีหมิงซิวไม่พูดอะไร จึงบอกอีกว่า “ข้าอุ้มเจ้าก็ยังได้”
ถึงอย่างไรข้าก็มีแรงมาก
ในหัวจีหมิงซิวคิดถึงภาพตนถูกใครบางคนอุ้ม สีหน้าเลยพลันดูย่ำแย่ขึ้นมาทันที
ส่วนเยี่ยเฟยเจวี๋ยที่นั่งอยู่บนรถ ก็หัวเราะงอหายเสียงฮ่าๆๆ ดังลั่นไปแล้ว
เสียงผลั่กดังขึ้น เขาล้มลงกับพื้น กินโคลนเข้าไปเต็มเปา…
เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าตนมีพละกำลังที่ดี จีหมิงซิวยืนยันที่จะเดินขึ้นเนินด้วยตนเอง
บรรยากาศบนภูเขาติดจะเย็นน้อยๆ ป้าหลัวกับปี้เอ๋อร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กตรงหน้าประตู หันหน้าไปทางตีนเนิน พวกนางกอดเด็กไว้คนละคน พวกเด็กๆ นอนหลับกันไปแล้ว ทั้งสองก็ใกล้จะผล็อยหลับเต็มที สัพหงกกันเป็นระยะๆ
“แม่บุญธรรม ปี้เอ๋อร์” เฉียวเวยตีไหล่พวกนางเบาๆ
ป้าหลัวที่กำลังกรน สะดุ้งตื่นทันที นางมองเฉียวเวย แล้วมองจีหมิงซิวที่อยู่ด้านข้าง “กลับมาแล้วหรือ พวกเจ้า”
พวกเจ้า
สายตาจีหมิงซิวสั่นไหวเล็กน้อย
“ฮูหยิน คุณชาย” ปี้เอ๋อร์หาวออกมา “หิวหรือไม่ ให้ข้าไปทำอะไรให้พวกท่านกินหน่อยไหม”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่หิว เจ้ากับแม่บุญธรรมรีบกลับไปพักเถิด วันนี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
พูดจบ เฉียวเวยก็รับตัวจิ่งอวิ๋นจากป้าหลัว แล้วอุ้มวั่งซูมาจากอกปี้เอ๋อร์
จีหมิงซิวเห็นแล้วเหนื่อยแทน จึงรับจิ่งอวิ๋นไปอุ้มเสียเอง
ป้าหลัวเห็นพวกเขาอุ้มบุตรชายคน บุตรสาวคน พลันรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่เลว ถึงแม้นางจะไม่ชอบใจบุรุษผู้นี้ที่มีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้วแต่ยังมาหว่านเสน่ห์ใส่ลูกสาวนางก็ตามที แต่ก็ต้านทางที่เขามีเงินทั้งยังรูปหล่อไม่ไหว เขาดีกว่าพวกที่นางหามาหลายร้อยเท่านัก
ป้าหลัวตะโกนบอกว่า “เดิมทีคิดจะเข้าไปนอน แต่พอเข้าไป เด็กทั้งสองเลยตื่น บอกจะไปรอเจ้าที่หน้าประตูให้ได้ ข้าบอกว่าคืนนี้เจ้าอาจจะไม่กลับมา พวกเด็กๆ ก็เสียใจ”
เจ้าเด็กติดแม่ โชคดีที่นางกลับมา
ป้าหลัวกับปี้เอ๋อร์ที่ยังคงงัวเงียเดินกลับไปห้องของตนแล้ว จีหมิงซิวกับเฉียวเวยถึงได้อุ้มบุตรเข้าไปในห้อง
ชั่วขณะที่วางพวกเขาลงบนเตียง จิ่งอวิ๋นก็รู้สึกตัว พอเห็นเป็นหมิงซิว แวบแรกเขาดูอึ้งไป จากนั้นก็หันไปมองหามารดา เมื่อมั่นใจว่ามารดาอยู่ด้วย จึงหลับตาแล้วนอนหลับไปด้วยความสบายใจ
“เขาเลือกคนมาก” เฉียวเวยวางวั่งซูลงบนเตียง “เขาไม่ค่อยชอบให้คนอื่นอุ้ม โดยเฉพาะยามหลับ หากเป็นคนอื่นที่เขาไม่ค่อยชอบ เขาจะตื่นเต็มตาทันที”
จีหมิงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ ที่เฉียวเวยมักแสดงออกมา เมื่อได้สนิทสนมกันนานวันเข้า บนหน้าเขาก็เริ่มมีสีหน้าที่นางชอบทำ “ความหมายของเจ้าคือเขาชอบข้า”
เฉียวเวยห่มผ้าห่มให้บุตรทั้งสองคนละผืน “ความหมายของข้าคือ เขาขาดความรู้สึกปลอดภัย!”
