หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 170-1 ความโกรธของเฉียวเจิงกับกระดานซักผ้า
ตอนที่ 170-1 ความโกรธของเฉียวเจิงกับกระดานซักผ้า
เฉียวเวยเอามือปิดตา เบือนหน้าหนี
กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ ไม่สิ ยังไม่ทันได้ให้ท่านพ่อเตรียมใจมาก็โดนจับได้เสียแล้ว
นางไม่รู้จริงๆ ว่าหมิงซิวกับท่านพ่อของนางเคยอยู่ในเหตุการณ์เช่นนั้นมาก่อน นางรู้เพียงว่าหมิงซิวพาตัวจิ่งอวิ๋นกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่กลับไม่รู้เลยว่าคนเหล่านั้นต้องประสบกับอันตรายเช่นนั้นมา เป็นไปได้ว่าหมิงซิวอาจจะกลัวนางเป็นกังวลจึงปิดบังเรื่องราวส่วนนี้ไว้
“เจ้ารู้มาก่อนอยู่แล้วใช่ไหม” เฉียวเจิงมองไปทางเฉียวเวยแวบหนึ่ง
เฉียวเวยเบิกตามองตรงมาทางเขา “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร…”
เฉียวเจิงเอ่ยด้วยความโกรธ “เลิกตีมึนได้แล้ว ข้าเป็นคนคลอดเจ้ามามีหรือจะไม่รู้จักเจ้า”
เฉียวเวยเอ่ยขัดอย่างใสซื่อ “ผู้ชายก็คลอดลูกได้ด้วยหรือนี่”
เฉียวเจิงถึงกับสำลัก “อย่ามาต่อปากต่อคำกับข้านะ เจ้ารู้อยู่แล้วใช่หรือไม่”
ดวงตาของเฉียวเวยกลิ้งกลอกไปมา “ท่านพ่ออย่าเพิ่งโกรธไป ข้าก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง”
ไม่นานจริงๆ ก็แค่สองสามเดือนเท่านั้น
เฉียวเจิงโกรธจัดจริงๆ “เรื่องสำคัญเช่นนี้ เจ้ากลับกล้าปิดบังข้า!”
เฉียวเวยตอบอย่างน้อยใจ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่านเสียหน่อย ก่อนหน้าที่ท่านยังไม่ได้สติ ข้าเองก็ไม่รู้จะพูดกับท่านอย่างไร มาตอนนี้แม้ท่านได้สติแล้ว ข้าก็บอกท่านไม่ทันอีก”
ที่บอกว่าบอกไม่ทันนั้นเป็นเรื่องจริง เรื่องใหญ่เช่นนี้จะอย่างไรก็ต้องกล่อมให้คนสูงอายุอย่างท่านเตรียมใจให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยเอ่ยปากบอกความจริงให้ฟัง
เฉียวเจิงจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “ข้าว่าเจ้าไม่อยากบอกข้าต่างหาก”
“ใช่เมื่อไรกัน” เฉียวเวยปากแข็ง
เฉียวเจิงโกรธจนตัวสั่น “เก็บความลับยิ่งใหญ่ไว้กับตัวเช่นนี้ คงสบายใจมากสิท่า”
“มีอะไรให้ต้องไม่สบายใจกัน” เฉียวเวยพึมพำ ช่วงเวลาที่อึดอัดไม่เป็นตัวของตัวเองได้ผ่านไปแล้วน่ะสิ
เฉียวเจิงไม่ได้หูหนวก ทุกคำที่นางพูดออกมาดังเข้าหูเขาครบทุกประโยค ทำให้เฉียวเจิงยิ่งโกรธจนควันออกหู “เขาเคยทำอะไรกับเจ้าไว้เจ้าลืมไปหมดแล้วงั้นหรือ หลายปีมานี้เจ้าใช้ชีวิตแต่ละวันมาอย่างไรเจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ ต่อให้เจ้าไม่คิดถึงตัวเอง ก็ควรคิดถึงจิ่งอวิ๋นและวั่งซูบ้างสิ ที่พวกเขาต้องตกระกำลำบาก เจอความทุกข์ยากมากมายล้วนแต่เป็นเพราะเขาทั้งนั้น ดูเจ้าในตอนนี้ยังจะให้อภัยเขาอีกหรือ”
“ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้วจะให้ข้าทำเช่นไร” เฉียวเวยสับสน
เฉียวเจิงบันดาลโทสะออกมา “นี่เจ้าให้อภัยเขาแล้วจริงๆ หรือ”
พูดมาตั้งมากมายที่แท้ก็แค่ลมผ่านหูนางเท่านั้น คนตรรกะแข็งแรงอย่างเขาไม่เข้าใจวิธีคิดของคนสายศิลป์เอาเสียเลย
เฉียวเวยฉุนจัด ถลึงตามองจ้องบิดาตน พูดตามตรงตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ครั้งแรก นางโกรธเคืองพ่อของลูกเอามากๆ ถึงกับคิดอยากให้เขาตายไปเสียยังจะดีเสียกว่า ไม่เช่นนั้นนางคงได้เป็นคนลงมือฆ่าเขาเอง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าโชคชะตาจะพลิกผันจนได้มาเจอเขา และเกิดเรื่องที่ควบคุมไม่ได้มากมายเช่นนั้น
“ทำไม ไม่มีอะไรจะพูดแล้วหรือ” เฉียวเจิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฉียวเวยถูกขัดจังหวะทางความคิด จึงเอ่ยออกมาอย่างโกรธๆ “จะให้ข้าพูดอะไรเล่า ให้บอกว่าข้าไม่ยกโทษให้เขางั้นหรือ หรือจะให้ข้าบอกว่าข้ายังเกลียดเขาอยู่ ถ้าข้าพูดเช่นนั้นท่านจะเชื่อข้าหรือไม่”
แม้แต่จะหลอกกันสักนิดก็ยังไม่ยอม! บิดาอย่างข้าก็ต้องการคนโอ๋นะ! เฉียวเจิงโกรธจนตัวสั่น “เจ้านี่นะ พอแผลเป็นหายแล้วก็ลืมความเจ็บปวดไปแล้วใช่หรือไม่”
เฉียวเวยเอ่ยตอบเบาๆ “แผลของข้า ข้าย่อมรู้ดี จะเจ็บปวดหรือไม่เจ็บปวดข้ารู้ดีที่สุด ไม่ต้องให้ท่านมาบอก”
“เจ้ารู้ดีกับผีน่ะสิ” เฉียวเจิงโกรธจนเอ่ยคำสบถออกมา
ที่จริงแล้วในใจของเฉียวเวยนางไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งของจีหมิงซิวขนาดนั้น แต่ด้วยความที่นางเป็นคนดื้อรั้นโดยธรรมชาติ ชอบคนที่ใช้ไม้อ่อนกับนาง ดังนั้นยิ่งเฉียวเจิงขัดนาง นางก็ยิ่งไม่ยอมเชื่อฟังเฉียวเจิง
จีหมิงซิวเดินเข้ามา “ท่านลุง ท่านอย่าดุเสี่ยวเวยเลย เป็นความผิดของข้าเองทั้งหมด”
นี่ยังไม่ทันได้ตบแต่งเข้าบ้าน ก็มารวมหัวรุมกันแล้ว ความโกรธถาโถมเข้ามาจนเฉียวเจิงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าสอนลูกสาวข้าอยู่ เจ้ามายุ่งอะไรด้วย”
จีหมิงซิวได้แต่เงียบปากอย่างเชื่อฟัง
เฉียวเจิงพยายามระงับโทสะของตน มองไปยังเฉียวเวย เอ่ยปากบอกนางด้วยท่าทีจริงจัง “ความจำเจ้าดีขนาดนี้ เหตุใดถึงได้ลืมความยากลำบากที่เจ้าประสบมาตลอดหกปีนั้นไปจนหมดสิ้นเสียเล่า”
เฉียวเวยพรั่งพรูตอบเขา “ข้าไม่ได้ลืม ดังนั้นข้าถึงเกลียดเขามานานมาก”
“เจ้าเกลียดข้างั้นหรือ” จีหมิงซิวมองเฉียวเวยอย่างเจ็บปวด
