หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 170-2 ความโกรธของเฉียวเจิงกับกระดานซักผ้า
ตอนที่ 170-2 ความโกรธของเฉียวเจิงกับกระดานซักผ้า
เฉียวเวยอ้าปากค้างจนลมเย็นพัดเข้าปาก ตระกูลสำนักซู่ซินจฝมีเหมืองทองถึงสามแห่ง ตระกูลจียังร่ำรวยกว่าอีกงั้นหรือ
นางต้องทนความยั่วยวนของกลิ่นเงินทองให้ได้
“ตำแหน่งฮูหยินอัครเสนาบดีก็ยิ่งใหญ่พอดูนะ บรรดาพระชายายังต้องหลีกทางให้เจ้าเดิน หรือจะให้คนหาบเจ้าไปทั่วเมืองหลวงก็ยังได้”
อำนาจบารมีที่แสนเย้ายวนก็เป็นสิ่งที่นางต้องคอยสะกดกลั้นเอาไว้
“จิ่งอวิ๋นและวั่งซูยังสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาที่ดีที่สุด ต่อไปในอนาคตจิ่งอวิ๋นก็จะกลายมาเป็นนายน้อยแห่งตระกูลจี วั่งซูก็จะเป็นคุณหนูอันดับหนึ่งแห่งต้าเหลียง”
ข้อเสนอนี้ทำให้นางเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ….
ขอร้องว่าอย่านำเสนออะไรอีกเลย … แค่นี้ก็จะยั้งใจไว้ไม่อยู่แล้ว
ทันทีที่ความคิดแวบผ่าน เพียงวาบเดียวก็ปรากฏเงาดำพุ่งเข้ามาจากทางหน้าต่าง จีหมิงซิวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาง นางตกใจมากจนเกือบคิดว่าตนเองตาฝาดไป
นี่ก็ดึกป่านนี้แล้ว เขาจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
หลังจากจีหมิงซิวกลับออกมาจากโรงเตี๊ยม จู่ๆ เขาก็ไม่อยากกลับไปที่เรือนสี่ประสาน เขาเลยกลับมาที่นี่
คืนนี้ราวกับต้องลำบากอยู่กับการเดินทาง ใบหน้าของเขาจึงดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
เฉียวเวยเห็นท่าทีที่ดูเหน็ดเหนื่อยจากการตะลอนไปโน่นมานี่ของเขา ในสมองของนางที่ราวกับมีกำแพงตั้งอยู่นั้นก็พังทลายลง นางพยายามตั้งสติ รีบเก็บกระดาษทองเหล่านั้น แล้วหันหน้าไปพูดกับเขาว่า “เจ้ามาทำอะไรอีก”
“ถ้าจะขอโทษก็ควรมาขอโทษซึ่งๆ หน้าจะดีกว่า” เขาเอ่ยตอบเบาๆ
เฉียวเวยยิ้มเย็นชา “งั้นหรือ ไม่ใช่จะมาบอกว่าบ้านเจ้าร่ำรวยอีกหรือ”
ท่าทีของเขายังคงเดิม “อันนั้นข้าบอกเจ้าไปแล้ว”
เฉียวเวยหันกลับไป หันหลังให้เขา
จีหมิงซิวเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง “เดิมทีข้าก็คิดจะบอกเจ้า แต่ก็กลัวจะทำให้เจ้าตกใจ ขนาดข้าเป็นแค่ลูกชายขุนนางเจ้ายังรับไม่ได้เลย นับประสาอะไรหากข้าเป็นนายน้อยตระกูลจี ข้ากลัวว่าข้าจะไม่ได้รับโอกาสจากเจ้าอีก”
ดวงตาเฉียวเวยสั่นไหว “ครั้งนั้นที่สำนักศึกษาหนานซาน ตกลงเจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นข้า”