ใต้เท้าอัครเสนาบดีดื้อดึงยิ่งนัก “ก็บอกอยู่ชัดๆ ว่าเขาชอบข้า”
เฉียวเวยยกมุมปากขึ้นโดยไม่มีใครทันเห็น “ท่านอยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ”
จีหมิงซิวนั่งลงตรงหัวเตียง มองเด็กทั้งสองที่กำลังหลับสนิทด้วยสายตารักใคร่ “บุตรชายของข้า ก็ย่อมต้องชอบข้าสิ”
เฉียวเวยเริ่มเก็บข้าวของ
ในห้องมีเด็ก มีบุรุษ เด็กๆ กำลังหลับฝันหวาน ลมหายใจสม่ำเสมอ บุรุษไม่ได้พูดอะไร เพียงนั่งเงียบๆ อยู่ตรงหัวเตียง ภายในห้องเงียบงันจนน่าประหลาด แต่กลับมีความอบอุ่นเจืออยู่จางๆ อย่างบอกไม่ถูก
ระหว่างที่จัดการงานในมือ พอเหลือบสายตาขึ้นมาเห็นว่ามีคนอยู่เป็นเพื่อนตน ความรู้สึกเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้เลวร้ายเช่นที่คิดไว้เท่าไร
หากหลังจากแต่งงานไปแล้วเป็นเช่นนี้…
“หมิงซิว” เฉียวเวยกำลังแกะห่อผ้า ทำประหนึ่งเอ่ยเรียกชื่อเขาโดยไม่ตั้งใจ
“หือ” จีหมิงซิวหันมามองนาง ไม่รู้เพราะแสงเทียนสะท้อนเข้าตาเขาหรือไม่ จึงทำให้สายตาเขาดูอบอุ่นไปหมด
เฉียวเวยขยับปาก “ข้า…”
“อยากพูดอะไร” จีหมิงซิวถามเบาๆ
“ข้า…”
พูดไม่ออก!
นางยังเตรียมใจไม่พร้อมที่จะเอาชีวิตอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือของตนทั้งหมดไปมอบให้กับใครอีกคนหนึ่ง นางถูกทอดทิ้งตั้งแต่ลืมตาดูโลก ไม่เคยรับรู้ถึงความอบอุ่นในครอบครัว นางไม่ใช่ไม่วาดหวัง ยามเมื่อเห็นคนอื่นมีพ่อมีแม่ นางก็นึกอิจฉา นึกวาดหวัง แต่แค่เพียงวาดหวังจะมีประโยชน์อะไร นางก็ยังไม่ได้อะไรอยู่ดี
ความรู้สึกในช่วงนั้น เต็มไปด้วยความริษยาและเจ็บปวด นางถึงขั้นรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้
ยามที่จิตใจนางยังเป็นเด็กน้อยและทนรับเรื่องนี้ไม่ได้นั้น นางบอกตนเองทุกวันว่านางไม่ต้องการ นางอยู่คนเดียวก็มีชีวิตที่ดีได้
พอนานวันเข้า นางก็เชื่อจริงๆ ว่าตนเองอาจจะไม่จำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้
ความรู้สึก “ไม่ต้องการ” นี้ อยู่กับนางมายี่สิบกว่าปี ยามที่ป้าหลัวปรากฏตัวขึ้น หรือแม้กระทั่งเฉียวเจิงปรากฏตัวขึ้น นางไม่กล้าให้ตนเองไป “ต้องการ” สิ่งเหล่านี้
เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความรู้สึก “ต้องการ” นี้ถูกตัดออกไป ความสะเทือนใจที่นางต้องแบกรับ คงมากกว่ายามนางเป็นเด็กเป็นสิบเท่าร้อยเท่า
ส่วนเขา นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง “เจ้าเป็นอะไร” จีหมิงซิวมองนางอย่างอบอุ่น