เฉียวเวย “… เมื่อก่อน”
“ฮึ” อัครเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ปวดใจมาก
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา นี่ยังอยากจะร่วมมือกันจัดการศัตรูอยู่ไหมนี่
อยากสิ
เฉียวเวยเหลือบมองเฉียวเจิงทีหนึ่งแล้วเอ่ยบอกเขา “ท่านไม่รู้สึกว่าการที่ข้าไปปรากฏตัวอยู่ในที่แบบนั้นมันไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ ข้าหนีออกจากบ้าน เดินทางลงไปทางเจียงหนาน ข้าต้องคิดไม่ตกถึงขนาดไหนกันถึงทำเช่นนี้ แน่นอนว่าข้า … ย่อมมีเป้าหมายบางอย่างที่บอกคนอื่นไม่ได้”
“เช่นว่า?” เฉียวเจิงมองมาที่นางอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เช่น เช่น ….” เฉียวเวยเค้นความคิดทั้งหมด พูดมั่วๆ ออกไปว่า “เช่นว่าข้าต้องการตามติดท่านยิ่นอ๋อง ในตอนนั้นข้ามั่นใจมากว่าเขาเป็นยิ่นอ๋องจึงตามเขาไปถึงวัดร้าง …”
ดวงตาของจีหมิงซิวปรากฏร่องรอยความขุ่นเคือง “เจ้าคิดว่าข้าเป็นยิ่นอ๋องงั้นหรือ”
ฮูหยินอัครเสนาบดี คำอธิบายของเจ้าเช่นนี้ทำเอาข้าเองปวดใจนัก
ข้าแค่จะทำให้จบอย่างงดงามอยู่นี่ไง
ฮึ
จีหมิงซิวหันหัวไปมองเฉียวเจิง เอ่ยบอกเขาด้วยท่าทีจริงใจ “ท่านลุง เรื่องคืนนั้นเป็นอุบัติเหตุจริงๆ”
เฉียวเจิงเอ่ยตอบด้วยท่าทีจริงจัง “ไม่ว่าเจ้าจะพูดเช่นไร ข้าก็ไม่เห็นด้วยเรื่องเจ้ากับเสี่ยวเวยแน่ๆ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ข้ากับเขามีสัญญาที่จะแต่งงานกัน”
ดวงตาของเฉียวเจิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา “นี่เจ้าอยากแต่งงานกับเขาขนาดนั้นเชียวหรือ”
ข้าแค่อยากจะแย้งความคิดท่านเท่านั้น
เฉียวเวยคิดแผนการรับมือไว้แล้ว
เฉียวเจิงที่ถูกบุตรสาวทำให้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง พยายามสงบจิตใจ คิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดกับจีหมิงซิวว่า “ดังนั้นเจ้าคือนายน้อยตระกูลจีงั้นหรือ”
เฉียวเวยผงะไป นางหันไปมองจีหมิงซิว “เจ้าไม่ได้แซ่หมิงหรอกหรือ”
เฉียวเจิงเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคือง “นี่เจ้าไม่รู้แม้กระทั่งแซ่ของเขาหรือนี่”
เฉียวเวยแทบจะหยุดหายใจ มองไปทางท่านพ่อของตัวเอง “ท่านเองก็ไม่รู้เหมือนกันมิใช่หรือ ท่านยังมาบอกว่าท่านรู้จักเขาก่อนข้าอีกเนี่ยนะ”
“ข้าแค่เคยเจอเขาครั้งเดียวที่ถ้ำ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาคืออัครเสนาบดีในตอนนี้”
“อะไรนะ เจ้าเป็นอัครเสนาบดี?” เฉียวเวยหันมองไปหาจีหมิงซิว
