หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 171-1 เป็นตายก็ไม่ยอม หุบเหวลึกสุดประมาณ
ตอนที่ 171-1 เป็นตายก็ไม่ยอม หุบเหวลึกสุดประมาณ
ชีเหนียงถูกอากุ้ยทำให้เสียใจจนเกินจะทน ห้องหับของตนไม่อาจกลับไปได้แล้ว จึงหารือกับปี้เอ๋อร์เรื่องที่จะพาจงเกอร์ไปค้างที่ห้องปี้เอ๋อร์
อันที่จริงในเรือนเล็กมีห้องหับอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าห้องไหนก็พอให้สองแม่ลูกเข้าไปพักได้ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ชีเหนียงเป็นกังวลก็คือ ห้องอื่นอากุ้ยคงจะกล้าบุกเข้าไปก่อกวน มีเพียงห้องของปี้เอ๋อร์เท่านั้นที่เขาต้องรักษาระยะระหว่างชายหญิง ไม่กล้าบุกเข้าไป
ปี้เอ๋อร์ไม่ว่าอะไรสักคำ จะเข้าไปช่วยชีเหนียงเก็บข้าวของทันที
เฉียวเวยออกปากว่า “เจ้ามาอยู่ที่ข้านี่เถอะ”
หากอยู่ที่เรือนเล็ก อย่างไรก็ต้องได้พบหน้ากันบ้าง ปี้เอ๋อร์ก็ไม่สามารถคอยเฝ้าชีเหนียงได้ตลอดเวลา วันใดหากปี้เอ๋อร์ออกไปข้างนอก อากุ้ยก็ยังสามารถเข้าไปดักชีเหนียงไว้ได้อยู่ดี
ไม่ใช่ว่านางกลัวอากุ้ยจะมีเรื่องมีราวจนเกินกว่าเหตุกับชีเหนียง แต่ด้วยสถานการณ์ในยามนี้ อย่างไรการต้องพบหน้าก็ยังทำให้ขุ่นมัวมากกว่าจริงๆ
ชีเหนียงมีท่าทีลังเล “เรื่องนี้… คงไม่ค่อยสะดวกกระมัง”
เฉียวเวยพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่มีอะไรไม่สะดวกหรอก เจ้าก็ไปอยู่ที่ห้องวั่งซู ท่านพ่อข้าแก่อาวุโสกว่า ไม่ว่าอะไรหรอก แล้วยังไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเอาไปพูดเสียๆ หายๆ ด้วย”
ชีเหนียงเงียบไป ฐานะของนางหากพูดให้ฟังดูดีหน่อยก็คือผู้ดูแล พูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็คือบ่าวไพร่ บ่าวไพร่รับใช้ผู้เป็นนายถือเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร การไปอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน จะมีใครว่าอะไรได้ นางเพียงรู้สึกว่าฮูหยินดูแลนางมากพอแล้ว นางไม่อยากสร้างความยุ่งยากให้ฮูหยินเพิ่มอีก
จะให้โน้มน้าวอะไรมากกว่านี้ เฉียวเวยก็พูดไม่ออกแล้ว ตัวนางนี้ปากคอเราะร้าย พูดทำร้ายจิตใจคนได้บาดลึกนัก แต่เมื่อถึงเวลาต้องปลอบใจใครสักคน นางกลับพูดไม่ออก
เฉียวเวยหันไปส่งสายตาให้ปี้เอ๋อร์ ปี้เอ๋อร์เข้าใจความหมายของนางจึงเข้าไปจับแขนชีเนียงไว้ “ชีเหนียงเจ้าอยู่ที่นี่เถอะ งานในมือฮูหยินมีมาก เรื่องในบ้านก็ไม่มีเวลาจัดการ เจ้าคอยอยู่ช่วยนางเถอะ จงเกอร์จะได้อยู่เล่นเป็นเพื่อนจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูด้วย”
ชีเหนียงคล้อยตาม คืนนั้นจึงพักอยู่ที่เรือนเฉียวเวย
ข้าวของของชีเหนียงปี้เอ๋อร์เป็นคนกลับไปเก็บให้ สีหน้าอากุ้ยบูดบึ้งเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่ยอมให้ปี้เอ๋อร์แตะต้องข้าวของของชีเหนียงกับจงเกอร์ แต่พอเฉียวเวยไปยืนอยู่ตรงนั้น เขาก็ไม่กล้าว่าอะไรอีก