“ข้ารู้”
“ที่เจ้าให้รางวัลแก่จิ่งอวิ๋นและให้ลูกคิดทองคำแก่วั่งซูล้วนแต่เป็นความจงใจของเจ้าใช่หรือไม่”
“ใช่”
“เช่นนั้นเจ้าก็รู้มาแต่แรกแล้วว่า …”
“ใช่”
เฉียวเวยเม้มริมฝีปากแน่น นางสมควรจะโกรธ แต่เมื่อคิดไปถึงว่าอีตานี่พยายามวางแผนเอาใจนางมาตั้งแต่แรก ให้ตายเถอะ นางกลับรู้สึกดีใจมากเสียอย่างนั้น
จีหมิงซิวค่อยๆ หมุนตัวนางกลับมา นิ้วเรียวยาวราวหยกปัดผมที่บังตานางออก เขาพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจัง “ในใจของเจ้าก็มีข้าอยู่ ใช่หรือไม่”
“ไม่” เฉียวเวยไม่สบตาอีกฝ่าย
จีหมิงซิวยิ้มออกมาเบาๆ ขณะที่เขากำลังจะหยัดตัวขึ้น จู่ๆ เฉียวเวยก็ประทับริมฝีปากกับเขาครั้งหนึ่ง
เขาอึ้งไป
เฉียวเวยเองก็อึ้งไป
เมื่อครู่นางทำอะไรลงไปกันแน่
จีหมิงซิวค่อยๆ ยิ้มออกมา สายตาวาวใสราวบ่อน้ำ สว่างราวแสงจันทร์พลันทำให้ทั้งห้องสว่างไสวขึ้นมาทันตา
เฉียวเวยหน้าแดงก่ำ ท่าทีเผยพิรุธออกมาอย่างชัดเจน “ข้าร้อนน่ะ”
“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” จีหมิงซิวอารมณ์ดีเอามือคลึงใบหน้าที่เห่อร้อนของนาง “เดี๋ยวข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้าน จะปล่อยให้เจ้าจูบข้าทุกวันจนสมใจ”
เฉียวเวยกระแอมในลำคอ “ใคร ใครอยากจูบเจ้า”
จีหมิงซิวยิ้มไม่พูดอะไรต่อ ขยับใบหน้าของเขาเข้าไปใกล้นาง
ในที่สุดเจ้าสำนักเฉียวก็อดรนทนไม่ไหว เข้าไปมอบจูบอันเร่าร้อนรุนแรงให้เขา
เมื่อมอบจูบอันเร่าร้อนจนสมใจแล้ว สีหน้าของนางก็แทบจะทนมองไม่ได้
จีหมิงซิวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วเอ่ยว่าา “เหตุใดเจ้าถึงทำให้คนเลิกเอ็นดูเจ้าไม่ได้เลยนะ”
เฉียวเวยตอบในใจว่าต่อให้ตัวนางทำให้เขาเลิกเอ็นดูไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือผ่านด่านท่านพ่อนางให้ได้ก่อน
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการจะทำให้เฉียวเจิงยอมรับเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย วันคืนทุกข์ยากราวกับตกนรกทั้งเป็นของจีหมิงซิวได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ท่าทีของเฉียวเจิงที่มีต่อจีหมิงซิวนั้นค่อนข้างเด็ดขาด ไม่ให้อภัย ไม่ยอมรับ และไม่ยอมยกลูกสาวให้แต่งงานด้วยแน่ๆ
จีหมิงซิวขึ้นเขาไปพบเขาทุกวัน แต่เฉียวเจิงเอาแต่แต่เก็บตัวเงียบไม่ยอมให้พบ
จีหมิงซิวถึงกับไปดักรอพบเขาระหว่างทางที่จะขึ้นไปเก็บสมุนไพร เฉียวเจิงเลยเลิก ไม่ไปเก็บสมุนไพรอีกเลย