เฉียวเจิงเอ่ยเสียงดังลั่น “เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าเขาเป็นอัครเสนาบดี ไม่ใช่ว่าเขาได้ให้หนังสือหมั้นหมายกับเจ้าแล้วหรือ ในหนังสือหมั้นหมายไม่มีระบุไว้หรือไร”
“ข้ายังไม่ได้ดู”
จมบ่อน้ำไปเรียบร้อยแล้ว
ในตอนนั้นเฉียวอวี้ซีเป็นคนครอบครองสัญญาแต่งงาน เมื่อนางเก็บหนังสือหมั้นหมายได้ก็กลัวเขาจะรู้จึงรีบโยนมันลงบ่อน้ำไป
มาคิดดูตอนนี้เขาน่าจะจงใจให้นางเป็นคนจัดการหนังสือหมั้นหมายนั้นให้
นางควรจะดูหนังสือหมั้นหมายนั้นให้ดีกว่านี้ เช่นนั้นคงจะรู้ว่าเจ้าของหนังสือหมั้นหมายเดิมนั้นคือลูกสาวของจวนเอินปั๋ว และจะรู้อีกว่าเขาก็คือนายน้อยแห่งตระกูลจี หากรู้ว่าเขาเป็นนายน้อยของตระกูลจี เช่นนั้นการจะได้รู้ว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีก็คงอยู่ไม่ไกล
“ข้าคิดว่าเจ้ารู้อยู่ก่อนแล้ว” สีหน้าของอัครเสนาบดีดูใสซื่อ
เฉียวเวยอยากต่อยหน้าคนขึ้นมาติดหมัด “เจ้าอย่ามาเสแสร้ง วันๆ ข้าเรียกเจ้าว่าคุณชายหมิง คุณชายหมิง เดูเหมือนว่าข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนตระกูลจีงั้นหรือ”
อัครเสนาบดีมีท่าทีจริงจังขึ้นมา “ข้าคิดเองว่านี่เป็นรสนิยมระหว่างคนรักของพวกเรา”
รสนิยมบ้าบออะไรกัน
เขาถูกคนรู้ทันจนหมดไส้หมดพุง ต่อให้เป็นใต้เท้าอัครเสนาบดีก็ถึงกับไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบโต้กลับ
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อัครเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาโดนคนตะเพิดออกจากบ้านอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ เขาเคาะประตูบ้านด้วยท่าทีน่าสงสารอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินลงเนินไปอย่างน่าเวทนา
“ท่านจะไปไหน” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยท่าทีร่าเริง
จีหมิงซิวไม่เคยเห็นเขามีท่าทีกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้มาก่อน “มีเรื่องดีอะไรเกิดขึ้นหรือ”
เห็นท่านเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้เช่นนี้ไม่นับเป็นเรื่องดีหรอกหรือไร
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยโพล่งทันทีไม่มีปิดบัง “มีหญิงงามที่หอนางโลมชอบพอข้า นางถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะคิดถึงข้า ข้ากลัวนางคิดไม่ตกเลยตัดสินใจว่าคืนนี้จะไปพบนางเสียหน่อย”
“งั้นหรือ” จีหมิงซิวแสร้งทำทีว่าเชื่อที่เขาพูด
รถม้ามุ่งสู่เมืองหลวง ประตูเมืองปิดแล้ว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแสดงตราประทับแห่งจวนอัครเสนาบดี บรรดาองครักษ์ที่เฝ้าประตูเมืองอยู่จึงพินอบพิเทารีบเปิดประตูให้