ไม่ใช่เพราะเขากลัวทำให้ผู้เป็นนายไม่พอใจ แต่เพราะเขาสู้เฉียวเวยไม่ได้
ของของชีเหนียงมีไม่มาก กลับเป็นของเล่นของจงเกอร์ที่วางอยู่สะเปะสะปะจนเก็บมาได้หีบหนึ่ง
ปี้เอ๋อร์กับเฉียวเวยเอาของพวกเขาออกไป
เวลานี้อากุ้ยอารมณ์เย็นลงแล้ว รู้ว่าตนพูดจาไม่ดี จึงก้มหน้ากระมิดกระเมี้ยนเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เพราะข้าดื่มมากเกินไป…”
เฉียวเวยหัวเราะหึๆ “ประเด็นสำคัญคือเรื่องนี้หรือ”
“ข้า ข้ากำลังเลือดขึ้นหน้า…”
เฉียวเวยสวนกลับอย่างไม่เกรงใจ “เลือดขึ้นหน้าแล้วจะพูดอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เจ้าใช้หัวแม่เท้าพูดหรือไร”
เรื่องต่อสู้อากุ้ยสู้เฉียวเวยไม่ได้ เรื่องด่าทอ อันที่จริงก็สู้นางไม่ได้เช่นกัน
เฉียวเวยยกหีบเดินออกไป
อากุ้ยพอได้มองห้องที่อยู่ดีๆ มีของหายไปกว่าครึ่ง ใจเขาก็พลันว่างโหวงไปเช่นกัน
…
อันที่จริงเรื่องระหว่างอากุ้ยกับเถ้าแก่เนี้ยเย่ว์ไหล ดีไม่ดีอาจเป็นเถ้าแก่เนี้ยที่ทำให้ทุกอย่างเกินเลยไป ฝีไม้ลายมือของสตรีนางนั้นเรียกได้ว่าเหนือชั้นยิ่งนัก กลางวันแสกๆ นางยังกล้าไปยั่วยวนเถ้าแก่หรงถึงที่หรงจี้ เถ้าแก่หรงมีภรรยามีบุตรแล้ว ยังถูกนางยั่วยวนจนเกือบไม่เป็นอันหลับอันนอนเลยหรือ กับคนซื่อบื้ออย่างอากุ้ยยิ่งไม่ต้องพูดถึง
พฤติกรรมของนางไม่ใช่สิ่งที่ปลาซิวปลาสร้อยอย่างอากุ้ยจะรับมือได้ หากเป็นนายท่านหกก็ว่าไปอย่าง
แน่นอนว่าเฉียวเวยย่อมโมโหที่อากุ้ยไม่หนักแน่นพอ แต่สิ่งที่เฉียวเวยโกรธที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นสิ่งที่อากุ้ยพูดออกมา
เดิมทีนางคิดว่าที่อากุ้ยยอมละทิ้งเรื่องขนบธรรมเนียมของสังคมแล้วเลือกที่จะแต่งงานกับชีเหนียง เขาจะต้องมีสายตาที่ต่างไปจากบุรุษที่ติดอยู่กับขนบเหล่านั้น แต่มาถึงเวลานี้นางถึงได้รู้ว่า ที่แท้เขาไม่ต่างอะไรกับบุรุษเหล่านั้นเลย
ที่เขารักเดียวใจเดียวกับชีเหนียงไม่ใช่เพราะว่าเขาคิดได้เช่นนี้ แต่นั่นเพียงเพราะเขาชอบชีเหนียง จึงยินดีที่จะทำเช่นนี้เพื่อชีเหนียง แต่ในเนื้อแท้ของเขา ในจิตวิญญาณส่วนลึกของเขา เขาไม่ใช่คนเช่นนั้นเลย
นี่เป็นความชื่นชอบที่เขามีต่อชีเหนียง ชีเหนียงสามารถรับได้ แต่ไม่อาจนำมันมาเป็นข้อต่อรองได้
เฉียวเวยรู้สึกสิ้นหวัง ไม่รู้ว่าหมิงซิวจะมีความคิดเช่นนี้หรือไม่
ตกดึก เฉียวเจิงกลับมาจากไปเก็บสมุนไพร
วันนี้เขาไปที่หมู่บ้านอื่น ช่วยรักษาชายหนุ่มที่หกล้มขาหักมาคนหนึ่ง เขาจึงอารมณ์ดีมาก
แต่พอกลับมาดันได้เห็นบุตรสาวมีท่าทีเซื่องซึม คล้ายมีเรื่องอะไรในใจ
เขาวางตะกร้าสมุนไพรลง จูเอ๋อร์กระโดดออกมาจากตะกร้า หยิบผ้าเช็ดหน้าที่เคยฉวยไปออกมาปิดปากหาวอย่างสง่างาม จากนั้นก็เดินทิ้งสะโพกงอนเด้งของมัน ค่อยๆ เยื้องย่างไปประหนึ่งสตรีผู้เลอโฉม
พอเดินเข้าไปถึงเรือนหลัง กวาดตามองจนมั่นใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีใครอยู่ มันก็รีบเอามือจับก้นแล้วกระโดดเหยงๆ!