“ข้า…” เฉียวเวยเม้มปาก มือที่จับห่อผ้าไว้กำแน่นขึ้นเล็กน้อย
สายตาจีหมิงซิวกวาดมองใบหน้าที่ติดจะซีดขาวของอีกฝ่าย รวมถึงปลายนิ้วที่ถูกนางกำเสียจนไร้สีเลือด เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้ากำลังกลัวอะไร”
เฉียวเวยพยายามตั้งสติ ไม่สบตาอีกฝ่าย เพ่งมองเพียงห่อผ้าที่ถูกตนขยำจนเห็นเป็นรอยยับ “ก็ไม่ถึงกับกลัว แค่ว่า… แค่ว่ามีเรื่องบางเรื่องที่ข้าไม่รู้ว่าดีหรือไม่ ไม่ค่อยมั่นใจ… ว่าจะลองดูสักตั้งดีหรือไม่”
จีหมิงซิวเอ่ยออกมาจากใจจริง “มีเรื่องราวมากมายที่จำต้องลองดูก่อนถึงจะรู้ได้ หากเจ้าไม่มีแม้ความกล้าหาญ เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องนั้นดีหรือไม่”
“ที่พูดก็จริงอยู่” เฉียวเวยดึงติ่งหูตนเองเบาๆ
“อยากพูดให้ข้าฟังหรือไม่” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยมองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย เรื่องของซู่ซินจงแวบเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ คนผู้นี้เกรงว่าคงจะเป็นบุรุษที่ดีที่สุดที่นางจะได้พบในชาตินี้แล้ว หากแม้แต่เขายังไม่สามารถฝากชีวิตที่เหลือเอาไว้ได้ เกรงว่าคงไม่มีใครที่นางสามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้อีก
เมื่อความคิดนี้แวบขึ้นมา เฉียวเวยก็ตัดสินใจเด็ดขาด “ข้าคิดว่า…”
เพิ่งพูดไปได้ไม่กี่คำ นางก็ดึงแขนจนห่อผ้าคลี่ออก เสื้อผ้าหล่นกระจายลงพื้น สิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างกระโปรงหลัวสีฟ้าอ่อนสองตัว คือกางเกงตัวในตัวใหญ่สีขาว
สายตาจีหมิงซิวพลันดุดัน “นั่นคืออะไร”
เฉียวเวยมองกางเกงหน้าตาประหลาดนั้นแล้ว ในใจคิดว่า ข้าไม่ได้เอวใหญ่ขนาดนั้นเสียหน่อย นางเพ่งมองอยู่พักหนึ่ง รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด แล้วจู่ๆ ก็รับรู้ได้ว่าคืออะไร นางหยิบกางเกงตัวในนั้นขึ้นมายัดกลับใส่ห่อผ้าดังเดิม!
จีหมิงซิวก็ “เห็นชัด” แล้วเช่นกันว่าคืออะไร แม่คนใจโฉด ขโมยกางเกงในเขาจริงๆ ด้วย!
ใต้เท้าอัครเสนาดบีข่มกลั้นความเจ็บที่ถูกสวี่หย่งชิงทำร้าย เดินไปที่โต๊ะพร้อมสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม เขาแย่งห่อผ้าไปจากมือนาง เปิดออก แล้วหยิบกางเกงตัวในตัวใหญ่สีขาวของตนออกมา “เจ้าสำนักเฉียว หากนายน้อยอย่างข้าจำไม่ผิด กางเกงตัวนี้ดูเหมือนจะเป็นของข้ากระมัง เจ้าขโมยกางเกงตัวในของข้า!”