เฉียวเจิงชอบเล่นหมากล้อม จีหมิงซิวยอมทุ่มเงินมหาศาลให้คนไปหาหยกอุ่นหลากสีมาใช้สร้างกระดานหมากรุก หยกอุ่นซึ่งมีคุณสมบัติให้ความอบอุ่นตอนฤดูหนาวและให้ไอเย็นสบายในช่วงฤดูร้อน
เฉียวเจิงเลยเลิกเล่นหมากรุกไปด้วยอีกอัน
เฉียวเจิงพเนจรไปทั่วกว่าสิบห้าปีจนทำให้เขาเองมีโรคประจำตัว ในช่วงที่ฝนตกอากาศเย็น ขาทั้งสองข้างของเขาจะเจ็บปวดมาก จีหมิงซิวให้คนส่งยาขนานดีที่ช่วยไล่ลมและขับความชื้นมาให้ แต่เขาก็ไม่ยอมรับมันไว้
ตกบ่ายของทุกวัน จีหมิงซิวจะนั่งรออยู่ที่จวนหนึ่งชั่วยาม แม้ฟ้าจะร้องเขาก็ไม่ขยับเขยื้นไปไหน วันนี้ก็เช่นกัน และที่ไม่ต่างไปจากวันอื่นๆ ก็คือเฉียวเจิงยังไม่ยอมออกมาพบเขา
มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือบนพื้นมีกระดานซักผ้าอยู่สิบเจ็ดสิบแปดอัน
มุมปากของจีหมิงซิวกระตุกอย่างรุนแรง
พอถึงเวลา จีหมิงซิวก็หยัดตัวลุกขึ้นกลับออกไป
ต้องเป็นช่วงเวลาตามนี้เพราะเฉียวเจิงได้ตั้งกฎเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาได้พบกับลูกๆ ในเวลานี้เป็นเวลาที่เด็กๆ กำลังเลิกเรียนกลับบ้าน ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องกลับไป
ก่อนที่จะกลับออกไป เขากวาดตามองกระดานซักผ้าทั้งสิบเจ็ดสิบแปดอันก็ทำเอาเขาถึงกับขนลุกซู่
ภายในบ้าน เฉียวเวยวางพู่กันที่กำลังคัดลอกตำราแพทย์อยู่ลง “ข้าไปห้องสุขาหน่อยนะ”
“กลับมาเดี๋ยวนี้” เฉียวเจิงเอ่ยรั้งเฉียวเวยไว้
เฉียวเวยเบ้ปากแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม
จีหมิงซิวลงเขาไปแล้ว
เฉียวเวยถามอย่างเกียจคร้าน “ตอนนี้ให้ข้าออกไปได้หรือยัง”
เฉียวเจิงเอ่ยอนุญาตเบาๆ
เฉียวเวยกลับไปที่ห้องอย่างหมดหนทาง นางเอนตัวลงบนเก้าอี้หวาย ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงัน
ปี้เอ๋อร์ทอดปลาตัวเล็กๆ อยู่ที่เรือนเล็กก่อนจะยกมาให้เฉียวเวย ทันทีที่เข้ามาในห้อง นางเห็นเฉียวเวยนั่งถอนหายใจอยู่เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เหตุใดฮูหยินถึงมีท่าทีทุกข์ใจไปด้วยอีกคนเล่า”
เฉียวเวยหยิบเอาปลาทอดตัวเล็กขึ้นมา “อีกคน? นอกจากข้าแล้วยังมีใครที่ทุกข์ใจอีกหรือ”
“ชีเหนียงอย่างไร” ปี้เอ๋อร์หยิบจานมาวางบนโต๊ะ
หลายวันมานี้นางมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องของยิ่นอ๋องและจีหมิงซิวจนละเลยชีเหนียงไป นางจำได้ว่าชีเหนียงทะเลาะแตกหักกับอากุ้ยจนอากุ้ยออกจากบ้านไปแล้วกลับมาอีกรอบ แต่นางก็ไม่รู้เลยว่าระหว่างสองคนนี้เป็นอย่างไรแล้วบ้าง “ชีเหนียงคืนดีกับอากุ้ยหรือยัง”