ไม่ไหวแล้วไม่ไหวแล้วไม่ไหวแล้ว…
ปวดฉี่!
เฉียวเจิงนั่งลงข้างบุตรสาว ใจนึกสงสัยว่าที่บุตรสาวตนเซื่องซึมเช่นนี้เป็นเพราะจีหมิงซิว จึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาติดหมัด แต่สีหน้าเขายังคงแสงดออกถึงบิดาผู้มีเมตตา “มีเรื่องต้องขบคิดหรือ”
“มิได้” เฉียวเวยหลุดจากภวังค์ “ชีเหนียงกับจงเกอร์จะมาอยู่ที่นี่ระยะหนึ่งนะท่านพ่อ”
“ได้สิ” เฉียวเจิงพยักหน้า ไม่ได้ว่าอะไร เด็กชีเหนียงนั่นแค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนเก่ง หนำซ้ำยังไม่คิดอะไรนอกลู่นอกทาง จงเกอร์ก็ได้รับการสั่งสอนมาไม่เลว “อากุ้ยเล่า”
เฉียวเวยผายมือออก “พวกเขาสองคนมีปากเสียงกัน”
เช่นนี้เฉียวเจิงก็เข้าใจแล้ว เขาไม่สนใจเรื่องซุบซิบนินทาของใคร จึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
จู่ๆ เฉียวเวยก็พูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ นอกจากแม่ข้าแล้ว ท่านเคยมีผู้หญิงคนอื่นอีกหรือไม่”
สีหน้าเฉียวเจิงพลันเปลี่ยนไป “เป็นเด็กเป็นเล็ก จะถามเรื่องนี้ไปไย”
เฉียวเวยอายุอานามไม่น้อยแล้ว แต่ไม่ว่านางจะอายุเท่าไร ในสายตาเฉียวเจิงนางก็ยังเป็นเด็กที่ไม่มีวันโต
เฉียวเวยจึงถามว่า “ข้ายังเด็กอีกหรือ หลานสองคนของท่านกระโดดออกมาจากซอกหินหรือไร”
เฉียวเจิงย่นคิ้ว “เป็นสาวเป็นแส้พูดเรื่องนี้ไม่เขินอายบ้างหรือ”
เฉียวเวยจึงยิ้ม “ท่านก็บอกข้ามาเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ตามไปฟ้องท่านแม่ไม่ได้อยู่แล้ว” ปากเอ่ยด้วยความจริงใจเช่นนี้แต่ในใจกลับคิดว่า แม่ข้าตายไปแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็เอาความลับไปฟ้องไม่ได้อยู่ดี
พอเอ่ยถึงภรรยา ใจเฉียวเจิงก็พลันอ่อนยวบ ความคิดถึงถาโถมขึ้นในใจ แม้แต่สายตาก็ดูเปลี่ยวเหงาไปด้วย “หลังจากแต่งงานกับแม่เจ้า ก็ไม่เคยมีเลย”
“ก่อนจะแต่งงานกับแม่ข้าเล่า” เฉียวเวยยิ้มพริ้มขณะเอ่ยถาม
เฉียวเจิงเดิมทีจมอยู่ในห้วงแห่งความคิดถึง พอได้ยินนางถามเช่นนี้คิ้วก็พลันขมวด “เจ้าเด็กนี่!”