ฮ่องเต้คือท้องฟ้าแห่งต้าเหลียง ส่วนอัครเสนาบดีก็สามารถปิดฟ้าด้วยฝ่ามือได้ หากแต่คนที่สามารถปิดผืนฟ้าเช่นนี้กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของสองพ่อลูกคนธรรมดาที่ไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้วเสียได้ รสชาติความรู้สึกเช่นนี้ออกจะดูแปลกไปสักหน่อย
รถม้าแล่นไปทางเรือนสี่ประสาน ขณะที่ขับผ่านโรงเตี๊ยมที่มีเสียงดังครึกครื้นลอดออกมา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบังเอิญเห็นร่างใครคนหนึ่งที่คุ้นตา “นายน้อย เขานั่นเอง”
จีหมิงซิวแหวกม่านออกดู หันมองไปตามสายตาของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เขาเห็นยิ่นอ๋องยืนถือกาเหล้าอยู่ที่ริมหน้าต่างชั้นสองของโรงเตี๊ยม ยิ่นอ๋องกระดกดื่มจอกแล้วจอกเล่า หากเป็นเวลาปกติจีหมิงซิวคงจะเดินทางต่อไป แต่วันนี้จู่ๆ เขาเองก็นึกอยากจะดื่มเหล้าขึ้นมาสักสองสามจอก
จีหมิงซิวลงจากรถม้าเดินเข้าไปที่โรงเตี๊ยม
เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมกำลังตื่นเต้นเพราะเพิ่งได้ต้อนรับคุณชายรูปงามที่เพิ่งเดินเข้าไปคนหนึ่ง หากแต่เวลาผ่านไปเพียงแค่ครึ่งถ้วยชา กลับมีแขกรูปงามมาอีกคนหนึ่ง ดูท่าคืนนี้กิจการน่าจะเฟื่องฟูมากทีเดียว
จีหมิงซิวตรงไปยังห้องที่ยิ่นอ๋องดื่มอยู่
เป็นการยากที่ยิ่นอ๋องจะ “หนี” ออกมาจากจวนของตนได้ เขาใช้ข้ออ้างว่าจะออกมาซื้อของขวัญแรกพบหน้าให้กับสาวงามอันดับหนึ่ง หลังจากที่ออกมาแล้วเขาก็ไม่อยากกลับเข้าไปอีก เดิมทีเขาคิดอยากจะไปนั่งที่หอนางโลมเสียหน่อย แต่ช่วงนี้เขาถูกสาวงามอันดับหนึ่งปอกลอกไปเยอะมากจนเหลือของมีค่าอยู่เพียงน้อยนิด หากจะไปตอนนี้ก็คงอายคนอื่นเขา ดังนั้นจึงเปลี่ยนมาที่โรงเตี๊ยมนี้แทน
ตอนที่จีหมิงซิวเดินเข้าไปถึง เขาอยู่ในสภาพกึ่งเมาแล้ว เขามองผู้ที่เข้ามาใหม่ตาปรือพร้อมกับส่งยิ้มเมาเยิ้มไปทักทาย “ท่านน้าเองหรือ ว่าแต่ท่านน้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้าก็แค่เซ็งๆ” จีหมิงซิวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา
ยิ่นอ๋องอยู่ในสภาพมึนเมาไม่มีสติ แม้ว่าจะเห็นศัตรูตัวเองในระยะประชิดเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดแต่อย่างไร เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านน้าก็เซ็งเป็นหรือนี่ มา ชนเหล้ากันหน่อย หลานคนนี้ขอเลี้ยงเหล้าท่านน้า”
เขาพูดพลางหยิบกาเหล้าขึ้นมาเทให้จีหมิงซิวหนึ่งจอก
เหล้ากระเด็นหกเต็มโต๊ะ
จีหมิงซิวหยิบจอกเหล้าขึ้นมาจากโต๊ะที่เจิ่งนองไปด้วยเหล้า “ที่เจ้าหนีออกมาเช่นนี้ ภรรยาที่บ้านไม่ว่าอะไรหรือ”