“ข้าเปล่า!” เฉียวเวยปฏิเสธทันทีโดยไม่มีหยุดคิด
จีหมิงซิวหัวเราะหึหึ “ถ้าเปล่าแล้วเจ้าจะซ่อนทำไม”
ตาทรงถั่วซิ่งเหริน[1]ของเฉียวเวยเบิกโต “ก็ไม่ใช่เพราะกลัวท่านเข้าใจผิดหรอกหรือ นี่ไง ท่านเข้าใจผิดจริงๆ ด้วยใช่ไหมเล่า”
จีหมิงซิวยิ้มเย็น “เข้าใจผิด? เช่นนั้นเจ้าบอกมาที เหตุใดกางเกงตัวในของข้าถึงไปอยู่ในห่อผ้าเจ้าได้”
เฉียวเวยร้อนรนจนกระทืบเท้า “ท่านถามข้าแล้วข้าจะไปถามใครเล่า สรุปแล้วไม่ใช่ข้าที่ใส่เข้าไปก็แล้วกัน!”
จีหมิงซิวหรี่ตาลงอย่างอันตราย “ไม่ใช่เจ้า แล้วเป็นลี่ว์จูหรือไร”
เจ้าสำนักเฉียวไม่รู้ตัวสักนิดว่าเป็นฝีมือลี่ว์จู “ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นตัวท่านเองนี่!”
จีหมิงซิวยิ้ม “หึ ตอนเจ้าเก็บของ ข้ายืนอยู่ห่างๆ ตลอดเวลา แม้แต่ชายห่อผ้าก็ยังไม่ได้แตะ หนำซ้ำข้ายังออกมาจากห้องก่อนเจ้า พอออกมาแล้วก็ไม่ได้กลับเข้าไปอีก ข้าจะมีโอกาสทำเรื่องเช่นนี้เมื่อไรกัน”
ข้อนี้เฉียวเวยไม่อาจโต้แย้งได้ ตอนที่นางเก็บของ เขาแค่ยืนอยู่ห่างไปด้านหนึ่งจริงๆ เขาพูดคุยกับนางไม่กี่ประโยคก็ไปอยู่กับเด็กๆ ที่ลานแล้ว จนกระทั่งนางถือห่อผ้าขึ้นรถม้า เขาก็ตามมาขึ้นรถม้าด้วย ตลอดช่วงเวลานั้น เขาไม่ได้แตะต้องห่อผ้าของนางเลย
แต่หากไม่ใช่เข้า และไม่ใช่ลี่ว์จู แล้วจะเป็นใครได้
ถึงอย่างไรก็คงไม่ใช่ตัวนางเองที่เก็บเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจหรอกกระมัง
นางจำได้แม่นว่าตนเองเอากางเกงของเขาพับใส่ลิ้นชักไปแล้ว หรือว่าหลังจากพับใส่ลิ้นชักไปแล้ว นางจะเผลอเรอจนหยิบกางเกงออกมาใส่ห่อผ้าตนเองอีกอย่างนั้นหรือ
นางขี้หลงขี้ลืมเพียงนั้นเชียวหรือ
ในใจจีหมิงซิวยินดีจนแทบมีดอกไม้ผลิบาน แต่ฉากหน้ากลับเอ่ยประชดประชันเต็มที่ว่า “ขโมยกางเกงตัวในผู้ชาย เจ้าสำนักเฉียวคิดจะทำอะไรกันแน่ คงไม่ได้จะเอาออกมาใช้ตอนจะผ่อนคลายตนเองหรอกกระมัง”
เฉียวเวยถูกสายฟ้าฟาดจนขนลุกไปหมด “ท่านพูดไร้สาระอะไรน่ะ ใครเขาผ่อนคลายตนเองกัน!”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง “ข้าเห็นจะๆ ตั้งสองครั้งแล้ว ยังจะบ่ายเบี่ยง”
ในใจเฉียวเวยอยากจะร้องว่าพระเจ้าช่วยกล้วยทอด!