ปี้เอ๋อร์ถอนหายใจ “ยังเลย ดูท่าครั้งนี้น่าจะไม่สามารถคืนดีกันได้แล้ว”
เฉียวเวยที่กำลังกัดปลาทอดพลันชะงักค้างอยู่เช่นนั้น “สามีภรรยากันทะเลาะกันบนเตียงก็ควรจบลงบนเตียง เหตุใดถึงยังไม่คืนดีกันอีกนะ อากุ้ยยังติดใจเรื่องระหว่างชีเหนียงกับผู้ดูแลฉิวงั้นหรือ”
ปี้เอ๋อร์เอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ “ไม่ใช่ติดที่พี่กุ้ยหรอก เป็นชีเหนียงต่างหาก”
เฉียวเวยขยับนั่งตัวตรง “ชีเหนียงเป็นอะไรอีกหรือ”
ปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วเข้ม “ที่จริงก็ต้องโทษพี่กุ้ย พี่กุ้ยทำเกินไปจริงๆ”
เฉียวเวยเอาปลาอีกครึ่งตัวที่เหลือกัดเข้าปาก “เจ้าอธิบายให้ข้าฟังโดยละเอียดที ตกลงว่าเขาทำอะไรกันแน่ เขาลงมือทำร้ายร่างกายนางหรือเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“เขา ….” ท่าทีปี้เอ๋อร์ดูยากจะเอ่ยปาก
หลังจากที่เฉียวเวยพยายามเค้นถามเป็นรอบที่สาม ปี้เอ๋อร์จึงอธิบายที่มาที่ไปเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ที่แท้แล้วหลังจากที่อากุ้ยทะเลาะกับชีเหนียง เขาไม่เพียงแค่ออกไปสงบสติอารมณ์แถวๆ นั้น แต่เขาออกจากบ้านไปจริงๆ และไปถึงตัวเมือง
เมื่อไปที่ตัวเมืองแล้วเขาก็อยากจะหาที่พักเพื่อปักหลัก แม้ว่าหรงจี้จะอยู่ใกล้กับเขาที่สุด แต่ด้วยความที่เขาไม่พอใจชีเหนียงและเฉียวเวย เขาจึงไม่ไปอุดหนุนการค้าของเฉียวเวย
“เดี๋ยวนะ เขามาไม่พอใจอะไรข้างั้นหรือ” เฉียวเวยเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
ปี้เอ๋อร์ตอบนางกลับ “เขาคิดเองเออเองว่าท่านตั้งใจให้ชีเหนียงไปหาผู้ดูแลฉิว … ไปยั่วยวนเขา”
เฉียวเวยตบโต๊ะหนึ่งที “ไอ้สารเลว ถ้าข้าจะให้คนไปยั่วยวนผู้ดูแลฉิวจริง ก็ต้องส่งคนเช่นเจ้าไป ชีเหนียงไม่ใช่สาวแรกแย้มอะไร หากเกิดอะไรขึ้นมาหลักฐานสักนิดก็คงไม่มี”
ปี้เอ๋อร์ตกใจจนสำลัก
“เจ้าว่าต่อไป” เฉียวเวยเอ่ยบอกอย่างเย็นชา
ปี้เอ๋อร์เล่าต่อ “อากุ้ยไม่ได้ไปที่หรงจี้ สุดท้ายเขาจึงไปที่เย่ว์ไหล”
เฉียวเวยหรี่ตาของนางลงอย่างเย็นชา เย่ว์ไหลเป็นคู่แข่งตลอดกาลของหรงจี้ อากุ้ยนี่ไม่ลืมสร้างปัญหาให้นางจริงๆ
ปี้เอ๋อร์เอ่ยต่อด้วยความปวดหัว “หากแต่หลังจากที่เขาไปที่เย่ว์ไหลก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น”
“เกิดเรื่องอะไร” เฉียวเวยถามเสียงเบา
“เกิด … เกิดเรื่อง …” ปี้เอ๋อร์หน้าแดงขึ้นมา