ยิ่นอ๋องพูดอย่างไม่แยแส “อย่างนางจะคุมอะไรข้าได้”
ถึงกับยอมรับนางเป็นภรรยาแล้ว ใช้ได้เลยเจ้าหลานชายคนนี้
จีหมิงซิวดื่มเหล้าไปหนึ่งจอก เหล้าแรงเข้มไหลลงคอ ร้อนจนอวัยวะภายในกำลังถูกแผดเผา
“เออะ … “ ยิ่นอ๋องสะอึกเหล้าออกมา “ท่านน้า ท่านเซ็งเรื่องใดอยู่”
“ภรรยาไม่สนใจข้า”
สมองของยิ่นอ๋องพลันปรากฎภาพรอยยิ้มเร่าร้อนของสาวงามอันดับหนึ่ง “ได้โปรดอย่าสนใจข้าเลย”
“ข้าจะเจอลูกก็ไม่ได้”
สมองของยิ่นอ๋องพลันปรากฎภาพเด็กน้อยทั้งสามคนที่กอดเท้าเขาและกัดเขา “ได้โปรดอย่าให้ข้าเจอเลย”
จีหมิงซิวกวาดสายตามองเขาไปแวบหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ไปแตะเรื่องความจริงเมื่อหกปีก่อนเอง และเป็นเขาที่หาภรรยาและลูกของเขาเจอก่อน แต่สุดท้ายเจ้าเด็กนี่กลับได้ของดีราคาถูกไป แถมยังรู้จักกับภรรยาของเขาก่อนเขาเสียอีก
เจ็บใจ เจ็บใจจริง
จีหมิงซิวหยัดตัวขึ้น “ข้าไปก่อนนะ”
ยิ่นอ๋องคว้าแขนเสื้อของจีหมิงซิวไว้ “ท่านน้า อย่าบอกยัยแม่มดคนนั้นว่าข้าอยู่ที่นี่นะ ข้าไม่อยากพบนางแล้วจริงๆ อีกเดี๋ยวข้าจะเข้าไปที่วัง ข้าจะไม่ จะไม่กลับออกมาอีกแล้ว …”
จีหมิงซิวพยักหน้า “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่มีทางบอกนางแน่นอน”
ยิ่นอ๋องหัวเราะด้วยความเมา “ท่านน้า คำไหนคำนั้นนะ”
“แน่นอน”
หลังจากออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว จีหมิงซิวขึ้นมาบนรถม้าแล้วเอ่ยว่า “ส่งคนไปแจ้งข่าวที่จวนยิ่นอ๋องที ว่ายิ่นอ๋องเมาจนหลับอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตะลึงตาค้าง “ไม่ใช่ว่าท่านรับปากยิ่นอ๋องว่าจะไม่บอกทางบ้านเขาหรือ” เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านรับปากยิ่นอ๋องตอนที่ข้าอยู่ด้านล่าง จีหมิงซิวพูดอย่างสบายอารมณ์ “ข้าบอกว่าจะไม่บอกหญิงงามอันดับหนึ่งคนนั้น แต่ไม่ได้รับปากว่าจะไม่บอกคนอื่นนี่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “!”
ท่านนี่มันอัครเสนาบดีจอมเจ้าเล่ห์จริงๆ
ยามดึกสงัดลมพัดเย็นสบาย
หลังจากถูกท่านพ่อของตนอบรมไปยกใหญ่ก็ทำให้เฉียวเวยนอนไม่หลับ นางหยิบตำราแพทย์มานั่งพลิกอ่านอยู่ริมหน้าต่าง
ทันใดนั้นนกตัวหนึ่งก็บินมาเกาะตรงขอบหน้าต่าง
แน่นอนว่าเฉียวเวยรู้ดีว่านกตัวนี้เป็นของใคร แต่เฉียวเวยไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว หากแต่แสงสีทองที่ส่องประกายอยู่ที่ขาของเจ้านก ทำให้นางอดตาเป็นประกายขึ้นมาไม่ได้
นางจึงแกะกระดาษสีทองนั่นออกมาจากขาเจ้านกน้อย
“เจ้าสำนักเฉียว หลับแล้วหรือ”
หลับแล้ว!