“หึหึ หัวหน้าพรรคเฉียวหน้าแดงเพียงนี้ ดูท่าข้าคงพูดถูกสิท่า”
ข้ากำลังโกรธหรอกโว้ย!
“เหงื่อแตกหมดแล้ว มา เช็ดหน่อย” จีหมิงซิวหยิบ “ผ้าเช็ดหน้า” สีชมพูออกมาจากอกเสื้ออย่างเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี หางตาเหลือบไปเห็นว่าสีผ้าเช็ดหน้าตนดูจะแปลกๆ จึงอึ้งไป ยังคิดไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น พอเขาคิดออกก็จะรีบชักมือเอา “ผ้าเช็ดหน้า” ยัดกลับเข้าอกเสื้อเช่นเดิม แต่กลับถูกเฉียวเวยที่มือไวตาไว คว้าข้อมือเอาไว้ได้
เฉียวเวยหรี่ตาลงอย่างอันตรายยิ่งกว่าเขา “นายน้อยหมิง ที่คืออะไรหรือ คงไม่ใช่ตู้โตวของข้ากระมัง”
“เจ้ามองผิดไปแล้ว” จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิม
เฉียวเวยยิ้มอย่างแดกดัน “ตู้โตวตัวนี้ข้าเย็บเองกับมือ ที่เสื้อยังปักชื่อข้าไว้อยู่เลย ข้าจะมองผิดได้หรือ”
“ชื่อของเจ้า?” จีหมิงซิวขมวดคิ้ว กางตู้โตวตัวนั้นออกแล้วมองไปยังมุมเสื้อที่มีด้ายสีขาวปักเป็นกระจุกอยู่ “ลูกท้อนี่น่ะหรือ”
เฉียวเวยเดือดจัด “ดอกเฉียงเวย! ข้าปักเป็นดอกเฉียงเวย!”
จีหมิงซิวที่เอาเข้าจริงแม้แต่จะมองให้เป็นลูกท้อก็ยังต้องใช้จินตนาการ “…”
แต่ไม่ว่าอย่างไร เฉียวเวยที่จับคนทำผิดได้คาหนังคาเขาก็สามารถยืดหลังตรงอย่างอกผายไหล่ผึ่งได้แล้ว นางเอ่ยด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “นายน้อยหมิง อธิบายให้ข้าน้อยฟังทีได้หรือไม่ ตู้โตวของข้าน้อย เหตุใดถึงไปอยู่ในอกเสื้อของท่านได้ ซ้ำยังเอามาใช้เป็นผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อเสียอีก ใช่ว่าท่านจะใช้เช็ดเสร็จแล้วดมต่ออีกสักหน่อยหรือไม่ ท่านมันคนโรคจิต! ลามกจกเปรต!”
จีหมิงซิวไม่เข้าใจว่าลามกจกเปรตแปลว่าอะไร แต่เขาฟังรู้ว่าคำว่าลามกนั้นไม่ใช่คำที่ดีอะไร “ใครบางคนยังขโมยกางเกงตัวในข้าเลย ใครกันแน่ที่ลามกจกเปรต”
“ท่าน!”
“เหอะ”
อันที่จริงจีหมิงซิวเป็นผู้รับเคราะห์โดยแท้ ชุดตัวเมื่อวานทั้งๆ ที่เอาไปซักแล้ว เสื้อตัวนี้ควรจะซักไปด้วยกันถึงจะถูก เหตุใดตู้โตวของนางถึงมาอยู่ในเสื้อตัวในของเขาได้
ไฉนเลยเขาจะรู้ว่า ตอนที่ลี่ว์จูซักเสื้อผ้าให้เขา บังเอิญพบว่าในเสื้อตัวในของเขามีตู้โตวของเฉียวเวยอยู่ จึงคิดว่าเขามีรสนิยมเช่นนี้ นางซักตอนกลางคืนเสร็จ พอเอาไปผิงจนแห้งก็นำมาพับจนเรียยบร้อย แล้วเอาเข้าไปใส่ในเสื้อตัวในเขาให้อีกครั้ง ซ้ำยังรมกลิ่นเสียหอมฉุยอีกด้วย!