“มีหรือไม่มีกันแน่เล่า” เฉียวเวยยังคงยิ้มประหนึ่งดอกไม้ป่าที่ผลิบานในช่วงเวลาที่งดงามที่สุด
เฉียวเจิงมองหน้าบุตรสาว คล้ายได้เห็นภรรยาเมื่อในอดีต จึงยื่นมือไปลูบปรอยผมอีกฝ่ายเบาๆ “ไม่มี”
เฉียวเวยร้องอ้อคำหนึ่ง “สาวใช้ร่วมห้องก็ไม่มีหรือ เป่าอวี้[1]ยังมีสีเหรินเลย เหตุใดท่านถึงไม่มีคนคอยปรนนิบัติเอาใจสักคน”
เฉียวเจิงถามด้วยความแปลกใจว่า “เป่าอวี้เป็นใครกัน สีเหรินอีกคน?” ตั้งชื่อได้แปลกดีแท้
เฉียวเวยเลยถึงกับหัวเราะ “เป็น …ตัวละครในหนังสือน่ะ”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของเฉียวเจิงพลันเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง “เจ้าเด็กนี่ ไปอ่านอะไรที่ประหลาดๆ มาใช่หรือไม่ เมื่อก่อนเจ้าชอบอ่านตำราทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้าที่สุดแล้ว แต่ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ แม้แต่เงาหนังสือเหล่านั้นข้าก็ยังไม่ได้เห็น”
ท่านย่อมหาไม่เจอแน่ล่ะ ไปอยู่ในห้องจิ่งอวิ๋นหมดแล้ว
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งสั่งสอนข้าสิ ข้าเป็นแม่คน มีลูกสองคนเข้าไปแล้ว ต่อให้ข้าจะอ่านอะไรสักนิดสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรกระมัง”
เฉียวเจิงพลันหน้าบึ้ง “ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่!”
เฉียวเวยช่วยบีบนวดหัวไหล่ให้เขา “เอาล่ะๆ ท่านบอกข้ามาทีว่าคุณชายตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ใช่ว่ามีสตรีกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานทุกคนหรือไม่”
เรื่องนี้… เฉียวเจิงไม่รู้ว่าควรตอบเฉียวเวยอย่างไรดี โดยทั่วไป คุณชายตระกูลใหญ่เมื่อถึงอายุที่สมควร จะมีการจัดสาวใช้มาชี้แนะให้ทั้งสิ้น แต่ในสายตาของพวกเขา สาวใช้ที่ชี้แนะเรื่องทางโลกเหล่านี้ไม่อาจนับเป็นสตรีในชีวิตของพวกเขาโดยแท้จริงได้
เพียงแต่เรื่องน่าเขินอายเช่นนี้ เขาจะบอกเล่าให้บุตรสาวฟังได้อย่างไร
“เจ้าอย่าเอาแต่สนใจเรื่องเล่านี้เลย!” เฉียวเจิงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง
เฉียวเวยเลยเลิกคิ้ว “ข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร ข้ามีบุตรชายกับเขาเหมือนกันนะ ข้าควรรู้ว่าข้าควรเตรียมสาวใช้ร่วมห้องให้เขาตอนเขาอายุเท่าไรสิ!”
เฉียวเจิงกัดฟัน “จิ่งอวิ๋นเพิ่งห้าขวบ!”
เฉียวเวยไม่คิดเช่นนั้น “คราก่อนที่ท่านพบหน้าข้า ข้าก็เพิ่งห้าขวบเหมือนกัน แล้วอย่างไร แค่พริบตา ข้าก็มีลูกชายอายุห้าขวบแล้ว!”
เฉียวเจิงถูกบุตรสาวทำให้โมโหจนอยากจะกระอักเลือด
เฉียวเวยพูดต่อว่า “เช่นนั้นไม่พูดเรื่องก่อนแต่งงานแล้ว สาวใช้ร่วมห้องบางคนหน้าตาไม่ดี ท่านไม่ถูกใจก็คงเป็นได้ แต่หลังจากแต่งงานเล่า ถึงอย่างไรท่านก็น่าจะได้พบแม่นางที่งดงามกับเขาบ้าง เหตุใดถึงยังมีท่านแม่ข้าแค่คนเดียวอีก เพราะท่านคิดว่าท่านควรซื่อสัตย์ต่อท่านแม่ข้า หรือเพราะท่านคิดว่าท่านรักท่านแม่ข้ามากจริงๆ”
“ต่างกันหรือ” เฉียวเจิงถาม
“ต้องต่างสิ!” อันหนึ่งเป็นเรื่องความคิด อีกอันหนึ่งเป็นเรื่องความรู้สึก อันที่จริงตัวเฉียวเวยเองก็บอกไม่ถูกว่าอันไหนสำคัญกว่ากัน บางทีการจำเป็นต้องมีความนึกคิดคอยสนับสนุน อาจเป็นความไม่มั่นใจในความรู้สึกอย่างหนึ่งก็เป็นได้ นางคิดว่าตัวเองคงบ้าไปแล้วถึงได้หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องความรักความรู้สึกระหว่างบุรุษกับสตรีเช่นนี้ โลกตั้งกว้างใหญ่ นางมีเรื่องต้องทำมากมาย แต่ดันเอาเวลามาสนใจคิดเรื่องนี้เนี่ยนะ?