เฉียวเวยหรี่ตาลง “เขาคงไม่ได้ไปสร้างเรื่องชู้สาวข้างนอกใช่หรือไม่ หญิงคนนั้นคือเถ้าแก่เนี้ยร้านเย่ว์ไหลใช่ไหม”
ปี้เอ๋อร์พยักหน้า
เถ้าแก่เนี้ยสุดฉาวคนนั้นของเย่ว์ไหลแทบจะมีสัมพันธ์กับชายหนุ่มไปครึ่งค่อนเมือง เถ้าแก่หรงเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าโดนนางยั่วยวนไปกี่ครั้ง จะอย่างไรอากุ้ยก็เป็นถึงลูกชายตระกูลขุนนาง เป็นชายหนุ่มกำยำรูปงาม เรือนร่างบึกบึน ท่าทีก็ไม่เลว และที่สำคัญคือเขายังหนุ่มแน่น ร่างกายแข็งแรง เถ้าแก่เนี้ยเย่ว์ไหลไม่มองน้ำลายหกสิถึงจะแปลก
เฉียวเวยไม่ได้ให้ปี้เอ๋อร์พูดอะไรมากมายต่ออีก นางรีบลุกเดินไปที่เรือนหลังเล็ก
ที่นั่นคนส่วนใหญ่เลิกงานกลับบ้านกันไปแล้ว ชีเหนียงกำลังทำความสะอาดอยู่ด้านใน
อากุ้ยเดินตามอยู่ด้านหลังของนาง “ชีเหนียง เจ้าฟังที่ข้าอธิบายเสียหน่อย”
ชีเหนียงไม่สนใจเขา หันหลังให้แล้วเดินกลับไปเช็ดโต๊ะต่อ
อากุ้ยเข้าไปแย่งผ้าเช็ดโต๊ะจากมือนาง “เจ้า เจ้าควรมีเหตุผลหน่อยสิ ข้ากับนางไม่ได้อะไรกันจริงๆ เจ้าก็เห็นกับตาหมดแล้วมิใช่หรือ”
ชีเหนียงแย่งผ้าเช็ดโต๊ะกลับไป “ข้าเห็นพวกเจ้าอยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดรุ่ย เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าเจ้ากับนางไม่มีอะไรกันงั้นหรือ”
อากุ้ยพยายามจะอธิบาย “ตอนนั้นข้าดื่มหนักไปหน่อยจนขาดสติ แต่พวกเรายังไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันจริงๆ เจ้าก็มาแล้ว”
ชีเหนียงโต้กลับด้วยความปวดใจ “นี่เจ้าจะโทษว่าข้าไปขัดจังหวะเวลาสำคัญของพวกเจ้างั้นหรือ เช่นนั้นข้าคงไม่ควรไปจริงๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความผิดข้าเสียหน่อย เห็นชัดอยู่ว่าเจ้าเป็นคนเข้าใจข้าผิดก่อน ข้าถึงวิ่งตามหาเจ้าเพื่ออธิบายให้เจ้าฟัง ไม่เช่นนั้นเหตุใดข้าต้องเป็นคนไปหาเจ้าด้วย”
อากุ้ยจับมือชีเหนียงมาเอ่ยตอบด้วยท่าทีกระวนกระวาย “ชีเหนียง ชีเหนียง ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เป็นข้าที่ดื่มมากเกินไป ข้ามันชั่ว ข้ามันเลว เจ้าตีข้าเถอะ”
เขาพูดพลางจับเอามือของชีเหนียงมาตบที่หน้าตนเอง
ชีเหนียงพยายามดึงมือเขาออกแต่เขาก็จับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ชีเหนียงใช้แรงของตนกระชากมือกลับ จังหวะนั้นนางเสียหลักล้มลงกับพื้นอย่างแรง ทำเอากะละมังที่เต็มไปด้วยน้ำสกปรกคว่ำใส่จนเนื้อตัวเปียกปอน
อากุ้ยรีบคุกเข่าลงไปประคองนาง “ชีเหนียง!”