จีหมิงซิวที่ถูกลี่ว์จูแกล้งเกือบตายพูดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
“นี่เป็นหลักฐาน นายน้อยอย่างข้าจะไม่เอากลับไปด้วย” จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน
ขนตาเฉียวเวยสั่นไหวเล็นน้อย เอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ข้า…ข้าก็จะไม่เอาหลักฐานของตัวเองกลับไปเหมือนกัน ต้องมีสักวันที่ความจริงปรากฏ ท่านรอดูเถิด!”
ทั้งสองหยิบหลักฐาน (ของ) ความ (แทน) ผิด (ใจ) ของอีกฝ่ายกลับไป สีหน้าทั้งสองเรียบเฉย คนที่ควรลงเขาก็ลงเขา คนที่ควรอาบน้ำก็อาบน้ำ แต่ทั้งสองยากจะข่มตาให้หลับ
อากาศบนเขาในฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นและหมอกหนาเป็นพิเศษ สามารถมองเห็นไปได้ไม่กี่เมตร
เฉียวเวยไม่ได้เห็นหมอกที่หนาตาเช่นนี้มานานแล้ว ที่เคยเห็นเป็นสมัยตอนเด็กที่อยู่ในเรือนโดดเดี่ยว ตอนเช้าตรู่เวลาไปเรียนหนังสือในฤดูใบไม้ผลิกับฤนูหนาว ทุกเช้ามักจะหมอกลงหนักเช่นนี้ ดูประหนึ่งดินแดนแห่งทวยเทพ
เฉียวเวยชอบบรรยากาศเวลามีหมอก
นางยืดเอวบิดขี้เกียจแล้วไปล้างหน้าล้างตาที่เรือนหลัง ตอนกลับไปถึงห้องก็ไม่แปลกใจที่เห็นจิ่งอวิ๋นตื่นนอนแล้ว เขากำลังพับผ้าห่มอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่เพราะแรงน้อย จะพับผ้าห่มบุนุ่นที่หนักสี่จินสักผืนยังดูลำบาก กระทั่งที่จมูกมีเหงื่อผุดขึ้นมา
เฉียวเวยหัวเราะเบาๆ แล้วเดินเข้าไปหา “เจ้าวางไว้เถิด แม่พับเองก็ได้”
“ข้าอยากช่วยท่านแม่ทำอะไรบ้าง” เขาเบิกตาที่ดำสนิทเป็นประกายราวกับก้อนหิน ขณะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ในใจเฉียวเวยมีความรู้สึกอบอุ่นวาบผ่าน นางหอมแก้มบุตรชาย แก้มที่ถูกหอมแดงขึ้นมาให้เห็นทันตา เขาเขินอายจนจับชายผ้าไว้แน่น คิดอยากทำตัวเป็นเด็กดีต่อหน้ามารดาให้มาก แต่ก็จนใจที่พละกำลังไม่อำนวย เขาสะบัดผ้าห่ม แต่ผ้าห่มไม่กางออก กลับสะบัดจนตนเองล้มลงเสีย
เฉียวเวยหัวเราะดังฮ่าออกมาทันที
จิ่งอวิ๋นลูบจมูกแดงๆ ที่กระแทกถูกพุงของน้องสาวพลางหัวเราะตามไปด้วยอีกคน
อายุเท่านี้ก็เจิดจ้าเปล่งประกายเพียงนี้แล้ว ยิ้มทีดูราวกับจันทร์กระจ่างบนฟากฟ้า ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก
พอโตกว่านี้จะเป็นอย่างไร น่ากลัวว่าคงจะเป็นที่ชอบพอของสตรีมากกว่าบิดาของเจ้าเสียอีก
[1] ซิ่งเหริน คือ ถั่วอัลมอนด์