อาการหนัก อาการหนัก!
ในขณะที่เฉียวเวยสะบัดศีรษะและเตรียมจะเดินออกไปนั้น เฉียวเจิงก็ตอบขึ้นเงียบๆ ว่า “ในขณะที่หัวใจของเจ้า มีใครคนหนึ่งอยู่ในนั้นจริงๆ อย่างไรก็ไม่อาจมีคนที่สองเข้าไปได้อีก”
ดังนั้นก็เป็นเพียงเพราะความรู้สึก ไม่เกี่ยวกับเหตุผล
เช่นนั้นแล้วการที่รักเดียวใจเดียวเพราะเหตุผลนั้นดีกว่า? หรือรักเดียวใจเดียวเพราะความรู้สึกจะดีกว่ากันหนอ?
สมองของเฉียวเวยคิดอะไรต่อไม่ออกแล้ว การต้องมานั่งวิเคราะห์เรื่องที่ลึกซึ้งยากจะประมาณเช่นนี้ ลำบากสติปัญญาของนางมากเกินไปจริงๆ
เฉียวเวยไปทำกับข้าวที่ห้องครัว ส่วนเฉียงเจิงกลับห้องตนเองไป
เมื่อคิดถึงภรรยา ในใจก็มีแต่ความเจ็บปวด
อันที่จริงเขารู้ดีว่าแปดเก้าส่วนจากสิบส่วนนางคงมีอันเป็นไปไปแล้ว เพียงแค่ยังไม่อยากยอมรับความจริงเท่านั้น
เรื่องที่น่าเศร้าใจที่สุดในชีวิตคนเรา ก็คือเรื่องนี้เอง
…
หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ เฉียวเจิงไม่มีเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นเพียงพอใส่แล้ว เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงของเด็กๆ ก็เล็กไปแล้ว เฉียวเวยจึงตัดสินใจเข้าเมืองไปซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้พวกเขา “อีกเดี๋ยวพอข้าไปส่งพวกจิ่งอวิ๋นเข้าสถานศึกษาเสร็จ จะเลยเข้าเมืองไปเลย ท่านพ่ออยากไปด้วยกันหรือไม่”
เฉียวเจิงเอาตะกร้าสมุนไพรขึ้นสะพายหลัง จับเสี่ยวจูร์ลงไป “ไม่ล่ะ มีคนขาหักที่หมู่บ้านข้างๆ ข้ายังต้องไปดูสักหน่อย”
เฉียวเวยหรี่ตาถาม “คิดค่าหมอรึไม่”
…ไม่
เฉียวเวยเลยเดือดดาล “ไม่คิดอีกแล้ว?! นี่ครั้งที่เท่าไรแล้ว ท่านพ่อ ท่านอย่าได้มีเมตตากับผู้อื่นเพียงนี้ได้หรือไม่” ทีกับผู้ชายของข้ากลับโหดร้ายออกปานนั้น
ท่าทางเฉียวเจิงประหนึ่งเด็กที่ทำอะไรผิดมา ยืนจ๋อยอยู่ข้างประตูอย่างน่าสงสาร
เขาเป็นหมอที่หากได้พบคนป่วยแล้วจะทิ้งไปไม่ได้ ตลอดหลายปีที่เป็นหมอพเนจรรักษาคนไปทั่ว มีไม่กี่ครั้งที่เขาคิดค่ารักษา หากถึงเวลาเขาจำเป็นต้องใช้เงิน เขาก็มักเอาสมุนไพรที่ตนเก็บได้ไปขาย
ก็เพราะเฉียวเวยรู้เช่นนี้นางจึงยิ่งโกรธ “ท่านพ่อนี่นะ คนที่มีจิตใจราวพระโพธิสัตว์อย่างท่านเหตุใดถึงจัดการพวกผู้อาวุโสของตระกูลเฉียวจนเข้าคุกได้”
นั่นไม่เหมือนกันเสียหน่อย พวกเขาทำร้ายเจ้า
เฉียวเวยมีเรื่องต่อว่าต่อขานบิดาของตนที่รักษาคนโดยไม่หวังพลตอบแทนมากมายนัก ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรยากลำบากเพียงนั้น ซ้ำยังเต็มไปด้วยอันตราย แต่เขากลับเอาไปให้คนอื่นเปล่าๆ!