มือยาวข้างหนึ่งยื่นออกมาขวางเขาเอาไว้ เขาหันกลับไปมองอย่างตกตะลึง “ฮูหยิน?”
เฉียวเวยช่วยประคองชีเหนียงที่เนื้อตัวเปียกปอนให้ลุกขึ้น นางมองไปทางอากุ้ยด้วยท่าทีจริงจัง “ตอนนี้นางไม่อยากคุยกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงต้องบังคับนาง”
อากุ้ยขมวดคิ้วเอ่ยตอบ “นี่เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยาของเราสองคน ท่านอย่ามายุ่ง”
เฉียวเวยพูดอย่างใจเย็น “การที่พวกเจ้าสร้างความวุ่นวายในสถานที่ทำงานของข้าก็ถือเป็นเรื่องของข้า อีกอย่างเจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นทาสที่มีสัญญาไม่สามารถไถ่ถอนได้ ชีวิตเจ้าเป็นของข้า ดังนั้นเหตุใดข้าจึงจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเจ้าไม่ได้ ถ้าข้ายินยอม พวกเจ้าถึงจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถ้าข้าไม่ยินยอม พวกเจ้าก็ไม่มีสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันทั้งสิ้น”
คำพูดเพียงเท่านี้ทำเอาเกียรติภูมิในตัวของอากุ้ยถูกเหยียบย่ำจนป่นปี้อยู่กับพื้น
เขาค้นพบว่าแท้จริงแล้วทุกสิ่งที่คิดว่าเป็นสิ่งที่จีรัง เป็นเพียงสิ่งที่มีคนหยิบยื่นให้เขาเท่านั้น
เขาเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้ากับชีเหนียงเป็นสามีภรรยากันมาก่อนหน้านั้นแล้ว”
“งั้นหรือ หนังสือสมรสมีไหม ทางอำเภอมีบันทึกไว้หรือไม่ พวกเจ้าคำนับฟ้าดิน คำนับพ่อแม่ คำนับกันและกันหรือยัง” นางพูดต่อ ทำเอาอากุ้ยสีหน้าค่อยๆ เจื่อนลงราวกับสีของตับหมู
เฉียวเวยพูดต่ออย่างไม่เกรงใจ “ยังมีหน้ามาพูดว่าสามีภรรยา แค่ทะเลาะกันถึงกับต้องหนีออกจากบ้าน นี่เป็นสิ่งที่สามีควรทำงั้นหรือ เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าเจ้ามีภรรยาอยู่ที่บ้าน เคยคิดบ้างไหมว่ายังมีงานที่ต้องทำ ความรับผิดชอบของเจ้าไปอยู่ที่ไหนหมด หรือเจ้าโยนให้หมากินไปแล้ว”
“เจ้าอย่าได้…”
เฉียวเวยสายตาเย็นเยือก “กล้าต่อปากต่อคำกับเจ้านาย เจ้าคงคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้าแล้วสินะ”
อากุ้ยกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงคอหอยลงไป
เฉียวเวยเอ่ยต่อ “เจ้าแทบจะกลิ้งขึ้นเตียงไปกับหญิงอื่นอยู่แล้ว ยังมีหน้ามาพูดย้ำว่าไม่มีอะไร เช่นนั้นต้องทำถึงขั้นไหนถึงจะถือว่ามีอะไรกัน ต้องจับได้บนเตียงคาหนังคาเขางั้นหรือ”
อากุ้ยเอ่ยตอบอย่างยากลำบาก “ข้าก็แค่ดื่มหนักไปหน่อย ขาดสติชั่วขณะ…”
เฉียวเวยหัวเราะเยือกเย็น “คนดื่มเหล้ามีตั้งมากมาย ทำไมถึงมีแต่เจ้าที่ขาดสติเสียได้”
อากุ้ยไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรแล้ว “เป็นเพราะนางมาเสนอตัวเอง ข้าก็แค่ …”