เฉียวเวยโยนกระดาษสีทองทิ้งไว้บนโต๊ะ ไม่ตอบกลับ
เฉียวเวยตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำราต่อไป
ทุกครั้งที่พลิกหน้าหนังสือ กระดาษทองนั้นเป็นต้องส่องประกายแยงตานางทุกครั้งไป
กระดาษทองนั้นทำขึ้นอย่างประณีต ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ บางเบาราวกับปีกจักจั่น มีกรอบลูกฟูกล้อมอยู่ ตรงกลางมีการฉลุลายเป็นรูปดอกไม้หลายดอก อีกทั้งยังฉลุลายเป็นรูปตราประทับของตระกูลจีอีกด้วย
จริงๆ แล้วเป็นเพียงกระดาษใบเล็กๆ แต่ทำได้วิจิตรละเอียดลออถึงเพียงนี้
ความร่ำรวยของตระกูลจีพอจะสังเกตได้จากสิ่งนี้
เฉียวเวยจ้องมองที่กระดาษสีทองอีกครั้ง พบว่าฉลุลายดอกไม้บนกระดาษยังไม่สมบูรณ์ ในใจของเฉียวเวยพลันราวกับมีมีดมาป่ายปีน นางหยิบพู่กันและตอบกลับเขาไปว่า “ยังไม่หลับ”
อีกพักหนึ่งเจ้านกน้อยตัวนั้นก็กลับมา
“ยังโกรธอยู่หรือ”
แน่นอน!
เฉียวเวยนำเอากระดาษสีทองใบที่สองกับกระดาษสีทองใบแรกมาวางต่อกันก็พบว่าเป็นภาพกิ่งดอกไม้ครึ่งภาพ
จึงพอจะคลายอาการขัดใจของนางได้บ้าง
เฉียวเวยยกพู่กันมาเขียนตอบ “เอากระดาษส่วนที่เหลือทั้งหมดส่งมาให้ข้า”
“ไม่ได้ หากข้าให้เจ้าหมด เจ้าก็จะไม่ติดต่อกับข้าแล้วสิ เจ้าต้องตอบข้า หากตอบหนึ่งครั้งก็ให้เจ้าต่อกระดาษเพิ่มอีกหนึ่งแผ่น ข้ารู้ดีว่าหากเจ้าต่อภาพจากกระดาษนี้ไม่สมบูรณ์ เจ้าคงนอนไม่หลับแน่”
อา!
ไอ้คนสารเลว!
เป็นโรคชอบรังแกคนซ้ำๆ งั้นหรือ
ข้าไม่ยอมให้เจ้าได้ใจเช่นนี้หรอกนะ
ก็แค่ปริศนาภาพต่อ คิดว่าข้าจะให้ความสำคัญงั้นหรือ
เฉียวเวยเป่าเทียนให้ดับ ล้มตัวลงนอนบนเตียง ปิดเปลือกตาลงเตรียมตัวเข้าสู่นิทรารมย์
หากแต่ในสมองกลับควบคุมไม่ได้ คิดถึงแต่ภาพกิ่งดอกไม้ครึ่งหนึ่งภาพนั้น ในใจรู้สึกติดค้าง ในไม่ก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปด้วย
เฉียวเวยสะบัดผ้าห่มออก จุดตะเกียงน้ำมัน ตอบกลับเขาไปว่า “มีอะไรก็รีบพูดมา อยากผายลมอะไรก็รีบๆ ทำเข้า”
เจ้านกน้อยบินกลับไปแล้ว
เฉียวเวยคิดว่าเขาจะตั้งใจสำนึกผิด ยอมรับว่าเขาไม่ควรปิดบังฐานะอัครเสนาบดีรวมถึงสถานะนายน้อยแห่งตระกูลจีกับนาง แต่โดยไม่คาดคิดเมื่อเจ้านกน้อยบินกลับมา นางเปิดกระดาษออกอ่านพบข้อความว่า “ตระกูลข้าร่ำรวยมาก”
ตระกูลเจ้ามีเงินมากแล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า
“รวยแค่ไหน”
“มากกว่าสำนักซู่ซินจงก็แล้วกัน”