“วันนี้ท่านต้องคิดค่ารักษาเขานะ หากท่านไม่กล้าเรียก ข้าจะไปเอง!”
เฉียวเจิงรีบบอกทันที “ข้าจะเก็บ ข้าจะเก็บ”
เฉียวเวยเหลือบมองบิดาอีกทีหนึ่ง ยังคงไม่วางใจอยู่เล็กน้อย “ต้องเก็บนะ”
เฉียวเจิงตอบรับทันที “แน่นอนๆ”
เชื่อท่านก็แปลกล่ะ เฉียวเวยเปิดตะกร้าสมุนไพรออก หิ้วเจ้าลิงแสบที่นั่งผัดหน้าอยู่ข้างในออกมา “ถ้าไม่คิดค่ารักษา วันนี้เจ้าไม่ต้องกลับมาแล้ว”
“เจี๊ยก…” จูเอ๋อร์ขัดขืน
การขัดขืนไม่เป็นผล เฉียวเจิงจับจูเอ๋อร์ยัดกลับลงตะกร้าไปแล้วพูดกับเฉียวเจิงว่า “ข้าไปส่งพวกเขาที่สถานศึกษาล่ะ”
เฉียวเจิงยิ้มน้อยๆ มองส่งพวกเขาออกไป จากนั้นก็ปิดประตูแล้วเดินลงเนินไปเช่นกัน
เฉียวเจิงไปที่บ้านของคนป่วยคนนั้นก่อน คนป่วยผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี เขาช่วยที่บ้านทำไร่ทำนา วันนั้นเกิดนึกคึกอะไรไม่รู ไปขอยืมธนูจากคนหนึ่งมาเตรียมจะขึ้นเขาไปล่ากระต่ายล่ากวางกลับมา แต่ใครจะรู้ว่าเขาไม่เจอทั้งกระต่ายทั้งกวาง แต่กลับไปเจอหมูป่าตัวหนึ่งเข้าแทน
หมูป่าตัวผู้ตัวนั้นแข็งแรงยิ่งนัก เพียงพริบตาก็ขวิดเขาจนกระเด็นออกไป
เขากลิ้งลงเนิน ล้มขาหัก เฉียวเจิงที่กำลังเด็ดสมุนไพรอยู่เลยไปเจอเข้า
เฉียวเจิงรักษาแผลให้เขาแล้วส่งตัวเขากลับบ้าน
เมื่อวานถึงจะเอาแผ่นไม้มาดามไว้ แต่แผ่นไม้นั้นทำขึ้นเฉพาะกิจ ไม่แข็งแรงพอ วันนี้จำต้องไปเพิ่มความแข็งแรงให้อีกชั้นหนึ่ง
เฉียวเจิงสะพายตะกร้าสมุนไพรไปที่บ้านของเด็กหนุ่ม แค่เดินเข้าไปในบริเวณบ้านก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากข้างใน
“เรื่องของพวกเขาพวกเราพอเข้าใจแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวลเกินไปนัก พวกเราจะต้องช่วยจัดการให้พวกเจ้าแน่”
น้ำเสียงนั้นทุ่มต่ำแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น พาให้คนฟังรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ
แต่กระนั้นเฉียวเจิงกลับหน้าบึ้งลง สาวเท้าเดินเข้าไป แล้วก็ได้เห็นจีหมิงซิวในอาภรณ์ขาวตลอดร่างจริงๆ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างไม่ถือตัว ข้างกายจีหมิงซิวคือผู้ใหญ่บ้านหยางของหมู่บ้านนี้ กับนายอำเภอคนใหม่ที่เพิ่งมารับตำแหน่ง
นายอำเภอพูดยิ้มๆ ว่า “อย่างไรก็ต้องออกมาตามชนบทให้มาก ถึงจะเข้าใจชาวบ้านได้มากขึ้น”
ผู้ใหญ่บ้านหยางเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “ใต้เท้าทั้งสองช่างรักชาวบ้านประหนึ่งบุตรจริงๆ นะขอรับ!”