เฉียวเวยพูดเหน็มแนม “นางเร่มาหาเจ้า เจ้าก็ต้องรับไว้หรือ หากเปลี่ยนเป็นขอทานริมถนน เจ้ายังจะรับได้ไหม เจ้าไม่เข้าใจว่าควรจะปฏิเสธนางอย่างไรสินะ”
อากุ้ยถูกพูดประชดประชันจนไร้เรี่ยวแรงจะโต้แย้ง
“ชีเหนียง พวกเรากลับกันเถอะ” เฉียวเวยเข้าไปประคองชีเหนียงเดินออกจากโรงงานนั้นไป
อากุ้ยหันกลับไปมองร่างทั้งสองที่ค่อยๆ ลับสายตาไปจากประตู เขากัดฟันกรอด ด้วยอารามเดือดดาลจึงเอ่ยพูดบางอย่างโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา “ข้าแค่ทำผิดพลาดอย่างที่ผู้ชายคนอื่นๆ เขาทำกันไม่ได้เลยหรือ ผู้ชายที่มีเมียใหญ่เมียน้อยหลายคนมีตั้งมากมาย ข้าเองก็แค่คนขาดสติชั่วขณะ ไปร่ำสุราเคล้านารีกับหญิงหม้ายแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เหตุใดถึงต้องทำราวกับข้าไปทำอะไรผิดมหันต์เช่นนี้ด้วย ไม่ว่าข้าจะไม่ได้ทำหรือได้ทำลงไปแล้วจริงๆ ก็เป็นเรื่องสุดแสนจะธรรมดา ไม่ได้ผิดต่อฟ้าดินเสียหน่อย เจ้าที่เป็นภรรยาเหตุใดจึงมานั่งอิจฉาริษยาเช่นนี้”
ในใจชีเหนียงเจ็บปวดรวดร้าว
เฉียวเวยหยุดฝีเท้าลง หันหน้ากลับไปมองเขาอย่างเย็นชา ตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ตอนนี้เจ้าได้ทำความผิดมหันต์เข้าให้แล้วล่ะ”
เฉียวเวยประคองชีเหนียงกลับเรือน ปี้เอ๋อร์ไปหยิบเสื้อผ้าของตนมาให้ “ข้าไม่กล้าเข้าไปในห้องพักของเจ้า เจ้าใส่ชุดของข้าก่อนแล้วกันนะ”
ชีเหนียงปาดน้ำตา “ข้าไม่เป็นไร”
เฉียวเวยหยิบเสื้อผ้ายัดใส่มือนาง “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
ปี้เอ๋อร์ประคองชีเหนียงไปเปลี่ยนชุดที่หลังฉาก พอเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วปี้เอ๋อร์ก็นำชุดที่เลอะเทอะออกไปด้านนอก
ชีเหนียงร้องไห้จนดวงตาบวมตุ่ย คำพูดเหล่านั้นของอากุ้ยเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจ ทำร้ายจิตใจนางอย่างมาก
เฉียวเวยปวดใจตามพลางถอนหายใจออกมา “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมบอกข้า หากไม่ใช่ปี้เอ๋อร์หลุดปากพูดออกมา ข้าก็คงยังไม่รู้ว่าเจ้ากับอากุ้ยเกิดเรื่องกันถึงเพียงนี้”
ชีเหนียงสูดจมูก “ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
เฉียวเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาให้นาง “ถึงขั้นนี้แล้วยังเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แล้วเรื่องใหญ่จะต้องขนาดไหน”
ชีเหนียงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา “เดิมทีข้าก็ไม่ใช่ภรรยาที่แต่งเข้ามาตามประเพณี เขาจะต้องการข้าก็ได้ จะไล่ข้าก็ได้ ที่เขาพูดมาก็ถูก ข้าไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายชีวิตเขา”
เฉียวเวยกุมมือนางไว้ “ชีเหนียง เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยถึงเพียงนั้นหรอกนะ”