เฉียวเจิงยืนหน้าบึ้งอยู่หน้าประตู
มารดาของเด็กหนุ่มมองเห็นเขา จึงเอ่ยทักทายด้วยความยินดี “ท่านหมอเฉียว! ท่านมาแล้วหรือ เข้ามานั่งเร็วเข้า!”
เฉียวเจิงย่อมไม่อยากเข้าไป
จีหมิงซิวหันไปมองพร้อมรอยยิ้ม “ที่แท้ก็ท่านลุงนี่เอง”
มารดาของเด็กหนุ่มตกใจใหญ่ “ใต้เท้า ท่านรู้จักกับท่านหมอเฉียวหรือ”
จีหมิงซิวยิ้มพลางพยักหน้า “รู้จัก” เขาพูดพลางลุกขึ้นสละเก้าอี้ให้เฉียวเจิง “เชิญท่านลุง”
“เจ้ามาทำอะไร” เฉียวเจิงถามอย่างไร้เยื่อใย
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ “ถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ใส่ใจความลำบากของพวกเขา”
อัครเสนาบดีแห่งแคว้นมาพูดคุยเพื่อสอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้านถึงป่าเขาเช่นนี้ พูดออกไปใครจะเชื่อ
เฉียวเจิงเดินหน้าบึ้งเข้าไปในห้อง ทุกคนเห็นว่าเขาดูจะไม่ต้อนรับใต้เท้าผู้นี้นัก แต่ใต้เท้าไม่เพียงไม่ถือสา กลับยังยิ้มแย้มส่งไปให้ ทุกคนจึงไม่มีใครว่าอะไร
เฉียวเจิงเพิ่มความแข็งแรงให้แผ่นไม้ดามขาอีกชั้นหนึ่ง กำชับเขาว่าให้กินยาต่อไป สามวันหลังจากนี้ เขาจะมาดูอาการให้ที่บ้านอีกครั้ง ส่วนเรื่องเงินค่ารักษา เขาลืมเสียแล้ว
จูเอ๋อร์กระโดดออกมาจากตะกร้า ทุกคนเห็นลิงน้อยตัวหนึ่งกระโดดออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว นอกจากจีหมิงซิวแล้ว คนอื่นๆ พากันตกใจใหญ่
จูเอ๋อร์เดินไปตรงหน้ามารดาของเด็กหนุ่มแล้วยื่นมือออกมา
มารดาของเด็กหนุ่มงุนงงไม่เข้าใจ
จีหมิงซิวจึงเอ่ยว่า “ค่าตรวจอาการ”
มารดาของเด็กหนุ่มพลันหน้าแดง เมื่อวานไม่ได้คิดเงิน วันนี้นางยังคิดว่าไม่ต้องให้เสียอีก…
นางรีบเข้าไปค้นหาในห้องอยู่นาน ก่อนจะได้แผ่นทองแดงมาสามสี่แผ่น
จูเอ๋อร์รับมาช่างดู แล้วยื่นมือออกไปอีกครั้ง
สีหน้ามารดาเด็กหนุ่มดูร้อนใจอย่างหนัก
ผู้ใหญ่บ้านหยางไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ควักเอาก้อนทองแดงเล็กๆ ออกมาวางลงบนมือจูเอ๋อร์
จูเอ๋อร์ถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจแล้วเลียนแบบท่าทางของจีหมิงซิว จะเข้าไปตบไหล่ผู้ใหญ่บ้านหยาง แต่ด้วยส่วนสูงของมันย่อมตบบ่าอีกฝ่ายไม่ถึงอยู่แล้ว จึงเปลี่ยนไปตบต้นขาแทน จากนั้นก็เอาสองมือไพล่หลัง เดินอาดๆ ออกจากห้องไปราวกับเป็นขุนนางใหญ่ก็ไม่ปาน
เฉียวเจิงตรวจอาการคนไข้เสร็จก็ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร
เขาได้พบจีหมิงซิวอีกครั้งดังคาด
[1] เป่าอวี้ ตัวละครในเรื่องความฝันในหอแดง